ร้านที่พิมานเธอพามานั่งทานมื้อค่ำ บรรยากาศของร้านมีความโปร่งโล่งสบาย มีสายลมพัดผ่านหอบเอาไอเย็นจากแม่น้ำปะทะผิวกายเป็นระยะๆ การตกแต่งของร้านนั้นเน้นใช้วัสดุจากไม้และเหล็กเป็นหลัก ทำให้เห็นถึงความเคร่งขรึม แต่แลดูไม่ดูอึดอัดเพราะมีส่วน outdoor ให้ลูกค้านั่ง กับส่วน indoor ทั้งสองพื้นที่นี้ไม่ได้มีผนังกั้นทั้งสองส่วนให้แยกจากกัน ทางร้านเปิดโล่งทั้งสองส่วนให้เข้าถึงกันได้
พิมานยื่นเมนูอีกเล่มให้หญิงสาว เขาถามด้วยความสนใจอีกว่า "แพรดื่มค็อกเทลมั้ย ร้านนี้มีค็อกเทลสูตรเฉพาะที่เหมาะกับผู้หญิงหวานๆ แบบแพรด้วยนะ"
"ค่ะ แพรดื่มได้" แพรพิศช้อนตาขึ้นมาตอบเขา แล้วเลื่อนสายตาลงแลดูอาหารในเมนูต่อ ท่าทางดูเหมือนจะสนใจรายการอาหารตรงหน้ามากกว่าอย่างอื่น แต่เปล่าเลย เธอกำลังรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรถ่วงอยู่ภายในใจ ให้รู้สึกหนักอึ้ง
จริงๆ ก็เรื่องของเขา ไม่ได้เกี่ยวกับเธอเสียหน่อย จะมาคิด จะมาให้ภาพนั้นเป็นภาพที่ติดตาว่า เขามากับผู้หญิงอีกคนทำไมกัน
"ท่าทางครั้งนี้คงจะเป็นไปได้สวย" พิมานกล่าวหลังจากวางเมนูลงเมื่อเลือกรายการอาหารได้แล้ว
แพรพิศช้อนตาขึ้นมาจ้องเขากลับ ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร "คะ"
พิมานจึงพยักเพยิดไปทางโต๊ะที่เขาและเธอเพิ่งผละมา ตรงนั้นเป็นด้านหลังอัครา และหญิงสาวอีกคนกำลังทานข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข เท่านี้แพรพิศก็เข้าใจว่าพิมานหมายถึงใคร
"นานแล้วนะ ที่อัครมันไม่ได้เปิดใจแบบนี้"
สีหน้าของเธอสลดลง จะเกี่ยวกับมารดาเธอหรือไม่ ที่ทำให้เขากลายเป็นคนเข็ดขยาดกับความรักมานาน
"ฉันจึงบอกว่า ท่าทางรักครั้งนี้ของอัครจะเป็นไปได้สวย น้องแคร์ก็เหมาะสมกับเขาดี"
แพรพิศยิ้มขึ้นเล็กน้อย วางเมนูลง แล้วพยักหน้ารับ เธอไม่รู้จะเอ่ยคำพูดไหนตอบพิมานอีก
เขาและหญิงสาวคนนั้นช่างเหมาะสมกันดี คำว่าเหมาะสมของคนเรานั้นคืออะไร อ้อ ก็คงไม่พ้น และวนเวียนอยู่เรื่องของฐานะความเป็นอยู่น่ะสินะ
หลังจากรับฟังเรื่องของอัครากับหญิงสาวอีกคนเป็นที่พอสมควรแล้ว พิมานก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องของทั้งสองให้เธอต้องมารับรู้ด้วยอีก เพราะแพรพิศจึงเป็นฝ่ายเล่าเรื่องของเธอ ตอนที่เรียนอยู่ที่อังกฤษให้เขาฟังบ้าง
