"ใครเหรอ" เสียงทุ้มถามขึ้นมา
"พ่อ" ตอบแล้วเหมือนจะสะดุดใจเสียเอง แพรพิศจึงเงยหน้าพูดอีก "จริงๆ ก็ไม่ใช่พ่อหรอกนะคะ เขาไม่เคยรับหนูเป็นลูก หนูก็ไม่จำเป็นต้องนับเขาเป็นพ่อ"
"ท่าทางจะเป็นคนที่แรงไม่เบาเลยนี่เรา" เสียงทุ้มยังเย้าทั้งขำและสงสารเธอไปในคราวเดียวก่อน ก่อนถามถึงเด็กผู้หญิงอีกคน "แล้วเด็กอีกคนนั่น..."
"น้องสา..." เธอหยุดเม้มริมฝากปากแน่น เห็นชัดว่าไม่อยากพูดถึงเด็กผู้หญิงคนเมื่อครู่ที่เดินผ่านหน้าเธอไปเท่าไหร่ "เป็นลูกของผู้ชายคนนั้น จริงๆ ก็เป็นน้องสาวหนู แต่หนูก็ไม่อยากรับว่าเป็นน้องสาวอีกเหมือนกัน"
ดวงหน้าเรียวเล็กของเด็กหญิงดูบูดบึ้งขึ้นมาอย่างไม่ชอบใจ เมื่อนึกถึงความยโสที่เด็กผู้หญิงคนนั้นแสดงออกกับเธอ ทั้งสายตาและคำพูด ถูกหล่อหลอมมาจากย่าผู้ที่ใจร้ายคนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน
"นี่น่ะเหรอ คนที่อ้างว่าเป็นลูกของคุณพ่ออีกคน เป็นพี่สาวของ..."
น้ำเสียงเล็กๆ เอ่ยขึ้นอย่างกระแทกกระทั้น พร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กหญิงคนหนึ่งที่เดินออกมาดูหน้าของแพรพิศ ขณะที่กำลังยืนรอมารดาเข้าไปคุยกับคนพวกนั้นภายในบ้าน
"คุณหนูอย่าไปพูดแบบนี้! เดี๋ยวคุณย่าก็มาได้ยินหรอกค่ะ" สาวใช้คนหนึ่งรีบมาปราม และพยายามดึงตัวเด็กหญิงคนนี้กลับเข้าไปภายในบ้าน ไม่วายยังมองเธอหางตาแบบเหยียดหยันอีกด้วย "จะใช่จริงๆ หรือเปล่าเรายังไม่รู้แน่นะคะ ดังนั้นอย่าไปทึกทักเอาเองว่าเด็กคนนี้มีความเกี่ยวข้องกับคุณหนู"
แพรพิศเล่าถึงบรรยากาศในวันที่แม่พาเธอไปพบคนบ้านนั้นล่าสุดให้พิมานฟังอีกเล็กน้อย ก่อนจะเสริมอีกว่า "แม่เคยท้าให้พวกเขาตรวจดีเอ็นเอของหนู แต่พวกนั้นกลับใจเสาะไม่กล้าตรวจเสียเอง พอตัวเองใจเสาะ ก็มากล่าวหาว่าหนูไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกับพวกตน และมากล่าวหาแม่หนูอย่างเสียๆ หายๆ ว่าโกหกแอบอ้างเพราะอยากจะจับพ่อจนตัวสั่น"
แพรพิศระบายลมหายใจที่หงุดหงิด เงยหน้าพูดกับเขาอีก "คนพวกนี้นอกจากฐานะแล้ว อย่างอื่นสำหรับหนูก็ถือว่าใช้ไม่ได้สักอย่าง กำพืดเดียวกันหมด"
พิมานหลุดหัวเราะออกมาอย่างขบขันจนได้ พร้อมกับกอดอกหลุบมองเด็กหญิง แล้วกระเซ้าอีก "วาจาเราก็ไม่เบานี่ ใครสอนให้พูดแบบนี้ หึ"
