ตอนที่ 3 มัจจุราชเดินดิน
มังกร ไพรโรจเดชา ปัจจุบันอายุ 28 ปี ดำรงตำแหน่งรองคณะผู้จัดการบริหารของบริษัทส่งออกอะไหล่ยนต์รายใหญ่ของประเทศไทย แต่ส่วนมากเขาจะทำงานที่ไร่เดชาตำแหน่งรองประธานจะต้องเข้าไปนั่งก็ต่อเมื่อพี่ชายของเขาไม่ว่างหรือติดธุระสำคัญอย่างอื่น ตระกูลไพรโรจเดชามีไร่ผลผลิตที่ภาคเหนือมากกว่าห้าพันไร่มีผลไม้ส่งออกทุกฤดูกาล คนส่วนมากที่บ้านสวนแห่งนี้จะเรียกเขาว่า ‘พ่อเลี้ยงมังกร’ บนพื้นที่หลายพันไร่มีทั้งผลไม้ปลูกขาย ฟาร์มสัตว์มากมาย แถมยังมีไร่ชาเปิดให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม รายได้ต่อปีสามารถซื้อภูเขาได้ทั้งลูก
“พ่อเลี้ยงมังกรครับ นี่ผลกำไรทั้งหมดของปีนี้ผมได้รวบรวมมาแล้วครับ” เจสม์วางแฟ้มลงบนโต๊ะทำงานเจ้านายแต่ไม่ยอมจากไปเหมือนมีเรื่องจะพูดแต่ก็ไม่กล้าพูดจนคนที่ทำงานอยู่รับรู้ถึงความผิดปกติจึงเงยหน้าขึ้นมามอง คิ้วเข้มยกหางคิ้วขึ้นเล็กน้อยสายตาดุดันจ้องมองไปยังผู้ช่วย
“จะพูดก็พูด” มันก็เอาแต่อ้ำอึ้งมีเรื่องอะไรพูดไม่ได้กัน
“เอ่อ แม่บ้านที่บ้านริมน้ำบอกว่าคุณคนนั้นไข้ขึ้นสูงมากครับ”
“อืม”
“เธออาจจะช็อกได้นะครับ”
“ไม่ตายหรอก” เมื่อเห็นว่าเจ้านายไม่มีทีท่าสนใจเจมส์ก็ไม่มีอะไรจะพูดได้แต่ก้มหน้าจ๋อยเดินคอตกออกไป “เดี๋ยว บอกแม่บ้านไปบอกให้เธอลงมาทำงานบ้านเองทั้งหมดย้ายแม่บ้านกลับมาบ้านติดลม”
“ครับ” บ้านติดลมคือบ้านใหญ่ส่วนบ้านริมน้ำคือบ้านส่วนตัวของพ่อเลี้ยงมังกร เขาย้ายแม่บ้านกลับคงอยากทำอะไรบางอย่าง แต่ที่แน่ ๆ ผู้หญิงที่เป็นเหมือนคู่อริพ่อเลี้ยงรับเละแน่งานนี้
เมื่อจัดการเคลียร์เอกสารเสร็จเขาก็จะออกไปทำงานที่ไร่เป็นกิจวัตรประจำวันแบบนี้ทุกวัน ทุกคนจะรู้ดีว่าพ่อเลี้ยงมังกรเกลียดพวกโกหกและพูดได้แต่ทำไม่ได้เป็นที่สุด แต่ในความโหดและเข้มงวดเขาก็ยังเป็นเจ้านายที่คนในไร่นับถือมากเพราะเป็นคนทำงานจริง ๆ และเห็นอกเห็นใจชาวบ้านแม้บางครั้งผลผลิตจะถูกส่งออกในราคาที่ต่ำแต่พ่อเลี้ยงมังกรก็ไม่เคยลดค่าตัวพนักงานในไร่ในสวนของตัวเองสักครั้ง มีแต่ทำงานหนักก็จะเพิ่มเงินให้ เพราะเเบบนี้ชาวบ้านธรรมดาที่อยู่ติดกับไร่เดชาจึงมีเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเมื่อมาทำงานที่ไร่เดชาและได้ผลตอบรับคุ้มกับความเหนื่อยที่เสียไป
ทางฝั่งของคนที่ป่วยหนักแต่เป็นเพราะว่าไม่อยากให้ใครมาสงสารเธอเลยรีบจัดการตัวเอง ไม่ลืมที่จะกินข้าวและกินยาเธอยังไม่อยากตายโดยเฉพาะตายในอาณาจักรพันล้านของเขา พริมาใช้เวลาในช่วงเช้าทำความสะอาดบ้านพักแห่งนี้พอได้ออกแรงเหงื่อก็ชื้นตัวทำให้ไข้เธอลดลงแล้ว จะมีก็แต่อาการปวดหัวหน้ามืดมาเป็นบางครั้ง
