ทว่าผู้ใดจะรู้ดีไปกว่าตัวของผู้เป็นเจ้าของรอยยิ้มนั้นว่า แท้จริงมันมีความหมายว่าเช่นไร...แต่...จะมีผู้ใดสนใจความนึกคิดของนางกัน เพราะให้นางเศร้า...นางทุกข์...หรือนางเสียใจ...มีผู้ใดคิดจะฟังนางอธิบายกัน กู้เฝิงซีนางจึงยิ่งกดรอยยิ้มมากมีเมตตาออกมา จนสุดจนทุกผู้ที่มาดูชมพิธีมอบสินสอดแทบอยากจะคุกเข่าลงกับพื้นโขกศีรษะทำความเคารพท่านเซียนสาวผู้นี้อย่างยิ่ง!
...นางก็เหมือนสัตว์ในตลาดที่ถูกขุนจนอ้วนท้วนได้ขนาดที่เจ้าของพอใจแล้ว จากนั้นก็นำมาขึ้นตาชั่งขายออกไปเท่านั้น...กู้เฝิงซีนางยิ่งคิดก็ยิ่งสมเพชตนเองที่มิอาจมีอิสระเลือกชีวิตของตนเองได้เช่นพี่น้องที่เป็นบุรุษ
ดังนั้นเมื่อนางถูกคนที่แต่แรกนางเข้าใจว่าเป็นชายชราวัยคงเกินเจ็ดสิบหนาว ซึ่งเมื่อแลเห็นกันเต็มตาถึงรู้แจ้งคาดว่าเขาคงจะมีปัญหากับเส้นผมกระมัง มันจึงหงอกขาวไม่คิดรักษาหน้าเจ้าของเช่นนี้ จับบังคับให้ก้าวขึ้นรถม้า
กู้เฝิงซีนางจึงมิได้หันหลังกลับไปมองยังจวนที่ตนเองเกิดและเติบโตมาจนถึงวัยออกเรือนในวันนี้สักนิด เพราะที่แห่งนั้นไร้คนที่ต้องการนางอีกต่อไปเช่นนั้น...นางจะอาลัยอาวรณ์ไปไย ที่นางจับตามองจนลาลับก็คือเนินเขาที่ฝังร่างของบิดามารดาเพียงเท่านั้น
"นับจากนี้หากข้ามิอนุญาตก็อย่าไปเปิดรอยยิ้มที่ใดเด็ดขาด"
นี่คือประโยคที่สองของคนที่นางต้องยกให้เขาเป็นท้องฟ้า...เป็นลมหายใจ...เป็นที่พึ่งพิงสินะ...ช่างน่าขันอย่างยิ่ง เพียงหายใจร่วมกันมิถึงชั่วยามเขากลับออกปากบีบบังคับนางไม่หยุดเช่นนี้...ชีวิตนับจากนี้นางคงมีแต่อาศัยพึงพาตนเองนั่นจึงพอจะมีหวังว่าจะอยู่ดีมีสุขเสียเป็นแน่
"เจ้าค่ะ"
ต่อให้ภายในใจของนางต่อต้านหรือตำหนิบุรุษผมขาวเพียงใด หากแต่คำสั่งเช่นนี้นางคุ้นชินเสียแล้ว...เพราะนับตั้งแต่นางจำความได้ ก็ถูกบิดากับเหล่าคนในจวนสกุลกู้ สั่งห้ามเด็ดขาดเรื่องรอยยิ้มว่าห้ามนางเปิดรอยยิ้มให้ผู้ใดเห็น
ในวัยเยาว์นางมิเข้าใจว่าเหตุใดนางจึงมีรอยยิ้มเช่นคนอื่นมิได้ แต่เมื่อเริ่มรู้ความ กู้เฝิงซีจึงเข้าใจ...รอยยิ้มของนางมันดูสูงส่ง ดูคล้ายรอยยิ้มของเหล่าซือไท่ หากมิอยากถูกมองเป็นตัวประประหลาดก็จงอย่าได้บังอาจไปเผลอเปิดรอยยิ้มนั้นออกไป
...ซือไท่เช่นนั้นหรือ...นางอยู่ห่างไกลจากคำนั้นไปคนละยอดภูผาเลยทีเดียว เพราะจริงแท้นางนั้นก็คือนางมารน้อยร้อยพิษสังหารเท่านั้น หาใช่นางเซียนหรือซือไท่ผู้สูงส่งแม้แต่น้อย...