จนบรรยากาศอาหารค่ำผ่านพ้น พิมานและแพรพิศลุกจากโต๊ะเตรียมจะกลับ หญิงสาวหันกลับไปที่เดิมก็มองไม่เห็นคู่รักคู่นั้นอีกแล้ว เมื่อออกจากร้านพิมานก็ไปส่งเธอที่คอนโดแล้วกลับ
ในระหว่างทางที่เขาขับรถมาส่งชนิภาที่บ้าน อัคราได้ตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องของแพรพิศให้ชนิภาได้รับรู้ด้วย ไหนๆ เขากับเธอก็อยู่ในสถานะที่กำลังคบหาดูใจกันอยู่แล้ว เรื่องของแพรพิศจึงไม่ควรเป็นเรื่องที่เขาต้องปิดบังเอาไว้อีก ทั้งๆ เขาก็ไม่ได้ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวไปให้ใครฟัง โดยเฉพาะเรื่องราวความรักที่จบไม่สวยเท่าไหร่ในตอนนั้น ก็เพราะว่ายอมรับชนิภาเป็นคนพิเศษแล้ว เขาจึงใคร่ครวญว่า อย่างไรเธอควรรู้เรื่องนี้จากปากเขาเองจะดีกว่า
"ไม่อยากเชื่อว่า พี่อัครจะรับอุปการะลูกของผู้หญิงที่หักหลังพี่อัครได้ พี่อัครใจกว้างจังเลยนะคะ"
ชนิภาเอ่ยคล้ายจะชม แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดเสียทีเดียว ในน้ำเสียงของเธอนั้นหากฟังดูดีๆ มีความแปร่งปร่าแฝงอยู่ด้วย หลังจากที่ฟังอัคราเล่าเรื่องราวของหญิงสาวน่าตาสะสวยน่าเอ็นดูคนนั้นจบชนิภาก็เหมือนจะอึ้งไปพักหนึ่ง บอกไม่ถูกว่าควรรู้สึกอย่างไรดี เพราะในโลกนี้มีเรื่องราวแปลกประหลาดมากมายก็จริงอยู่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับรู้ว่า มีผู้ชายคนหนึ่งจำต้องรับอุปการะหญิงสาวที่เป็นลูกของคนรักเก่าของตัวเองไว้
จะว่าอัคราใจกว้างก็ใช่ แต่...ชนิภาก็รู้สึกไม่เต็มที่นัก ตรงที่เธอยังรู้สึกแปลกๆ เพราะ จู่ๆ วันหนึ่งก็มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่อ่อนเยาว์กว่าเธอหลายปีมาปรากฏตรงหน้า แถมยังอยู่ในฐานะที่อัคราได้อุปการะส่งเสียจนเรียนจบถึงเมืองนอกอีก
จะให้มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ชนิภาไม่อาจทำใจมองแบบนั้นได้เลย
และแม้เธอจะยิ้มให้เขาอยู่ทำนองว่า เธอไม่ได้ติดใจหรือคิดมากหรอก แต่ภายในใจของชนิภาก็รุ่มๆ อยู่ไม่สุขตามประสาผู้หญิงที่ไม่อยากให้คนรักของเธอ มีใครอีก แม้หญิงสาวคนนั้นจะอยู่ได้แค่สถานะเด็กที่เคยถูกอุปการะเอาไว้ก็ตาม
แพรพิศมองหน้าจอแล็ปท็อป แล้วกดส่งอีเมล์ที่เป็นจดหมายสมัครงานล่าสุดออกไปทันที ห้าที่แล้วที่เธอสมัครไป และบัดนี้ก็ยังไม่มีใครติดต่อกลับมาสักที่
