“ท่านแม่อยู่ดูแลน้อง ๆ อยู่ทางนี้ก่อนขอรับ ข้าไปกับท่านพ่อเพียงคนเดียวก็พอ แล้วข้าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”
ฮูหยินใหญ่ กัดฟันมอบเงินก้อนสุดท้ายที่เหลืออยู่กับนางทั้งหมดส่งให้บุตรชาย เงินจำนวนนี้ทุกคนตกลงกันเอาไว้ว่าจะเก็บไว้สำหรับซื้อเสบียงอาหารเมื่อมาถึงบ้านบรรพบุรุษแล้ว
“อาหารที่เรามีอยู่ยังพอกินได้อีกสองสามวัน เจ้าไม่ต้องรีบร้อนกลับมาแม่จะดูแลทุกคนเอง รักษาบิดาเจ้าให้ปลอดภัยก่อนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ ส่งสัญญาณให้รถม้าเคลื่อนตัวออกจากเรือนสกุลเย่ไป
……….
“คุณหนู ข้างหน้าก็จะถึงอำเภอหวงซานแล้วเจ้าค่ะ จากที่เราถามทางมาตลอดหมู่บ้านลี่เจียงอยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภอเท่าใดนัก เราแวะพักที่อำเภอหวงซานสักคืนแล้วเชิญท่านหมอมาตรวจอาการป่วยของท่านก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ”
ม่านอวี้ใช้ผ้าชุบน้ำลูบเนื้อลูบตัวกู้ลี่ถิงแผ่วเบา ร่างอ่อนแรงของหญิงสาวมีไข้ขึ้นสูงต่อเนื่องมาหลายวันแล้ว แต่นายหญิงของนางก็ไม่ยอมหยุดพัก ออกคำสั่งให้รถม้าเร่งเดินทางนำหน้าขบวนเกวียนขนเสบียงและทรัพย์สินมาก่อนล่วงหน้า ต้องการไปให้ถึงหมู่บ้านลี่เจียงให้เร็วที่สุด
“หยุดพักซื้อยาและเสบียงอาหารติดรถม้าไปด้วยก็พอ เราจะไม่ค้างคืนที่นี่ เดินทางต่อไป”
“คุณหนูเจ้าคะ! พวกเขาออกเดินทางก่อนเราเพียงแค่สองวัน สกุลเย่มีทายาทสตรีวัยเยาว์หลายคนพวกเขาอาจจะยังไม่ถึงที่หมายก็ได้นะเจ้าคะ พักผ่อนสักคืนก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
“พวกเขาใช้รถม้า แต่เรามีเกวียนวัวที่เคลื่อนตัวได้ช้ากว่า หักลบเวลากันแล้วก็เป็นไปได้ว่าเขาอาจถึงที่หมายแล้วก็เป็นได้ เราจะรอช้าไม่ได้เด็ดขาดม่านอวี้”
“คุณหนู!!” ม่านอวี้ทักท้วงผู้เป็นนายด้วยความไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดกู้ลี่ถิงจึงต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้นทั้งที่ตนเองก็ป่วยหนัก ยามนี้ยังสั่งให้รถม้าแยกตัวนำหน้ามาอีก คุณหนูไม่ได้พึงใจคุณชายเย่มิใช่หรือ? แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?
กู้ลี่ถิงส่ายหน้าอย่างไม่ยินยอมให้อีกฝ่ายคัดค้านต่อ นางรู้ตัวดีว่านางก็แค่ป่วยไข้เพราะอากาศที่เปลี่ยนแปลง ขอเพียงถึงที่หมายแล้วได้พักผ่อนดี ๆ สักวันสองวันนางก็จะหายเป็นปกติได้
ผิดกับอดีตแม่ทัพเย่เฟิง เท่าที่นางจำได้ในนิยายบรรยายไว้ว่า บิดาของเย่เซิ่งเจียล้มป่วยตั้งแต่เดินทางออกจากเมืองหลวงไปไม่นาน พวกเขาถูกปล้นชิงและเหลือเงินเพียงน้อยนิด เย่เฟิงไม่ยอมให้ท่านหมอทำการรักษาตั้งใจจะเก็บเงินทั้งหมดไว้เป็นค่าใช้จ่ายเรื่องเสบียงอาหารของภรรยาและลูก
ทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้าไปถึงเรือนบรรพบุรุษ เย่เฟิงก็อาการทรุดหนัก ครอบครัวสกุลเย่ตั้งใจจะส่งตัวเขาไปหาหมอแต่เย่เฟิงรู้ดีว่าพวกเขาถังแตก จึงกลั้นใจตายเพื่อเหลือเงินก้อนสุดท้ายไว้สำหรับซื้ออาหารให้ลูกเมีย
หากนางตามไปทันเวลา และมอบเงินให้พวกเขา เย่เฟิงอาจจะไม่ปลิดชีพตัวเองกลายเป็นผีเฝ้าเรือนบรรพบุรุษสกุลเย่ไปอีกคนก็เป็นได้ นางเป็นจุดเริ่มต้นของการสูญเสียครั้งใหญ่นี้ นางต้องมีส่วนรับผิดชอบ!!
