"ไปนำตัวนังแพศยาต่ำช้าผู้นั้นมา"
หลังจากยาถอนพิษราคะออกฤทธิ์แล้ว เฉินอี้หานจึงลุกขึ้นจากถังไม้ที่แช่ตัวเอาไว้ ก้าวขึ้นมาแต่งกาย ปากก็สั่งการ จินเค่อกับนำตัวของหลิ่วจื่ออิงมา โทษของนางในคราวนี้เขากำหนดมันแล้วอยู่ภายในใจ คนเช่นเขาหากไม่ก้าวเข้ามายุ่งเกี่ยวเขาเองก็จะไม่มีวันเข้าไปวุ่นวายหรือทำร้ายใครก่อน แต่ในเมื่อหลิ่วจื่ออิงท้าทายอำนาจมืดของเขานางก็จะได้รู้ว่าเขาชั่วช้ากว่าที่นางรับรู้มากนัก เพราะหากพี่ชายผู้เป็นฮ่องเต้คือแสงสว่าง คือสีสดใส
เขาผู้เป็นชินอ๋อง เป็นผู้ช่วยพยุงรากฐานของโอรสสวรรค์จึงเป็นดังเงามืด เป็นสีเทาค่อนข้างไปทางเกือบดำสนิท เรื่องต่ำทรามเพียงใด2ปีมานี้เขาก็ผ่านมือมาแล้วไม่น้อย หากจะทำให้สกุลหลิ่วหายไปจากซ่งหยวนเพราะบังอาจล่วงเกินเขาและสตรีของเขาเฉินอี้หานก็ไม่ได้รู้สึกผิดแม้แต่น้อย
"ปล่อยข้านะ!"
โครม!
อู๋เสียนก็ปล่อยตามใจ คุณหนูสามหลิ่วจริงเสียด้วย นางจึงกลิ้งหลุน ๆ มากองอยู่แทบเท้าของเฉินอี้หานพอดิบพอดี สิ้นสภาพของสาวงามผู้หนึ่งไปโดยสิ้นเชิง
"มาแล้วหรือคุณหนูสามหลิ่ว หึ! มาแล้วก็ดี เปิ่นหวางจะได้ชำระความสักครา"
เฉินอี้หานที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรดแล้วมองอีกฝ่ายด้วยหางตาก็เหยียดหยามไปที่ร่างที่ถูกโยนลงมานอนสยบตรงแทบเท้าอยู่หลายส่วน สายตาที่ใช้มองแต่ละครั้งนั้นราวกับมองสัตว์น่ารังเกียจหรือไม่ก็อาจเป็นหนอนกินซากศพตัวหนึ่งเท่านั้น หาใช่สาวงามโฉมสราญผู้หนึ่ง
"ชินอ๋อง จื่ออิงผิดไปแล้ว ขอชินอ๋องได้โปรดเมตตาจื่ออิงด้วยเถิดเพคะ"
พอจวนตัวขึ้นมาหลิ่วจื่ออิงก็ตัวสั่นงันงกหวาดกลัว จนรีบร้อนวิงวอนขอความเมตตาทว่านางยังไม่รู้จักสันดานดิบของชินอ๋องดีพอย่อมไม่กระจ่างว่าต่อให้นางตายลงต่อหน้าขณะนี้นอกจากเสียดายที่ยังทรมานนางยังไม่สาแก่ใจก็คงไม่รู้สึกอันใดอีกเลย
"ได้ เปิ่นหวางจะเมตตาเจ้าเอง อู๋เสียน ป้อนยาปลุกกำหนัดให้นาง จากนั้นก็เอานางไปโยนเอาไว้ที่ตรอกคณิกา เป็นอย่างไร เช่นนี้นับว่าเปิ่นหวางเมตตาเจ้าเพียงพอหรือไม่เล่า?"