"ไม่มีใครสอนหรอกค่ะ หนูรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ว่านอกจากฐานะ ก็ไม่เห็นว่าพวกนั้นจะสูงส่งกว่าคนอื่นที่ตรงไหน"
พิมานยิ้มตรงมุมปากน้อยๆ จากท่าทางและน้ำเสียงของเด็กคนนี้ ทำให้ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความรั้น ความมีมานะทิฐิสูงของเธอได้อีก เขาคลายสองแขนออกจากอก พร้อมกับเอ่ยกับเธออีก
"เดี๋ยวให้ฉันแวะไปส่งเธอกับป้านีที่บ้านนั้นดีกว่า ไหนๆ ก็เป็นทางผ่านที่จะกลับบริษัทของฉันอยู่แล้ว"
จากนั้นพิมานก็เปลี่ยนใจอาสาไปส่งคนทั้งสองถึงบ้านของอัคราเอง เพราะยิ่งคุยกับเด็กนี่ เขาก็ยิ่งรู้สึกสนุก ทีแรกก็นึกว่าเธอจะเป็นแบบเงียบๆ เสียอีก แต่แล้วกลับเป็นเด็กที่ช่างพูดช่างจาดีเหลือเกิน แบบนี้อัคราคงไม่เหงาหรอก อุปการะเลี้ยงดูเธอไปด้วย คงเหมือนได้นกแก้วนกขุนทองที่ช่างพูดช่างคุยมาเสริมบรรยากาศของบ้านที่เงียบสงัด ราวกับป้าช้าให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้างล่ะนะ
เมื่อพิมานมาส่งเธอและสินีเรียบร้อย เขาก็กลับไปทำงานต่อ ก่อนจะเดินเข้าบ้าน แพรพิศอดที่จะหันไปถามป้าแม่บ้านผู้ใจดีด้วยความอยากรู้ไม่ได้ว่า พิมานทำงานเกี่ยวกับอะไร แล้วเธอก็ได้รู้ว่าเขาเป็นเจ้าของบริษัทรับออกแบบและตกแต่งภายในนั่นเอง เพราะพิมานเรียนจบด้านสถาปนิกมา
เด็กหญิงเปิดประตูกลับเข้ามาในห้องนอน วางถุงที่ใส่เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวลงบนเตียงนอน แล้วนึกถึงหน้าชายหนุ่มทั้งสองคนอีกครั้ง อดที่จะเปรียบเทียบทั้งสองขึ้นมาไม่ได้ว่า
พิมานกับอัคราแม้จะเป็นญาติผู้พี่ผู้น้องกัน นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วก็ไม่เห็นจะเหมือนกันที่ตรงไหน
พิมานชายหนุ่มมาดขี้เล่น ท่าทางใจดีและอบอุ่น เขาเหมือนดวงตะวันยิ้มแฉ่งในเทเลทับบี้การ์ตูนที่เธอชอบดูตอนเด็ก เป็นตัวแทนความสว่าง อบอุ่น สบายใจยามได้อยู่ใกล้
แต่กับอัคราผู้ชายที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ เขาทั้งเย็นชา และเงียบสงัด ทำให้เธอ นึกถึงภูเขาน้ำแข็งแห่งไททานิค ภาพยนต์ที่แม่ชอบเปิดให้เธอดูด้วยกันขึ้นมา
แล้วภูเขาน้ำแข็งก้อนมหึมานี้ จะตัดสินใจเรื่องของเธออย่างไรต่อไปนะ เธอก็อยากรู้ชะตากรรมของตัวเองจริงๆ