แต่วันนี้นางทดท้อเกินไป...สมเพชชะตาชีวิตของตนเองเกินไป จึงเผลอหลุดรอยยิ้มอันไม่สมควรออกไปให้ชาวบ้านนับร้อยได้ร่วมพบเห็นเข้าเสียได้...นี่ก็ยังดีที่นางกำลังจะไปอยู่ต่างแคว้น หาไม่พรุ่งนี้นางคงมิกล้าไปเดินตลาดอีกเป็นแน่ รอยยิ้มอันน่าอับอายเช่นนี้คนในสกุลกู้ล้วนรังเกียจ ซึ่งนางย่อมไม่แปลกใจที่ใต้เท้าอู๋ผู้เป็นคนบาปแห่งหน่วยพยัคฆ์ดำจะรู้สึกรังเกียจเช่นกัน
เมื่อหัวใจนางมีความทุกข์ ที่พึ่งทางใจเดียวก็คือกำไลหยกของมารดากู้เฝิงซีที่ต้องมาทนนั่งอึดอัดร่วมรถม้าคันเดียวกับคนตัวเท่าหมี...ขาว...คงใช่...ก็เขามีเส้นผมหงอกขาว เรียกเขาหมีขาวคงถูกต้องแล้วนางขยับหวังจะลูบคลำกำไลยังข้อมือด้านซ้าย แล้วก็พลันใจหายวูบโหวง เมื่อนางเพิ่งนึกได้ว่าในยามนี้มันกลับถูกพี่สะใภ้ยึดเอาไปเป็นของตนเองจนสิ้น
ทั้งที่มันก็เป็นเพียงกำไลหยกราคาไม่ถึงสามสิบอีแปะที่มารดาเคยให้นางติดกายเอาไว้ เรียกว่ายามนี้กู้เฝิงซีนางคงมีเหลือก็แต่เพียงตัวกับห่อผ้าเพียงไม่เกินสิบชุดเช่นนี้ จึงอย่าได้เอ่ยถึงสินเดิมของฝ่ายเจ้าสาวที่จะมีติดกายไปยังจวนเจ้าบ่าวเลย
ส่วนหีบที่นางมีติดตามไปยังจวนสกุลอู๋ทั้งสามหีบนั้น มีก็แต่เพียงตำราพระสูตรและตำรายาสมุนไพรที่พี่สะใภ้ของนางมองว่าไร้ค่าแล้วเท่านั้น หาไม่นางก็คงมิมีสิ่งใดเลยจริงแท้ นอกจากร่างกายกับลมหายใจเท่านั้น
สาวน้อยได้แต่เพียงร้องถามตนเองในใจว่า นี่มันเกิดอันใดขึ้น นางอยากให้ทุกสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่นี้มันคือความฝัน...เป็นความฝันร้ายที่เพียงนางถูกท่านแม่ปลุกมันก็จะหายไป ทว่า...
ความหวังของสาวน้อยกู้เฝิงซีก็ต้องพังทลายลง ในช่วงต้นยามเว่ยของการเดินทางวันที่สองนั้นเอง ตรงหน้าของนางในเวลานี้ คงยากจะปฏิเสธว่ามันเป็นเพียงความฝันร้ายกาจอีกต่อไป
เมื่อในยามที่เท้าของนางลงมายื่นมั่นคง ยังจวนหลังใหญ่กว่าจวนสกุลกู้ถึงแปดส่วน ป้ายสีทองอร่ามสลักตัวอักษรว่า 'อู๋' ตัวโตจนนางคาดว่าหากมันตกลงมาทับ นางก็คงตายลงโดยไม่ทันได้ตกใจเสียเป็นแน่
"วันนี้ท่านย่าของข้ายังไม่กลับมาจากอารามเมี่ยวฮุ่ย คงเป็นพรุ่งนี้ช่วงบ่าย ประเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปที่เรือนจันทร์ส่อง"
กู้เฝิงซีนางเพียงก้มศีรษะว่าตนเองทราบแล้ว เตรียมจะหันกายก้าวตาม เมื่อคนผมขาวโพลนกำลังจะเดินนำทางให้แก่นาง
"นี่เหล่าเหล่ย เช่นนั้นพวกข้าขอแยกไปหอชมบุปผาก่อนนะ เจ้าก็ดูแลน้องสะใภ้อู๋ไปเถิด"
เซี่ยเสิ่นจั๋วเมื่อมาส่งทั้งสหายและว่าที่เจ้าสาวถึงจวนด้วยความปลอดภัย เขาจึงคิดไปร่ำสุราแก้เมื่อยแก้ปวดคล้ายเส้น ด้วยฝีมือนวดของเหล่าบุปผายามยังหอนางโลมอันดับหนึ่งแห่งฉางโจวเสียหน่อยตามประสาชายโสดไร้ภรรยารอคอย ยังจวนกว้างใหญ่ทว่าช่างเงียบเหงาเกินจะทน
"อีกประเดี๋ยวข้าจะตามไป ให้หลิ่วมาม่านางเตรียมห้องในส่วนของข้าเอาไว้ให้ด้วย"
หูเตี๋ยนตวัดสายตามองไปยังสตรีด้านหลังของเจ้าก้อนหินพูดได้ทันใด ด้วยระแวงว่าสหายรักอาจจะถูกว่าที่เจ้าสาวนางหยิบกระถางต้นไม้มาฟาดศีรษะเจ้าคนบาปแซ่อู๋ ที่อีกสามวันก็จะตกแต่งให้แก่นางมาเป็นภรรยา ทว่ายังจะออกปากสั่งให้พวกเขาไปเปิดห้องยังหอนางโลม
...ช่างปากกล้าไม่ดูท้องฟ้าไม่ดูสายลมเอาเสียเลย เจ้าก้อนหินเสียสติ...