“คนเราก็เนาะป้าไม่เจียมกะลาหัวสักนิด” ส้มจิ้ด สาวน้อยวัยมัธยมหกถือตะกร้าผ้ามาหลังบ้านพร้อมป้านิดแม่บ้านประจำบ้านริมน้ำ “ไม่รู้เล่นของใส่พ่อเลี้ยงหรือเปล่า”
“เป็นเด็กเป็นเล็กกล้านินทาคนของเจ้านายได้ยังไงนางส้มจิ้ด” ป้านิดมองหญิงสาวผิวขาวร่างบางยืนตากเสื้อผ้าของพ่อเลี้ยงมังกรอยู่กลางแจ้งในเวลาสายแบบนี้ทั้งแดดทั้งลม
“หนูไม่ชอบหน้าตาซื่อ ๆ นั่นเลย ร้ายชัวร์ป้านิด” ส้มจิ้ดรู้สึกไม่พอใจเพราะอยู่ ๆ บ้านริมน้ำก็มีผู้หญิงแปลกหน้าเข้ามาทั้งที่พ่อเลี้ยงมังกรไม่เคยพาใครมาที่นี่แถมยังให้อยู่ค้างคืนอีกด้วย “โอ๊ยเกลียดขี้หน้าโว้ย”
แม่บ้านวัยกลางคนส่ายหน้าไปมาเมื่อลับหลังร่างหลานสาวตนก็เดินเข้าไปใกล้อีกคนซึ่งยืนตากผ้าอยู่กลางแจ้ง ผิวขาวผ่องละเอียดขนาดนี้ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนทำงานในไร่ในสวนเหมือนเรา ๆ แล้วพ่อเลี้ยงไปพาใครกลับมาที่ไร่เราหนอนี่
“แม่หนูชื่ออะไรเรา”
พริมาที่กำลังใจล่องลอยมือตากผ้าแต่หัวสมองกำลังคิดว่าตนเองจะอยู่หนึ่งเดือนยังไงให้มีชีวิตรอดกลับไปทำงานหาเงินเหมือนเดิม ในขณะที่จมอยู่กับความคิดเลยไม่รู้ว่ามีคนเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ แล้ว รู้ตัวอีกทีก็ตกใจกับเสียงทักทาย ทั้งที่มันก็ไม่ได้ดังแบบตะโกนแต่หล่อนก็ดันตกใจ มองผ่านเสื้อผ้าพวกนี้ไปก็เห็นป้าวัยกลางคนสวมชุดเหมือนแม่บ้านส่งยิ้มมาให้ บอกตรง ๆ ว่าแอบโล่งใจที่ไม่ใช่คนคนนั้น
“พิมจ้ะ หนูชื่อพิม” ท่าทางเป็นมิตรของคนตรงหน้ามันทำให้เธอหายใจคล่องคออยู่ไม่น้อย ที่นี่คงไม่ได้จะเลวร้ายไปหมดเสียทุกอย่างหรอกใช่ไหม กรรมนี้ที่เธอก่อเธอสมควรได้รับมันใช่หรือเปล่า
“ป้าชื่อนิด เป็นคนดูแลความเรียบร้อยของบ้านริมน้ำแห่งนี้จ้ะ หนูพิมมีปัญหาอะไรบอกป้าได้นะถึงแม้จะช่วยไม่ได้มากแต่ป้าจะพยายามช่วย” เธอรู้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามาอยู่ที่นี่เพราะเรื่องใด แล้วเจ้าหล่อนก็ดูไม่ใช่คนอย่างที่พ่อเลี้ยงมังกรว่าเลยสักนิด ติดออกจะคุ้น ๆ หน้าตาแบบนี้หล่อนเคยเห็นที่ไหนนะแต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก
“เอ่อ... พิมขอถามได้ไหมจ๊ะกระเป๋าเสื้อผ้าของพิม”