ตรอกคณิกานี้ก็เป็นเช่นชื่อตรอก เพราะตลอดตรอกดังกล่าวเต็มไปด้วยหอคณิกาทั้งชายและหญิงและแน่นอนว่าในตรอกดังกล่าวย่อมเต็มไปด้วยบุรุษที่มากไปด้วยราคะทั้งชนชั้นสูงไปจนถึงชนชั้นทาสขายแรงงาน ที่ตั้งใจไปซื้อบริการ บุรุษพวกนั้นบางคนกลัดมันนัดพบเจอสตรีโฉมงามเช่นหลิ่วจื่ออิงคงได้มีสภาพอนาถใจพิลึกทีเดียว แต่เขาไม่สงสารหรือเมตตานางแม้แต่น้อยในเมื่อวันนี้หลิ่วจื่ออิงตั้งใจวางยาปลุกกำหนัดจนเขาเกิดปัญหากับพระชายา ทำให้ไป๋อวี้โกรธอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นโทษของนางก็ต้องหนักหนาเพิ่มขึ้นไปอีกร้อยเท่า!
"ไม่นะ! ไม่นะเพคะชินอ๋อง! หม่อมฉันไม่เอาเช่นนี้ หม่อมฉันไม่เอาเช่นนี้ ปล่อยนะ! ไม่!!! อื้อ!..."
หลิ่วจื่ออิงพยายามดิ้นรนกรีดร้อง ทว่าเพราะมือและเท้าของนางถูกมัดเอาไว้ ย่อมไม่อาจขัดขืนไม่ให้ตนเองถูกจับป้อนยาปลุกกำหนัดในมือของอู๋เสียนไปได้
"ก่อนเจ้าลงมือกับเปิ่นหวางเจ้าสมควรต้องรู้เอาไว้ด้วยว่าผลที่จะตามมานั้นร้ายแรงเพียงใด คิดอยากจะเป็นสตรีของเปิ่นหวาง เจ้าคู่ควรหรือ แค่ความคิดโสมมนี้คนเช่นเจ้าแม้แต่ชนชั้นทาสในตำหนักของเปิ่นหวางก็ไม่คู่ควรแล้ว เอาความกล้าใดจะปีนเตียงของเปิ่นหวางกัน"
"ข้าไม่คู่ควร แล้วไป๋อวี้คู่ควรหรือ?"
หลิ่วจื่ออิงตะโกนถามออกไปด้วยความคับแค้นแต่มิอาจทำอันใดได้เลย
"คำถามนี้คนเช่นเจ้าเอาสิทธิ์ใดมาตั้งคำถามกัน อู๋เสียนจัดการส่งนางออกไป อ๋อ ส่งนางเข้าไปแล้วก็เร่งให้คนไปแจ้งกับจวนหลิ่วด้วยว่าคุณหนูสามลู่ไปที่ใด"
จบสิ้นคำสั่ง อู๋เสียนก็ลากเอาหลิ่วจื่ออิงนั้นออกไปทันที นางกรีดร้อง ดิ้นรน แต่มิอาจต่อต้านกำลังบุรุษได้ เฉินอี้หานเลิกสนสตรีแพศยาเช่นคุณหนูสามหลิ่วเพียงเท่านั้น เขาอายุ21ปีแล้ว อยู่ในราชวงศ์หากไม่โหดเหี้ยมเด็ดขาดจะอยู่มาจนถึงวันนี้ได้อย่างไร
ยิ่งเป็นน้องชายของฮ่องเต้ เขายิ่งต้องไร้ความปรานี โดยเฉพาะกับคนที่คิดร้ายกับเขากับคนของเขาเฉินอี้หานย่อมไม่ปรานีอยู่แล้ว คิดแย่งสามีของไป๋อวี้สำหรับเขาก็คือหลิ่วจื่ออิงรังแกคนของเขาแล้ว ล่วงเกินเขายังไม่เจ็บแค้นเท่ากับล่วงเกินคนของเขาเลย ไป๋อวี้ใครก็อย่าได้คิดรังแก เพราะคนที่รังแกได้มีเพียงเขาเท่านั้น
"คืนนี้ข้าจะไปค้างที่ตำหนักพระชายาไป๋ หากมีเรื่องใดก็ไปหาข้าที่นั่นก็แล้วกัน ส่วนตำหนักนี้ พรุ่งนี้ก็เรียกช่างจากกรมโยธามารื้อถอนแล้วเผาทิ้งเสีย!"
เขาคิดจะเปิดใจกับนางแล้ว แต่วันนี้กลับถูกทำให้เสียเรื่องจนไป๋อวี้โกรธเขาไปแล้ว ไปง้อนางก็ไม่นับว่าเกินไป หลายวันก่อนเขาไปพบเสด็จแม่ขอคำปรึกษา ไทเฮาก็บอกกับเขาว่าสตรีเมื่อทำให้นางโกรธก็เพียงขอโทษนางจากใจจริง ดังนั้นรื้อตำหนักนี้ของเขาแล้วเผาทิ้งก็ถือเป็นการแสดงความจริงใจของเขาแล้วมิใช่หรือ?