เธอเข้าใจนะว่าสมัยนี้งานค่อนข้างหายาก หญิงสาวถอนหายใจแรงๆ คว้าแก้วน้ำเปล่าที่วางใกล้ๆ มาดื่ม แต่ปรากฏว่าปริมาณน้ำข้างในเหลือติดก้นแก้วเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เธอจึงลุกขึ้นเดินไปยังครัวเพื่อรินน้ำเพิ่ม ทว่า ขณะนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือดันมีเสียงเรียกเข้าเสียก่อน
หญิงสาวถอยหลังกลับมาที่โต๊ะ พลางนิ่วหน้าลงเล็กน้อย หรือบริษัทที่เธอสมัครงานไปจะติดต่อกลับมาแล้ว แพรพิศชะโงกดูโทรศัพท์เห็นหน้าจอปรากฏรายนามของผู้ที่ติดต่อเข้ามายิ่งทำให้เธอประหลาดใจ
'พี่ลิน' หรือมาลินีเลขาฯของอัครานั่นเอง
เธอรีบวางแก้วน้ำลง คว้าโทรศัพท์บนโต๊ะมากดรับสายนี้ทันที "สวัสดีค่ะ พี่ลิน"
"แพร ยุ่งอยู่รึเปล่าจ๊ะ"
"ไม่ยุ่งค่ะ ช่วงนี้แพรว่าง" เธอตอบตามตรง ตามประสาของคนที่กำลังหางานทำหลังจบใหม่ๆ
"เหรอ พี่มีอะไรอยากจะคุยกับแพร วันนี้มาคุยกับพี่ตอนหกโมงเย็นได้มั้ย"
"ได้ค่ะ"
"งั้น เดี๋ยวพี่จะส่งโลเคชั่นสถานที่ให้นะ"
เมื่อตกลงเวลาและสถานที่เรียบร้อย ไม่นานมาลินีก็ส่งโลเคชั่นร้านคาเฟ่ดังแถวบริษัทของอัครามาที่โทรศัพท์ของเธอ
แพรพิศวางโทรศัพท์ลงที่เดิมอีกครั้งด้วยความแปลกใจ ปกติเธอและมาลินีก็ติดต่อกันอยู่เสมอ ตั้งแต่ที่เธอย้ายไปเรียนที่อังกฤษแล้ว เพราะเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับเธอ เธอจะไม่ได้ติดต่อกับอัคราโดยตรง หากมีเรื่องอะไรก็แค่ติดต่อไปที่เลขาฯของเขาเท่านั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าเธอและมาลินีทำไมถึงค่อนข้างสนิทสนม จนสามารถเรียกอีกฝ่ายว่า 'พี่' ได้เลย
จวบจนถึงเวลาที่มาลินีนัดหมายนั่นเอง แพรพิศเดินเข้าไปในร้านคาเฟ่แห่งหนึ่ง เธออุตส่าห์เผื่อเวลามาก่อนนัดหมายสิบนาทีแล้ว แต่ก็ยังช้ากว่าอีกฝ่ายอยู่ดี เธอเห็นมาลินีกำลังรอที่โต๊ะ ท่าทางดูเหม่อลอยชอบกล
"พี่ลินคะ" เธอเรียกผู้หญิงที่ก้มหน้าก้มตาคนแก้วเครื่องดื่มตัวเองไปมา
มาลินีเงยหน้าขึ้นมา ปรากฏร่างของหญิงสาวที่ตนกำลังรอคอยอยู่ "อ้าว แพร มาถึงแล้วเหรอจ๊ะ"
"ค่ะ" แพรพิศรับคำเรียบๆ ก่อนจะนั่งลงกับเก้าอี้อีกตัว
"สั่งอะไรมั้ย พี่จะสั่งให้"
"เอาแบบเดียวกับที่พี่ลินสั่งมาก็แล้วกันค่ะ"
แพรพิศบอก จากนั้นมาลินีก็ทำการสั่งเครื่องดื่มเย็นที่เป็นผลไม้ปั่นให้เธออีกแก้ว เวลานี้แพรพิศยิ่งสังเกตเห็นถึงความซูบผอม และรอยคล้ำใต้ดวงตาของมาลินีชัดขึ้น
"พี่ลินดูผอมไปนะคะ"
"พอดีช่วงนี้ชีวิตมีเรื่องไม่สบายใจน่ะ"