ตอนหัวค่ำขณะแพรพิศกำลังช่วยเช็ดจานที่ล้างเสร็จแล้วในครัว เธอก็ได้ยินเสียงรถคันนั้นแล่นกลับเข้ามาในบ้าน ไม่นานสิริพรก็ตามมาบอกเธอว่า อัคราต้องการพบเธอ
"แพร คุณอัครให้ไปพบ ตอนนี้คุณอัครรอที่ห้องโถงนะ"
แพรพิศเลยรีบวางมือ ล้างไม้ล้างมือให้สะอาด แล้วไปพบชายหนุ่มตามคำบอกกล่าวของสิริพรทันที
ภูเขาน้ำแข็งแห่งไททานิคกำลังนั่งอย่างน่าเกรงขามอยู่ตรงหน้า แม้ท่านั่งจะไม่เป็นทางการสักเท่าไหร่ก็ตาม เพราะเขากำลังเอนหลังพิงกับพนัก ขาข้างหนึ่งไขว้ขาอีกข้างไว้ มือข้างหนึ่งถือกระดาษขนาดเอสี่สามแผ่น ส่วนอีกข้างถือปากกาที่เตรียมเขียนกำกับข้อความบางอย่างในกระดาษเหล่านั้นไว้ด้วย
ดูเหมือนเขากำลังอ่านข้อความจากกระดาษในมืออย่างตั้งใจทีเดียว
ทำไมภูเขาน้ำแข็งเช่นเขายังต้องทำงานอีก ทั้งที่เวลานี้ก็เป็นเวลาเลิกงานไปแล้วนี่นา
"พี่พรบอกว่า คุณเรียกหนูมาพบ มีอะไรรึเปล่าคะ"
"นั่งลงก่อนสิ" บอกเรียบๆ ยังไม่ละสายตาจากกระดาษมามองเธอเลย
แพรพิศจึงนั่งลงกับเก้าอี้นวมนุ่มอีกตัวที่อยู่ไม่ห่างกัน เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง เขายังไม่พูดอะไรกับเธออีก สงสัยคงต้องรอให้เขาอ่านกระดาษสามแผ่นในมือให้จบก่อนกระมัง แต่กว่าเขาจะอ่านจบ เหน็บชาก็เริ่มลุกลามขาข้างหนึ่งของเธอขึ้นมาเรื่อยๆ
เด็กหญิงนิ่วหน้าลง พร้อมกับนึกค่อนขอดว่า เขาน่าจะทำงานในมือให้เสร็จก่อน แล้วค่อยให้พี่พรไปเรียกเธอมาพบก็ได้ ไม่เห็นต้องเรียกเธอมานั่งทรมานเพราะเหน็บกินแบบนี้เลย
ว่าแล้วเด็กหญิงก็ก้มตัวลง จะใช้กำปั้นทุบที่ขาข้างนั้นเพื่อไล่ความปวดหนึบออก แต่ก็ต้องชะงักไว้แค่นั้น เมื่อภูเขาน้ำแข็งที่นิ่งงันก่อนหน้า จู่ๆ ก็โน้มตัวไปวางกระดาษและปากกาลงกับโต๊ะ แล้วเงยหน้ามาเอ่ยกับเธอ
"วันนี้ไปซื้อของที่อยากได้เพิ่มครบหมดแล้วใช่มั้ย"
"ค่ะ" รับคำพร้อมกับรีบยืดลำตัวให้กลับมานั่งตรงเหมือนเดิม
"ได้ข่าวว่านายพีทพาไปเลี้ยงขนมด้วยนี่"
"คุณรู้?"
"หลังจากแวะมาส่งเธอและป้านีที่นี้ นายพีทก็รายงานให้ฉันรู้แล้ว" เขาตอบ
แพรพิศก็สบตากับเขาปริบๆ ไม่เข้าใจว่าที่เขาเรียกเธอมาพูดจะเกี่ยวอะไรกับพิมานด้วย
"เป็นยังไง ดูเธอจะถูกชะตากับพีทเขาดีนะ"
เขาเอ่ยเรียบๆ อีก ทำให้แพรพิศฟังไม่ออกว่า เขาประชด หรือถาม หรือแค่พูดถึงญาติสนิทของเขาเฉยๆ
"ค่ะ ก็คุณพีทใจดีนี่คะ พูดง่าย เข้าถึงง่าย ไม่เหมือนอย่าง..."