"เอ่อ..."
เหมี่ยวจ้วง องครักษ์เงาหญิง ที่ถูกส่งไปคอยคุ้มกันชินหวางเฟยไป๋อวี้ ปรากฏกายขึ้นตรงหน้าแล้วอ้ำอึ้งอย่างไม่เคยเป็น
"เกิดอันใดขึ้น?" เฉินอี้หานถามขึ้นอย่างรู้สึกใจหายแปลก ๆ
"เอ่อคือ..." เหมี่ยวจ้วงยังคงไม่กล้าจะเอ่ยออกไป เพราะหวาดกลัวโทสะของ นายท่าน จับใจ ก็คนเช่นเฉินอี้หาน ธรรมดาที่ไหนกัน
"พูด!!!" ดวงตาดุดันแล้วเสียงตวาดยังส่งผลให้องครักษ์ทุกคนผวา
"พระชายาไป๋ เขียนหนังสือปลดสามีแล้วก็จากไปแล้วเพคะ!" เหมี่ยวจ้วงหลับหูหลับตาตะโกนตอบออกไป
"หนังสือปลดสามี?!"จินเค่อตะโกนออกมาอย่างลืมตัว ออกมาอีกคน
"นางกล้าหรือ?"เฉินอี้หานเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ไม่รู้ว่าตนเองสมควรโมโหใครดีระหว่างตนเองหรือหลิ่วจื่ออิง
"นี่เพคะ" เหมี่ยวจ้วง รีบยืนยันด้วยหนังสือปลดสามีในมือ ออกไปตรงหน้าของนายท่านด้วยท่าทางลนลาน
"!!!"
ความร้อนพุ่งสูงขึ้นมาบนศีรษะของเฉินอี้หานจนแทบจะได้กลิ่นเหม็นไหม้ลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศรอบกายสูงใหญ่กว่าแปดฉื่อไปหมด สุดท้ายเขาก็ทำให้นางโกรธถึงเพียงนี้
"บังอาจนัก! สตรีผู้นี้ช่างบังอาจเกินไปแล้ว!!!"
หนังสือปลดสามีถูกฉีกจนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยแล้วเท้าแกร่งของเฉินอี้หานก้าวเร็วมุ่งหน้าไปยังตำหนักหลัวอวี้ที่เป็นของชินหวางเฟยตัวน้อยเพื่อจะดูให้เห็นกับตาว่านางหายตัวไปที่ใดกันแน่ เหตุใดไม่รอเขา ไม่ถามก่อนจะไป มาทิ้งหนังสือปลดสามีแล้วจากไปเช่นนี้มันใช้ได้ที่ใดกัน เขาผิดย่อมรู้แต่ไม่ให้โอกาสอธิบายนางก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน
แต่ตรวจดูจนแน่ใจของทุกชิ้นของนางก็ยังอยู่ครบอย่าว่าแต่สินเดิมแม้แต่อาภรณ์ไป๋อวี้นั้นกลับไม่ได้เก็บไปแม้แต่ชิ้นเดียวเช่นนี้ก็แสดงว่านางไปแต่ตัวเท่านั้น แล้วยังจะไปที่ใดได้ บังอาจยั่วโมโหเขาเช่นนี้หากพบหน้าเขาจะจับนางมาหวดสะโพกให้นั่งไม่ลงเลยทีเดียว
"เหมี่ยวจ้วง นางไปที่ใด"
เหมี่ยวจ้วงคิดว่า นายท่าน ของตนจะไม่ถามเสียแล้ว เพราะนางเรียนรู้สิ่งหนึ่งหลังจากติดตามชินหวางเฟยไป๋อวี้ได้พักใหญ่ก็คือหากชินอ๋องไม่ถามนางก็ห้ามรายงานออกไปก่อนโดยเด็ดขาด ทั้งที่ในสายตาของคนใกล้ชิด นายท่าน นั้นอีกฝ่ายชอบพอจนอาจถึงขั้นคลั่งรักชินหวางเฟยตั้งนานแล้วแท้ ๆ
"ไปวังหลวงเพคะ"