“ม่านอวี้ เจ้าทำตามที่คุณหนูสั่งเถิด เจ้ายิ่งวุ่นวายคุณหนูก็ต้องเหนื่อยมาตอบคำเจ้า พวกเราไปซื้อยาแล้วรีบเดินทางกันต่อจะดีกว่า อีกไม่นานก็จะถึงอยู่แล้วมิใช่หรือ”
“ตกลง ว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน ไปถึงอำเภอหวงซานแล้วเราต้องรีบซื้อยาให้เร็วที่สุด”
……….
รถม้าจากจวนองค์ชายรองแม้จะดูโอ่อ่าภูมิฐานเกินกว่ารถม้าของคนในพื้นที่อำเภอหวงซานอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้มีสัญลักษณ์อันใดที่บ่งบอกว่าเป็นรถม้าจากจวนองค์ชาย
ชาวบ้านอำเภอหวงซานทำเพียงแค่มองสตรีแปลกหน้าสองคนที่รีบร้อนลงมาจากรถม้าต่างถิ่น พุ่งตรงเข้าไปในร้านขายยาอย่างเร่งรีบเท่านั้น
จ่ายเงินรับห่อยาได้ม่านลี่กับม่านอวี้ยังต้องเร่งรีบไปซื้ออาหารตุนไว้ในรถม้าอีกเล็กน้อย เพราะเกวียนที่ขนเสบียงทั้งหมดยังตามอยู่ข้างหลัง พวกนางคิดว่าบางทีอีกสักสองหรือสามวันเสบียงอาหารเหล่านั้นจึงจะตามมาทัน
เย่เซิ่งเจียหยุดชะงักอยู่หน้าร้านของท่านหมอชรา ขมวดคิ้วมุ่นรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาสตรีสองคนที่เพิ่งเดินผ่านหน้าเขาไปอีกทางอยู่ไม่น้อย
“เป็นไปไม่ได้” ชายหนุ่มส่ายหน้า รีบขจัดความคิดไร้สาระออกจากหัวอย่างเร่งด่วน ก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในร้านหมอที่สตรีทั้งคู่เพิ่งจะเดินออกไป
ไม่มีทางที่เขาจะเห็นบ่าวหญิงข้างกายของกู้ลี่ถิงเดินอยู่ในตลาดอำเภอหวงซานได้อย่างแน่นอน!!
“ท่านหมอ น้ำใจของท่านเราสองพ่อลูกจดจำไว้แล้วขอรับ” ชายหนุ่มเดินเข้าไปหลังร้านขายยา ก้มศีรษะคำนับหมอชราที่นั่งคุยอยู่เป็นเพื่อนบิดาของตน
“ก็แค่ให้พวกเจ้าได้นอนพักในร้านคืนสองคืน ข้าไม่ได้เสียประโยชน์อันใดสักหน่อย ค่ายาค่าหมอเจ้าก็จ่ายให้ข้า ไม่ได้ติดค้างอันใดกันหรอกหลานชาย”
“เราสองพ่อลูกพักอยู่ในร้านท่านมาสองคืนแล้วอย่างไรก็กินดื่มน้ำใช้ฟืนไฟจากท่าน จะไม่เป็นการรบกวนอย่างไรขอรับ”
หมอชรารีบโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
“บุตรชายเจ้าเป็นคนดีกตัญญู เขาสมควรได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน” ชายชราหันมาคุยกับเย่เฟิงต่อ
“ข้ารู้ว่าเขาดียิ่งนักขอรับท่านหมอ" เย่เฟิงยิ้มบาง ๆ จดจำคืนแรกที่ตนมาถึงร้านหมอแห่งนี้ได้ดี
เย่เซิ่งเจียไม่รู้ว่าต้องใช้จ่ายค่ารักษาเท่าใด เขาจึงไม่กล้าใช้เงินสักอีแปะเพื่อซื้ออาหารและนั่งเฝ้าดูอาการของบิดาจนกระทั่งฟ้าสางไม่ยอมหลับยอมนอน
ท่านหมอสังเกตเห็นทุกอย่าง จึงให้พวกเขาสองพ่อลูกพักค้างคืนอยู่ที่นี่โดยให้เย่เซิ่งเจียต้องยอมรับปากว่าจะไปหาอาหารใส่ท้อง แลกกับการที่สองพ่อลูกจะไม่ต้องจ่ายค่าที่พักค้างคืน