เธอเลือกสบตาเขาตรงๆ บอกให้เขารู้ว่าพิมานนั้นแตกต่างกับเขาอย่างสิ้นเชิง เพราะสำหรับเธอแล้วหากเขาคือภูเขาน้ำแข็งแห่งไททานิค พิมานก็เป็นดวงตะวันยิ้มแฉ่งแห่งเทเลทับบี้นั่นเอง
อัคราคงรู้ว่าเธอหมายถึงเขาตัวเองจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง "ที่เรียกเธอมาคุณด้วยไม่ใช่จะคุยถึงนายพีทหรอกนะ แค่จะบอกว่า ท่าทางเธอจะชอบคนใจดีแบบนายพีท"
ดวงตากลมของเด็กหญิงกลอกไปมา แล้วนิ่วหน้าน้อยๆ ก่อนรับคำ "ค่ะ ใครจะไม่ชอบอยู่ใกล้ๆ คนใจดีล่ะคะ"
อัครายิ้มที่มุมปาก แต่แววตายังคงความระดับความกระด้างอยู่ดุจเดิม แม้จะรู้ว่าถูกเด็กหญิงค่อนขอด แต่เขาก็ไม่สนใจหรอก ดีเสียอีกจะได้เข้าเรื่องที่เขาเตรียมคุยกับเธอเลย "ดีแล้วล่ะ ฉันกำลังจะแนะนำคนใจดีอีกคนให้เธอรู้จักด้วย"
ดวงหน้าเรียวเล็กของเด็กหญิงค่อยๆ ถอดสีในขณะที่แววตาของภูเขาน้ำแข็งตรงหน้า ยังคงฉายความดำมืดให้เธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมามากขึ้น
"หมายความว่า คุณกำลังจะแนะนำให้หนูไปอยู่กับคุณอื่นอย่างนั้นหรือคะ"
"ฉันมีพี่สาวคนหนึ่ง ตอนนี้อยู่เชียงใหม่ เป็นเจ้าของไร่ชาที่เชียงใหม่”
"คุณมีพี่สาว หมายถึงพี่สาวจริงๆ ใช่มั้ยคะ" ความหงุดหงิดหวาดกลัวถูกแทนที่ด้วยความแปลกใจ จริงสิ เธอมาอยู่ที่บ้านหลังนี้เกือบอาทิตย์ แต่ก็ลืมถามป้านีว่า อัคราอยู่บ้านนี้คนเดียวหรือ เขาไม่มีญาติพี่น้อง พ่อหรือแม่อยู่ด้วยกันอีกหรือ แล้วถ้ามี ตอนนี้พวกเขาไปอยู่เสียที่ไหน
"เธอคงแปลกใจสินะ ว่าพ่อแม่พี่น้องคนอื่นๆ ของฉันอยู่ไหน ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่เชียงใหม่ อยู่บนดอยสูงที่มีไร่ชานับพันไร่ข้างบน" เหมือนเขาจะตอบข้อสงสัยที่เธอลืมสนใจไปเสียสนิท จากนั้นน้ำเสียงกังวานของเขายังพูดถึงคนในครอบครัวเขาอีก
"พี่สาวฉันขยายฐานไปทำธุรกิจเกี่ยวกับชา ทำเครื่องดื่มทุกอย่างที่เกี่ยวกับชา ลำพังแค่ธุรกิจเครื่องดื่มน้ำผลไม้ที่พวกเราทำอยู่ คงจะไม่สามารถที่ตีตลาดเครื่องดื่มได้มากพอ เลยต้องมีการแบ่งกันไปทำธุรกิจเครื่องดื่มในแบบอื่นๆ ด้วย พี่สาวฉันจึงย้ายไปทำไร่ชาเมื่อสิบปีก่อน