“อ้อ น่าจะอยู่ที่บ้านติดลมเดี๋ยวก็มีคนเอามาให้จ้ะ” เธอมองดูหญิงสาวสวมเพียงชุดคนงานเก่า ๆ ที่หล่อนหามาให้ได้ก็นึกเอ็นดู ขนาดเสื้อผ้าหยาบ ๆ เก่า ๆ ผ่านการใช้งานมาเมื่อเช้าเธอยังเลือกที่จะใส่โดยไม่ลังเลสักนิด “พ่อเลี้ยงมังกรฝากมาบอกว่าสวนกุหลาบด้านหลังบ้านริมน้ำให้คุณไปใส่ปุ๋ยพรวนดินด้วย ร่มสีเหลืองที่วางไว้หนูอย่าลืมเอาไปด้วยนะแดดแรงขนาดนี้เดี๋ยวผิวสวย ๆ เสียหมด เอาล่ะป้าต้องไปจ่ายตลาดหนูไปทำงานที่ป้าบอกเถอะเดี๋ยวมีคนองค์ลง”
ป้านิดจ้องหน้าเด็กมันต่ออีกสักหน่อยก่อนจะตัดใจไม่ถามว่าตัวเองกับหญิงสาวตรงหน้าเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า ไม่สมควรหรอก อาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดก็ได้ถ้าแบบนั้นคนที่ต้องเสียใจทีหลังคือเจ้านายของคนในไร่เดชาหาใช่หญิงสาวที่ถูกจับตัวกลับมาที่นี่
พริมาคลี่ยิ้มสวยในรอบวันให้ผู้หญิงจิตใจดีตรงหน้าเธอฟังคำพูดนั้นรื่นหูจนมารู้ตัวอีกทีป้านิดก็เดินออกไปไกลแล้ว อย่างน้อยมันก็ไม่ได้เลวร้ายไปซะหมด
ในเวลาเกือบเที่ยงแดดเมืองไทยแรงอย่างไม่น้อยหน้าใครทั้งสิ้น พริมาในชุดคนงานเสื้อแขนกระบอกถือเสียมในมือพรวนดินแปลงดอกกุหลาบหลากสีอย่างขะมักเขม้นเพราะอยากให้มันเสร็จไว ๆ เธอไม่ได้ทำงานออกแดดมานานบอกเลยว่าสู้ไม่ค่อยไหว แต่ถ้าเป็นตอนเด็ก ๆ บอกเลยแดดแค่นี้ทำอะไรเธอไม่ได้หรอก มือเล็กดึงพุ่มหญ้าแปลกปลอมออกพร้อมกับโยนไปกองกันไว้
ปึก ปึก ปึก ปึก ตึก!
เสียงหญ้าที่โยนไปกองกันไว้เสียงสุดท้ายนั่นมันแปลกไปจากเดิม พริมาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะหันไปมองว่าเธอโยนหลุดออกจากกองอื่นหรือเปล่า แขนเรียวเล็กยกขึ้นบดบังแดดส่องมาประจันหน้าทันทีที่ลุกขึ้นก็มีอาการคล้ายจะหน้ามืดทำให้เธอต้องยืนหลับตานิ่ง ๆ เพื่อพยุงตัวเองและพยุงสติให้กลับมาดีเหมือนเดิมเสียก่อน จากนั้นกะพริบตาถี่ ๆ ก่อนจะหันไปมองที่กองหญ้าตามความตั้งใจเดิม
ดวงตากลมโตค่อย ๆ ขยายกว้างทีละน้อย หลังจากรู้แล้วว่านั่นไม่ใช่เสียงหญ้าลอยไปกระแทกเพื่อนที่กอง ๆ กันไว้ก่อนหน้า แต่หญ้าที่เธอโยนไปเมื่อสักครู่มันดันลอยไปกระแทกเข้าที่อกของมัจุราชตนนั้นเข้า เธอเห็นเขาค่อย ๆ มองที่หญ้าพุ่มเล็กเหมือนจะเผามันให้ไหม้ทั้งเป็นก่อนที่ดวงตายาวรีเสมือนเหยี่ยวค่อย ๆ ช้อนตาขึ้นมองมาที่เธอ
ขาเล็กก้าวถอยหลังอัตโนมัติแถมมันยังสั่นจนเหมือนจะยืนแทบไม่ไหว เขาสาวเท้าเดินเข้ามาด้วยความเร็วส่วนเธอก็ใจเต้นรัวเหมือนจะหลุดออกมาเต้นด้านนอก ท่าทางคุกคามของเขาทำให้เธออยากเป็นลมให้มันจบ ๆ แต่นั่นมันคงง่ายไปกับสิ่งที่เธอเคยทำไว้กับเขา เขาคงโกรธ คงแค้นเธอมาก เอาเถอะเธอจะหนีไปไหนได้กัน พริมาหลับตารอรับความเจ็บปวดที่เขากำลังจะมอบมันให้กับเธอ