ตอนที่1>>>ชายาของข้าเจ้าอย่าหมางเมิน
"พระชายา เกิดอันใดขึ้นเจ้าค่ะ?"
หลู่เจียว สาวใช้ที่ติดตามมาจากจวนเซี่ยกั๋วกงผู้เป็นบิดาของนางและบิดาของไป๋ฮองเฮา เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายสาวของตนเองกลับมาจากตำหนักส่วนตัวของชินอ๋องเฉินอี้หานก็ตรงไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ ฝนหมึก จากนั้นก็เริ่มเขียนบางสิ่งอย่างตั้งอกตั้งใจก็รีบเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะตอนไปก็ดูเหมือนพระชายาไป๋จะมีสีหน้ายินดีให้เห็นเนื่องจากไม่บ่อยนักที่ชินอ๋องจะเรียกพบพระชายาเช่นวันนี้
ถึงแต่ละครั้งที่ชินอ๋องเรียกหาพระชายาไป๋หากไม่เรียกไปลงโทษก็เรียกไปแค่อ่านตำราอ่านหนังสือต่าง ๆ ให้เขาฟังแต่สำหรับพระชายาไป๋ที่แอบรักชินอ๋องมานาน แค่เท่านั้นหลู่เจียวก็เห็นอีกฝ่ายมีความสุขมากแล้วจริง ๆ ยิ่งช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาชินอ๋องไม่ค่อยเรียกสตรีจากในวังมาปรนนิบัติทุกราตรีเช่นแรก ๆ แล้วแต่มักเรียกหาพระชายาไป๋ไปคัดตำราไม่ก็อ่านให้ฟังจนดึกทุกวันนางก็คิดว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะดีขึ้นแล้วเสียอีก แต่นี่ดูเหมือนสีหน้าของพระชายาไป๋ย่ำแย่นักคงไม่ได้ถูกเรียกไปนั่งคุกเข่าท่องกฎเกณฑ์ของสตรีแต่งเข้าราชวงศ์อีกแล้วหรอกนะ
"ไปเตรียมรถม้า ข้าจะเข้าวังไปพบฮองเฮา"
ไป๋อวี้ไม่อธิบายอันใดกับสาวใช้คนสนิท นางยังไม่พร้อมจะวางใจผู้ใดอีกแล้ว บาดแผลถูกแทงข้างหลังจากหลิ่วจื่ออิงยังสดใหม่เกินไป บัดนี้แม้แต่สาวใช้เช่นหลู่เจียวที่ดูแลนางมาสิบปีไป๋อวี้ก็รู้สึกวางใจไม่ลงจริง ๆ อยากกลับไปที่จวนเซี่ยกั๋วกงเพื่อไปให้ท่านแม่ของนางปลอบใจก็หวาดกลัวจะนำพาความเดือดร้อนไปให้กับคนในจวนเซี่ยกั๋วกง
ดังนั้นที่เดียวซึ่งนางจะสามารถไปพักพิงได้คงมีเพียงตำหนักของไป๋ฮองเฮา เพราะบัดนี้ตำหนักของเฝิงไทเฮาเท่านั้นเนื่องจากช่วงนี้เฝิงไทเฮาขึ้นเขาไปสวดมนต์ขอพร ให้กับสะใภ้คนโตเช่นไป๋ฮองเฮาเพราะเมื่อสิบกว่าวันก่อนพี่สาวของนางเพิ่งมีข่าวดีตั้งครรภ์กับฮ่องเต้ได้สองเดือนเศษแล้ว เช่นนี้คงมีเพียงตรงดิ่งไปให้พี่สาวคนรองปลอบใจเท่านั้น
"แต่นี่มันมืดค่ำแล้วนะเพคะ พระชายาไป๋ หากพวกเราเข้าวังชินอ๋องจะลงโทษเอาได้"
หลู่เจียวเตือนผู้เป็นนายด้วยความกังวลเพราะกฎเกณฑ์ของราชวงศ์นี้มีมากนักหลู่เจียวเป็นเพียงสาวใช้ย่อมไม่ทราบทั้งหมดที่นางทราบดีเพียงผิดเพียงเล็กน้อยพระชายาไป๋จะถูกตำหนิจากชินอ๋องอย่างรุนแรงไปจนถึงโดนลงโทษ ครึ่งปีมานี้นางสงสารผู้เป็นนายหญิงตัวน้อยของตนเองยิ่งนัก