"แต่ข้ารู้สึกว่าอาการป่วยของข้าดีขึ้นแล้วนะขอรับ วันนี้ตั้งใจว่าจะไม่รบกวนท่านต่อไปแล้ว”
“อาการป่วยของเจ้าไม่ได้หนักหนาอันใด กินยาขับลม พักผ่อนให้ดี จุดกำยานกล่อมประสาทให้หลับสนิทสองวันก็หายได้ สำคัญที่ต่อไปเจ้าต้องระมัดระวัง อย่าปล่อยให้ความคิดมาทำร้ายจิตใจตัวเองง่ายๆ อีกก็เท่านั้น”
“ข้ารู้สึกเหมือนว่าตนเองชราไปไม่น้อยเลยท่านหมอ ข้ารับปากท่านว่าจะไม่ฝืนร่างกายอีกต่อไป เราลาท่านหมอกลับไปที่หมู่บ้านกันวันนี้เลยดีหรือไม่เซิ่งเจีย”
“โอ้ๆๆ พอรู้ว่าหายก็จะทิ้งผู้ชราเช่นข้าเลยหรือไรกัน!! เวลานี้ก็เย็นมากแล้วเจ้าพักอยู่อีกคืนก่อนแล้วค่อยเดินทางแต่เช้าน่าจะสะดวกกว่า ป่านนี้พวกเกวียนวัวรับจ้างก็คงกลับเรือนไปจนหมดแล้วด้วย”
เย่เฟิงยิ้มบาง ๆ ด้วยความเก้อเขินระคนเกรงใจ เขาหันมาสบตากับบุตรชายเป็นเชิงขอความคิดเห็น เพราะท่านหมอชราไม่ได้ให้เพียงที่พัก แต่กลับให้คนหุงหาอาหารมาให้พวกเขาสองพ่อลูกทุกมื้ออย่างมีน้ำใจ
เป็นบุตรชายเสียอีกที่พอใกล้จะถึงเวลาตั้งโต๊ะเขาก็จะรีบหลบเลี่ยงออกไปซื้ออาหารกินเองด้านนอก ปล่อยให้บิดาร่วมวงสนทนากับท่านหมอชราอยู่ตลอด
“ทำตามที่ท่านหมอแนะนำดีกว่าท่านพ่อ พรุ่งนี้เช้าเราจะได้มีเวลาซื้อเสบียงอาหารกลับไปที่เรือนได้ด้วยขอรับ”
เย่เซิ่งเจียโล่งใจที่อาการป่วยของบิดาไม่ได้หนักหนาสาหัส ค่ายาที่ท่านหมอคิดกับพวกเขาก็ถูกแสนถูก เวลานี้เงินที่มารดาให้มาจึงยังเหลือพอซื้ออาหารได้อีกราวครึ่งเดือน
เรือนสกุลเย่หมู่บ้านลี่เจียง
“ท่านแม่!! ท่านพ่อกับพี่ชายกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!! ข้าเห็นแสงไฟจากตะเกียงกำลังมาทางนี้”
“ซวงซวง เจ้าเพิ่งหายดีอย่าเพิ่งรีบร้อนลุกเดินไปไหนประเดี๋ยวจะล้มไปอีก!” อนุสามเจินซื่อเอื้อมมือคว้าตัวบุตรสาวคนเล็กเอาไว้ไม่ทัน นางได้แต่รีบวิ่งออกจากโถงกลางเรือนติดตามเด็กหญิงตัวน้อยไปหน้าประตูทางเข้า
เช่นเดียวกันกับสตรีสกุลเย่คนอื่น ๆ รวมทั้งท่านผู้เฒ่าเฉาที่พยายามใช้ไม้เท้าพยุงร่างผอมแห้งออกมาชะเง้อมองไปยังด้านนอก
ผ่านไปสองวันจนเด็ก ๆ หายป่วยกันดีแล้ว แต่พวกนางยังไม่รู้ข่าวคราวจากสองพ่อลูกและยังเฝ้ารอการกลับมาของคนทั้งคู่อยู่ทุกเวลา
“ดูเหมือนจะเป็นรถม้านะ คนเหล่านั้นพวกเขาช่างมีน้ำใจนัก” หย่งเหลียนมองเห็นแสงไฟจากตะเกียงที่กวัดแกว่งไปมาอยู่นอกตัวรถ นางเข้าใจว่าเป็นเจ้าของรถม้าคันเดิมที่จ้างวานให้มาส่งจากเมืองหลวงเป็นผู้นำสามีกับบุตรชายกลับมาส่งอีกครั้ง
“จะใช่หรือเจ้าคะฮูหยิน คนพวกนั้นต้องรีบเดินทางกลับเมืองหลวงจะอยู่ค้างคืนถึงสองคืนเพื่อช่วยเหลือเรา ข้าว่ามันออกจะน่าเหลือเชื่อเกินไปสักหน่อยเจ้าค่ะ” หลี่ซื่อทักท้วงอย่างไม่แน่ใจ