หากไป๋อวี้เข้าวังหลวงก็คงมีเพียงแค่ไปเข้าเฝ้าไป๋ฮองเฮาพี่สาวของนางเท่านั้น หากไปหาไป๋ฮองเฮาเช่นนั้น เฉินอี้หานก็ยังค่อยสบายใจลงได้ นับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ประเดี๋ยวนางสบายใจก็คงกลับมาเองแต่เขาจะไปรับนางก็แล้วกันเห็นแก่ที่คราวนี้เขาก้าวผิดทำให้นางโมโหแล้วจริง ๆ
"เอะอะก็วิ่งไปหาพี่สาวเช่นนี้ก็คงรอให้ข้าไปง้องอนนางเป็นแน่ แต่ข้าเป็นสวามีที่ดีจะไปรับนางกลับก็ได้"
ทั้งเหมี่ยวจ้วงและจินเค่อนั้นอยากจะร้องคำว่า ‘อ๋อ’ให้ยาวออกไปสักพันลี้เสียจริง ติดก็แค่หากพวกตนทำลงไปศีรษะอาจแยกกันอยู่กับลำตัวเสียเท่านั้นจึงทำเพียงรับฟังอย่างเงียบเชียบเท่านั้น
"แต่หากข้ารีบติดตามไปคราวหลังหากนางโกรธข้าอีกก็จะทำตัวเช่นนี้อีกปล่อยให้นางแง่งอนไปก่อนจึงนับว่าดัดนิสัยเอาแต่ใจของนางเสียบ้าง" ความจริงแล้วร้อนใจมาก แต่ไม่อยากแสดงออกต่อหน้าลูกน้องประเดี๋ยวจะเสียการปกครอง
"แต่ปกติทุกครั้ง พระชายาไป๋ไม่เคยเข้าวังทั้งที่มืดค่ำมาก่อนนะเพคะ จะถูกนายท่านกลั่นแกล้งอย่างไร แม้แต่จวนเซี่ยกั๋วกงพระชายานั้นก็ไม่เคยหนีกลับไปเช่นนี้มาก่อนเลยนะเพคะ"
เหมี่ยวจ้วงอดรนทนไม่ไหวจึงเปิดปากเตือนออกไป เนื่องจากในตำหนักชินอ๋อง และบรรดาคนสนิทใครบ้างจะมองไม่ออกอีกบ้างว่าชินอ๋องเฉินอี้หานนั้นแรกเริ่มไม่พึงใจคุณหนูสามไป๋ แต่พอแต่งงานก็ชอบหาเรื่องรังแกอีกฝ่าย ทว่าเขารังแกพระชายาไป๋ได้เพียงผู้เดียวหากใครกล้าล่วงเกินนางล้วนไม่ได้ตายดีสักคน หากจะมีใครที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวคงมีเพียงแต่พระชายาไป๋แล้วจริง ๆ ว่าชินอ๋องนั้นรู้สึกเช่นไรกับตนเอง แต่จะแปลกอันใดในเมื่อต่อหน้านาง นายท่านของพวกตนชอบแสดงออกแต่นิสัยประหลาดเช่นนั้นสาวน้อยเช่นพระชายาไป๋คงยากจะเข้าใจ
"แต่นี่มืดค่ำไม่พอยังดึกมากแล้วเข้าวังไปด้วยเรื่องเพียงง้องอนคนมันออกจะไม่สมควรนักเช่นนั้นพรุ่งนี้ยามเช้ามาเยือนข้าจึงค่อยแวะไปหาไป๋อวี้ที่ตำหนักฮองเฮาหลังประชุมขุนนางก็นับว่ายังไม่สาย"
เฉินอี้หานที่ไม่อยากจะเสียหน้าเพราะรีบร้อนตามไปในยามนี้ถ่วงเวลาเอาไว้แต่ใครจะคาด พอพรุ่งนี้มาถึงต่อให้เฉินอี้หานนั้นเข้าวังไปตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นและรีบร้อนไปพบหน้านางที่ตำหนักของไป๋ฮองเฮาไม่รอจนประชุมขุนนางเสร็จแต่ก็กลับสายไปแล้วจริง ๆ สายไปแล้วเพราะไป๋อวี้ตัดสินใจออกจากเมืองหลวงไปตั้งแต่ค่ำคืนนี้!