"ไปจัดการตามที่ข้าสั่งการเถอะหลู่เจียว"
หากแต่ไป๋อวี้กลับย้ำคำสั่งของตนเองหนักแน่น หลู่เจียวจึงจำต้องทำตามเพราะถึงไป๋อวี้จะเป็นสตรี เป็นสาวน้อยที่ร่ำเรียนแต่ตำราศึกษาแค่การแพทย์เพื่อรักษาคน แต่เช่นไรสกุลไป๋นั้นแต่เดิมก็เป็นแม่ทัพ เป็นนักรบ ตั้งแต่บรรพบุรุษเคียงข้างราชวงศ์เฉินมานับสองร้อยกว่าปี จนได้มีบรรดาศักดิ์ได้เป็นเซี่ยกั๋วกง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นไป๋อวี้บุตรสาวคนที่สามหรือ ไป๋หวั่นชิงบุตรสาวคนรองก็ล้วนมีสายเลือดของนักรบยามใดเด็ดขาดก็เด็ดขาดห้าวหาญอย่างยิ่งรับใช้มานานหลู่เจียวย่อมรู้ดี
พอหลู่เจียวจากไปครู่หนึ่งหนังสือปลดสามีของไป๋อวี้ก็เขียนเสร็จสิ้น นางพับใส่ซองแล้วเขียนกำกับตัวอักษรใหญ่เห็นง่ายว่า'หนังสือปลดสามีของไป๋อวี้ถึงชินอ๋องเฉินอี้หานแล้วจึงวางมันไว้บนโต๊ะ ข้าวของอื่นนางไม่เสียเวลาเก็บไปแล้วแต่สินเดิมนางก็ไม่นำติดตัวไปนอกจากตั๋วเงิน เพราะคิดว่าตนเองมีจุดหมายที่จะไปแล้ว และจุดหมายนี้นำทรัพย์ติดกายไปอย่างเอิกเกริกมิได้
เมื่อนางเก็บตั๋วเงินกับแผ่นทองเสร็จเรียบร้อยก็พอดีกับที่หลู่เจียวกลับมาพอดี
"รถม้าพร้อมแล้วเพคะพระชายา"
"ต่อไปให้เรียกข้าว่าคุณหนูสามไป๋เช่นเดิม นับจากข้าก้าวขาพ้นจากตำหนักชินอ๋องในค่ำคืนนี้ ข้าก็เป็นเพียงคุณหนูสามไป๋แห่งจวนเซี่ยกั๋วกงเท่านั้น ไม่มีพระชายาไป๋ หรือชินหวางเฟยแห่งซ่งหยวนอีกแล้ว"
คำพูดดังกล่าวหนักแน่นนัก หลู่เจียวที่รับใช้คุณหนูสามไป๋มาถึงสิบกว่าปีย่อมรู้ดี ถึงปกติแล้วคุณหนูสามไป๋ อ่อนโยน และจิตใจดีงามคิดอะไรไม่ซับซ้อนที่สุดในจวนเซี่ยกั๋วกงแล้วแต่คงเพราะอย่างไรนางก็คือคนแซ่ไป๋ คนแซ่ไป๋เป็นนักรบมาหลายร้อยปี จิตใจย่อมหนักแน่นมั่นคง รวมไปถึงเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก สิ่งนี้แม้แต่ไป๋ฮองเฮาเองยังไม่เด็ดเดี่ยวได้เช่นคุณหนูรองไป๋ผู้นี้เลย
เช่นนั้นเมื่อคราวนี้ไป๋อวี้เลือกจะเอ่ยปากเช่นนี้ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายตัดใจเด็ดขาดจากชินอ๋องเฉินอี้หานแล้วจริง ๆ ยามรักคุณหนูสามไป๋ของนางทุ่มเทนักมิคาดพอคิดตัดใจอีกฝ่ายจะเด็ดขาดยิ่งกว่า
"คุณหนู…ที่แท้จริงที่ตำหนักหยวนลู่นั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่..."
