“โอ๊ย! จะเซ้าซี้อะไรนักหนาเล่า บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้สิ” เธอหันกลับมาเหวี่ยงใส่บ้าง แต่พอได้สบตากัน เธอก็รีบหันขวับกลับไปดังเดิม ในขณะที่เจ้าชายผู้สูงส่งนั้นถึงกับผงะเพราะถูกสามัญชนอย่างเธอขึ้นเสียงใส่
‘ฮือ! แล้วฉันจะมองหน้าเขาได้ยังไง ในเมื่อเห็นหน้าเขาทีไร ไอ้นั่นก็ลอยเข้ามาในหัวทุกที แง! ฉันเอามันออกไปจากหัวไม่ได้เลย’ เธอเอามือปิดหน้าอย่างคนกำลังอัดอั้นตันใจ
“ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าเธอยังไม่หันกลับมาคุยกันดีๆ ฉันจะเป็นฝ่ายลุกไปหาเธอเอง หนึ่ง...” คนรอไม่เก่งเริ่มนับขู่ ในขณะที่คนลืมไม่เก่งก็ผงะสะดุ้งด้วยความตกใจจนลนลาน
‘ลุก? อะไรลุก ไม่ๆๆ เราต้องไม่คิดอกุศล เขาก็แค่ลุกขึ้น ฮือ! แต่ลุกของเขามันทำให้ภาพในหัวของฉันยิ่งชัดขึ้นนี่นา’
“สอง... ฉันจะลุกล่ะนะ” คำขู่ของเขาทำให้เธอหันขวับกลับมา โดยไม่ต้องรอให้ถึงสาม
“ไม่ๆๆ อย่าเพิ่งลุก แค่ภาพเก่าฉันยังเอามันออกไปจากหัวไม่ได้เลย ขืนถ้าคุณลุก มันคงฝังอยู่ในหัวฉันไปจนตายแน่ๆ” เธอพูดรัวเร็วอย่างลืมตัว
“ภาพอะไร”
“ก็ภาพไอ้นั่นของ...หา! เอ้อ...ก็ภาพ...ภาพเอ่อภาพที่คุณเป็นเทวดาในจินตนาการของฉันไง” เธอผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก หลังหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองได้
‘โอ๊ย! เกือบไปแล้วมะลิเอ๊ย ไปเผลอหลุดปากแบบนั้นได้ไงเนี่ย ถ้าเกิดเขารู้ว่าตาเรามองผ่านทะลุเสื้อผ้าจนไปเห็นไอ้นั่นของเขาล่ะก็ เขาได้จับเราส่งศูนย์วิจัยหรืออะไรสักอย่างแน่ ถึงตอนนั้นฉันก็จะกลายเป็นหนูทดลอง กลายเป็นตัวประหลาดที่ต้องถูกผ่าโน่นนี่นั่นให้นักวิทยาศาสตร์บ้าๆ พวกนั้นทดลองเหมือนที่ป้าเคยบอก เพราะฉะนั้นเธอจะเผลอแบบนี้อีกไม่ได้ จำไว้...ไม่ได้เด็ดขาด’ มันเป็นความกลัวที่ฝังใจมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งป้าของเธอก็ยังย้ำนักหนาว่าให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับเพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเอง จึงมีแค่เพื่อนสนิทกับป้าของเธอเท่านั้นที่รู้ เอ่อ...แต่วันนี้คงมีเพิ่มขึ้นอีกคนแล้วล่ะ โดยเฉพาะคนที่เพิ่งรู้นี่ถึงกับเกิดอาการช็อคเบาๆ
‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ ทั้งหูเรา ทั้งตาของยัยนั่น พิลึกพิลั่นกันไปหมด ยังมีเรื่องอะไรให้พิศวงไปกว่านี้อีกไหมวะเนี่ย เอ๊ะ! หู ตา เนตรกรรณประสานใจ เหลือเชื่อ! นี่มันตรงกับที่แม่เฒ่าคนนั้นพูดเลยนี่ หรือว่ายัยนี่จะเป็นตัวนำโชคของเราจริงๆ’ ความเหลือเชื่อครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เขาคิดอย่างสับสน พลัน! ความคิดบางอย่างก็ดันแทรกขึ้นมาจนเผลอร้องอุทานเสียงดัง
“เฮ้ย!” ชีคหนุ่มขยับหันไปอีกทางแทบจะทันที หลังนึกขึ้นได้ว่าดวงตาของเธอพิเศษยังไง
“เอ่อ...มีอะไรรึเปล่าคะ เอ๋! ทำไมหน้าคุณแดงอะ หรือว่าไม่สบาย” เธอขยับตามไปมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไว (เอ่อ...เมื่อกี้ยังพยายามหลบหน้าเขาอยู่เลย ต่อมอยากรู้อยากเห็นนี่ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ เลยกลายเป็นว่าคนหนึ่งหนี อีกคนก็วิ่งตาม ผลัดกันหนีผลัดกันวิ่งตามให้วุ่นวายไปหมด)
ทันทีที่เธอขยับตาม สองมือของเขาก็ขยับยกมาวางที่หน้าขาตัวเองโดยอัตโนมัติเช่นกัน ด้วยรู้สึกกระดากนิดๆ เมื่อรู้ว่ากำลังแก้ผ้าต่อหน้าเธอ ถึงแม้จะมั่นใจในขนาดคิงไซส์ของตัวเอง แต่มันก็อดตะขิดตะขวงใจไม่ได้อยู่ดี