พ่อแม่ของฉันท่านชอบอากาศข้างบนมาก เลยย้ายตามไปอยู่กับลูกสาวคนโตที่นั่น นานๆ ทีพวกท่านถึงจะแวะมาพักที่นี่ แต่ ช่างเถอะ ฉันกำลังจะแนะนำให้เธอไปอยู่กับพวกท่าน พวกท่านใจดีมาก พี่สาวฉันก็มีลูกสาว แต่ตอนนี้เรียนอยู่ต่างประเทศ เธอไปอยู่ที่นั่น จะได้ไม่เหงา พี่สาวของฉันใจดีนะ และชอบเด็ก วันจันทร์ถึงศุกร์เธอก็เรียนหนังสือในตัวเมือง พอถึงวันเสาร์อาทิตย์ก็ขึ้นดอยไปอยู่กับพวกท่าน ข้างบนนั่นอากาศดีมาก หรือถ้าอยากจะช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ที่นั่นก็มีงานให้ทำตลอด รับรองว่ามีแต่เรื่องสนุก ไม่น่าเบื่อเหมือนกับอยู่ที่นี่”
แพรพิศคอแข็งขึ้น พลางเม้มริมฝีปาก เพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล แล้วพูดอย่างน้อยใจอีก "ถึงอย่างไร คุณก็จะส่งหนูให้ไปอยู่กับคนอื่นอยู่ดี หนูไม่รู้จักพวกเขาค่ะ หนูไม่ไป"
"เธอก็ไม่ได้รู้จักฉันดีพอนะ แพรพิศ"
"แต่แม่หนูวางใจที่จะให้หนูอยู่กับคุณนี่คะ ก็แสดงว่าคุณเป็นคนดีและสามารถที่จะดูแลหนูได้ ให้หนูกลับไปหาพ่อ หนูก็ไปไม่ได้ ให้กลับไปอยู่ที่บ้านสวน ก่อนจะมาที่นี่ แม่ได้ให้คนเช่าที่นั่นทำสวนผลไม้ไปหมดแล้ว ซึ่งพวกเขาก็เป็นแค่ญาติห่างๆ กัน เขาดูแลหนูไม่ได้หรอกค่ะ แม่เลยต้องบากหน้ามาขอให้คุณช่วยต่อยังไงล่ะคะ"
เธอเอ่ยแล้ววิงวอนเขาอีก "ได้โปรดเถอะค่ะ ถ้าคุณมองว่าหนูเป็นภาระ โฉนดที่ดินที่แม่เตรียมมาด้วย คุณก็รับเอาไปเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ของหนูสิคะ"
อัคราถอนหายใจ สุดท้ายเด็กหญิงก็วกกลับมาเรื่องโฉนดที่ดินอีกจนได้ "นั่นเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของเธอนะ ทำไมถึงคิดจะยกให้คนอื่นได้ง่ายๆ ล่ะ"
"ก็เพราะว่าหนูไม่อยากให้คุณรู้สึกว่าแม่กำลังจะเอาเปรียบคุณ หรือมองหนูเป็นตัวภาระยังไงล่ะคะ" เธอเอ่ยจบแล้วผุดลุกขึ้น ยืนยันเหมือนเดิมว่า
"ไม่ค่ะ หนูไม่ไปเชียงใหม่ ไม่ไปไหนทั้งนั้น"
จากนั้นก็หันหลังแล้ววิ่งกลับขึ้นชั้นบนทันที
อัคราทำแค่ถอนหายใจเล็กน้อย แววตาที่ดำมืดสนิทจ้องหลังเล็กๆ จนลับตาแล้วหรี่ลงอย่างครุ่นคิดอะไรไปพร้อมกันอีกด้วย