หลู่เจียวถามอย่างระมัดระวังเมื่อรถม้าค่อย ๆ เคลื่อนออกจากหน้าตำหนักชินอ๋องที่บัดนี้สว่างเรืองรองไปด้วยแสงของตะเกียงและเทียนไข ไป๋อวี้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่นางจะตัดสินใจเล่าสิ่งที่นางเพิ่งเผชิญออกมาด้วยสีหน้าเจ็บช้ำยิ่งนัก แววตาแสนจะปวดร้าว และในรอยปวดร้าวหลู่เจียวที่อายุมากกว่าคุณหนูสามไป๋อยู่สามปีก็ยังเห็นความเคียดแค้นปนเปอยู่หลายส่วน
"เรื่องก็เป็นเช่นนี้นี่แหละ"
หลู่เจียวไม่ได้ไปเห็นภาพดังกล่าวก็ยังเจ็บแค้นแทนคุณหนูของตนเองที่นางเลี้ยงดูทะนุถนอมราวกับน้องสาวแท้ ๆ มาร่วม12ปียิ่งนัก
"สารเลว! ต่ำช้า!สิ้นมโนธรรมเกินไปจริง ๆ แต่…ชินอ๋องอาจมิได้ร่วมมือก็เป็นไปได้นะเจ้าค่ะ คุณหนูจะไม่ลองพูดคุยกับชินอ๋องให้ดี ๆ อีกสักครั้งจริงหรือเจ้าค่ะ อย่างไรคุณหนูก็รักเขามานานร่วม3ปีเช่นนี้"
หลูเจียวนั้นอายุมากกว่าไป๋อวี้ นางย่อมมองคนได้กระจ่างกว่าเด็กสาวที่อายุเพิ่งจะ16ปี แถมตลอดมาตั้งแต่4ขวบคุณหนูสามไป๋อวี้ยังเอาแต่สนใจใฝ่ศึกษาด้านการแพทย์จนแทบไม่เคยคบค้าสหาย หลิ่วจื่ออิงที่นับเป็นสหายก็เพราะอีกฝ่ายเข้ามาตีสนิทเมื่อครั้งที่ไป๋อวี้เพิ่งเข้าศึกษาในสำนักศึกษาหลวงของซ่งหยวน หากไม่เข้หาคุณหนูของนางก่อนคาดว่าไป๋อวี้อาจจำหน้าของหลิ่วจื่ออิงไม่ได้ด้วยซ้ำไป
"เลิกพูดแทนเขาเถอะ ข้ารักมั่นคงเพียงข้างเดียวว่าเจ็บปวดแล้ว ข้ายังโง่เขลารักเขาจนลืมรักตนเอง ลืมคิดถึงศักดิ์ศรีของบุตรสาวของคนสกุลไป๋ เป็นสตรีไร้ยางอาย ถูกพูดจาแดกดันทุกวันก็อดทน แต่เขาลำเส้นของข้าเช่นนี้ข้ามิอาจทนได้"
คนพูดน้อยพรั่งพรูความในใจออกมาอย่างไม่เคยพบเห็นบ่อยนัก เพราะปกติแล้วคุณหนูสามไป๋นั้นอะไรก็มักกลืนลงท้องและเก็บเอาไว้ในใจคนเดียวมากกว่าดังนั้นวันนี้นางพูดก็หมายความว่าไม่ไหวแล้วจริง ๆ
"สตรีทั้งใต้กล้าเขาจะหลับนอนหรือรับใครมาเป็นพระชายารอง หรือคนที่สาม-สี่-ห้า ข้าล้วนทำใจยอมรับได้มาตั้งแต่คิดแต่งให้กับเขาแล้ว แต่เหตุใดเขาต้องยุ่งกับหลิ่วจื่ออิง นางเป็นคนเดียวที่ข้าวางใจ เชื่อใจ คิดมาตลอดว่าเป็นพี่น้องต่างสายเลือด ทำเช่นนี้มิสู้เขาปลดข้าด้วยโทษคบชู้สู่ชายมิดีกว่าหรอกหรือหลูเจียว เขาเหยียบหัวใจของข้าเกินไป!"
ในซ่งหยวนโทษคบชู้สู่ชายนับว่าหนักหนาที่สุดของสตรีที่ถูกขับออกจากฐานะภรรยาดังนั้นคราวนี้มลทินภายในใจของไป๋อวี้ที่ถูกชินอ๋องเฉินอี้หานป้ายลงไปคาดว่ามากมายจนไม่รู้ว่าชั่วชีวิตนี้จะจางหายจากหัวใจดวงน้อยไปได้หรือไม่ หลู่เจียวเองก็ยากจะคาดเดาได้เช่นกัน
รถม้าเคลื่อนออกจากหน้าตำหนักชินอ๋องมุ่งหน้าสู่วังหลวง ดวงตาคู่งามของไป๋อวี้แดงก่ำ แต่กลับไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว รักมากเจ็บมากเป็นเช่นไร วันนี้หลู่เจียวได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริง ๆ
และเจ็บมากเพียงใดคุณหนูรองไป๋ก็ตัดใจเด็ดขาดกลับยิ่งง่ายขึ้น คาดว่าคราวนี้ หากไม่จับกลับมาคุมขังเอาไว้ คุณหนูรองก็คงไม่มีวันหวนคืนกลับมาที่ตำหนักชินอ๋องแห่งนี้อีกเป็นแน่!