"คะ"
"ก็ที่นัดแพรมาพบก็เพื่อจะคุยถึงเรื่องนี้น่ะแหละ งั้นพี่เข้าเรื่องเลยก็แล้วกันนะ"
แพรพิศใช้การพยักหน้าขึ้นลงเป็นสัญลักษณ์ว่าเธอกำลังตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมา
"พี่จะต้องพักการทำหน้าที่เป็นเลขาฯให้กับคุณอัครไปสักพักก่อน อาจจะราวๆ สามเดือน หกเดือน หรือนานกว่านั้นอีก แต่ก็คาดว่าไม่เกินหนึ่งปีหรอก"
"ทำไมล่ะคะ"
"เพราะคุณแม่ของพี่ท่านป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย ตอนนี้มะเร็งได้ลามไปที่ตับอ่อน คุณหมอบอกว่าท่านจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว อย่างเร็วก็สามเดือน อย่างช้าไม่เกินหกเดือน หรือนานที่สุดอาจจะไม่ถึงปีแล้วล่ะ" พูดแล้วก็ก้มหน้าร้องไห้ ก่อนจะแข็งใจเงยหน้ามาพูดอีกว่า "ตอนนี้ท่านเป็นผู้ป่วยติดเตียงด้วยเลยต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด นี่แหละที่พี่จะต้องพักการทำหน้าที่เป็นเลขาฯให้คุณอัครไปก่อน เพื่อได้จะออกไปดูแลท่านให้ดีที่สุดก่อนน่ะ"
แพรพิศมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น ด้วยความที่มารดาของเธอก็เคยป่วยหนักด้วยโรคนี้ จึงทำให้เธอสัมผัสถึงความหวาดกลัวของมาลินีได้ชัดขึ้น และเมื่อนึกย้อนไปตอนนั้นแม้เธอยังเด็ก แต่ก็สัมผัสถึงความทุกข์และความหวาดกลัวในใจของมารดาได้ดี
...กลัวตายก็กลัว กลัวไม่มีใครจะมาดูแลลูกสาว ก็กลัว...
"พี่มีพี่ชายอีกคน แต่ตอนนี้รับราชการอยู่ต่างจังหวัด ไม่สะดวกที่จะมาดูแลแม่ เราสองคนพี่น้องเลยตกลงกันว่าจะให้พี่พักงานเพื่อดูแลท่านให้ดีที่สุดในฐานะลูก และพี่ก็เต็มใจที่จะไปดูแลท่าน อยากทำหน้าที่ลูกที่ดีให้ท่านเป็นครั้งสุดท้ายน่ะ"
"ค่ะ แล้ว..." เธอเอียงหน้าลงเล็กน้อย พร้อมกับลากเสียงยาวเพื่อจะถามว่า แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเธออย่างไร ถึงได้เรียกเธอมาพบวันนี้
มาลินีเองก็อ่านภาษากายของหญิงสาวตรงหน้าอีก จึงรีบเฉลยทันที "เมื่อวานพี่ก็ปรึกษากับคุณอัคร คุณอัครก็เห็นใจพี่มาก ทั้งเรื่องงานและหน้าที่ของลูก แต่ครั้นจะให้พี่ลาออกไปคุณอัครก็ไม่อยากให้เป็นการซ้ำเติมพี่อีก เลยแนะนำว่า ให้พี่พักงานไปก่อน และในช่วงระหว่างที่พี่ไปดูแลแม่ก็ต้องหาคนมาทำหน้าที่นี้ไปพลางๆ"
เอ่ยจบก็จ้องหน้าแพรพิศตรงๆ
"พี่ลินหมายถึง...อยากให้ลินไปทำหน้าที่นี้แทนพี่ลินก่อนหรือคะ"