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร” ตอบไปแล้ว พลันสองขาลุกขึ้นจ้ำพรวดๆ ไปยืนอยู่หลังโซฟาอย่างหาที่กำบัง
“เอ่อ...ถ้าคุณไม่เป็นอะไร งั้นฉันขอกลับบ้านเลยนะ” พูดจบพรสวรรค์ขยับตัวจะลุกลงจากเตียง ทำเอาคนที่ยืนหลบอยู่หลังโซฟากระโดดพรวดออกมาขวางไว้ทันที แต่ไม่รู้เพราะโชคชะตาหรือว่ารีบร้อนเกินไปถึงได้สะดุดขาตัวเองล้มทับเธอลงไปกองอยู่บนเตียงทั้งคู่
“เฮ้ย! / ว้าย!” สองเสียงอุทานออกมาพร้อมกัน ซึ่งมันก็ดังมากพอที่จะทำให้องครักษ์ที่เงี่ยหูฟังอยู่ข้างนอกเปิดผลุบเข้ามาตามสัญชาตญาณที่ต้องอารักขานายเหนือหัวของตัวเอง แต่ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้ากลับไม่ใช่อย่างที่คิด “เฮ้ย!” สามหนุ่มอุทานเสียงดัง พลันพากันหันหลังให้กับคนทั้งคู่ที่กำลังนอนกอดกันกลมอยู่บนเตียง
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่รู้ว่าพระองค์กำลัง...เอ่อ...กระหม่อมสมควรตาย” พลันทั้งสามก็ทรุดเข่าลงกับพื้น ทั้งที่ยังหันหลังอยู่อย่างนั้น ด้วยไม่กล้าหันมาเจอภาพหวิวก่อนหน้าอีก
“ลุกขึ้น มันไม่ใช่อย่างที่คิด ฉันยังไม่อยากให้ผู้หญิงคนนี้รู้ว่าฉันเป็นใคร” เขาบอกพลางขยับลุกออกจากตัวเธอเร็วๆ เช่นเดียวกับสามหนุ่มที่ถึงกับพากับผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกัน ก่อนจะหันกลับมา แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของพวกเขากลับไม่ใช่ใบหน้าของชีคหนุ่ม แต่เป็นรอยเลือดที่เปื้อนอยู่บนที่นอนสีขาว
“......” สามหนุ่มมองรอยเลือดนิ่งอึ้ง ในขณะที่ชีคหนุ่มถึงกับตบหน้าผากตัวเองดังฉาด แค่เห็นสายตาของทั้งสามคน ก็รู้ทันทีว่าตัวเองต้องอธิบายอีกแล้ว แต่ให้ตายเถอะ! เขาเหนื่อยเกินกว่าที่จะพูดแล้ว
“เออ! แล้วแต่จะคิดเลย”
“เปล่าคิดพ่ะย่ะค่ะ” ฮารีฟรีบแก้ตัวด้วยสีหน้าแหยๆ
‘คุยภาษาอะไรกันวะ ฟังไม่รู้เรื่องสักคำ’ เสียงเธอดังแว่วเข้ามาในหู ซึ่งมันทำให้เขาเบาใจไปเปราะหนึ่งว่าเธอฟังที่พวกเขาพูดไม่รู้เรื่อง
“เอ่อ...คิดว่าเรื่องที่คุยกันน่าจะไม่เกี่ยวกับฉัน งั้นฉันกลับเลยแล้วกันนะ” เธอเงยหน้าบอกเขา พลันสายตาเจ้ากรรมก็เลื่อนลงมาด้านล่างอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็...
“อะเฮือก!” เธอชะงักค้างตาโต ตั้งใจจะหันหลังไปอีกทาง แต่ก็ถูกผู้ชายตัวโตกระโดดทับลงมาอีกรอบ
“กรี๊ด...!” ชีคหนุ่มกระโดดคร่อมเธอไว้ทั้งตัว
“อะเฮือก!” สามองครักษ์หนุ่มผงะถอยพร้อมกัน
“ไหนบอกไม่ใช่อย่างที่คิด นี่มันยิ่งกว่าที่คิดอีกนะโว้ย” ฮาซานหันมากระซิบกับสองหนุ่ม
“แล้วแกคิดอะไรวะ” ฮารีฟถามหน้าซื่อ
“ก็คิดอย่างที่แกคิดไง” ฮาซานกระแทกเสียงใส่
“งั้นก็แสดงว่ารอยเลือดนั่นก็...” ดูเหมือนรอยเลือดนั่นจะยังฝังใจฮารีฟอยู่ และมันทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นรอยเลือดที่เกิดจากกิจกรรมเข้าจังหวะของชีคหนุ่ม
“ถ้าจะคุยกันเสียงดังขนาดนี้ พวกแกไม่ต้องกระซิบก็ได้” เฟาซีประชดสองพี่น้อง ก่อนจะบุ้ยหน้าให้ทั้งสองหันไปมองหน้าชีคหนุ่มที่กำลังมองมาอย่างไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่
“กระหม่อมเปล่าคิดอะไรพ่ะย่ะค่ะ” ฮารีฟแก้ตัวหน้าแหยๆ ในขณะที่ชีคหนุ่มถึงกับถอนหายใจอย่างปลงๆ ก็ภาพมันฟ้องซะขนาดนั้น มันคงเปล่าประโยชน์ที่จะพูดอะไรตอนนี้ จะให้เขาบอกความลับของเธอกับทั้งสามคนมันก็คงเป็นอะไรที่เชื่อได้ยาก