"ตามข้ามา"
ทว่าอู๋เหล่ย กลับมิได้เดือดร้อน ออกปากสั่งความสองสหายเสร็จ เขาจึงหันไปกำชับให้คนที่ยืนรอนิ่งสงบไร้อารมณ์ยิ่งกว่าตุ๊กตาไม้แกะสลัก ติดตามเขาไปยังเรือนจันทร์ส่องที่เป็นเรือนหลังของเขา และต่อจากนี้จะมีนางมาเป็นผู้ร่วมอาศัยอยู่ด้วยกันเพิ่มมาอีกหนึ่งชีวิตนอกจากเฉียนฝู
"นี่...เหล่าหู...เจ้าคิดเช่นข้าหรือไม่"
เซี่ยเสิ่นจั๋วที่คันปากอยากนินทาแทบตาย ได้โอกาสเขาจึงไม่รีรอเอ่ยปากทันที
"เจ้านี่เสียสติหรือไร เซี่ยจอมเสเพลความคิดของเจ้าผู้ใดจะไปรู้ด้วยกัน"
คนถูกขัดคอถึงกับทำเสียง 'จิ๊' ด้วยความขัดใจ
"ข้าเพียงจะเปิดประเด็น เจ้าก็จะช่วยรับไม้หน่อยมิได้หรือ เหล่าหู...ขัดขาขัดคอเสียจริง! "
เซี่นเสิ่นจั๋วเท้าเอวหมับทำสีหน้าคล้ายอยากจะกระโดดเข้าไปกัดใบหูอีกฝ่ายเต็มกลืน
"จะพูดก็พูดข้ารอฟังอยู่...แต่พูดไปเดินไปด้วย ข้าคอแห้งอยากไปหาน้ำหวานชื่นใจเพิ่มกำลังสักหน่อย...เจ้าก็เร่งตามมาเล่า"
หูเตี๋ยนที่รู้ทันคนคันปาก อยากจะนินทาเรื่องใต้เตียงชาวบ้าน มิเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้สาสมใจเพราะกล่าวจบเขาก็เดินหนีจากไปทันที เซี่ยเสิ่นจั๋วเลยทุบหน้าอกตนเองไปสามที เพราะความอยากพูดอยากเล่ามันจุกแน่นแทบหัวอกจะระเบิดจนตายเสียให้ได้
"ข้าเพียงอยากจะกล่าวว่า ตกลงเหล่าเหล่ยมันคิดจะแต่งกู้เฝิงซีมาผลิตทายาทสกุลอู๋ หรือแท้จริงมันจะแต่งเอาซือไท่มาเป็นสหายของท่านย่ากันแน่...จิ๊...เจ้าเหล่าหูสมควรตายอยู่ ช่วยข้าระบายความอัดอั้นตันใจสักนิดก็มิได้...เจ้าคนไร้น้ำใจ! "
คนที่แม้แต่หย่งจงหวางหรือองค์ไท่จื่อ ก็ล้วนถูกเขาขุดคุ้ยเอาเรื่องใต้เตียงมาขายในวงสุรา จนผู้เป็นเจ้าของเรื่องคร้านจะเอาความให้โมโหสหายร่วมตายยิ่งนัก ที่ไม่ยอมให้เขาได้เปิดตลาดว่าด้วยการนินทาภรรยาชาวบ้านจนสาแก่ใจเสียก่อน ก็มาเดินหนีไปเสียแล้ว
...ช่างสมควรตายนักเจ้าจิ้งจอกเฒ่าเจ้าสำราญแซ่หู!...
เมื่อเดินตามมาจนถึงสถานที่ซึ่งถูกเรียกว่าเรือนจันทร์ส่อง สายตาของกู้เฝิงซีนางก็มองสำรวจห้องกว้างที่อู๋เหล่ยผลักบานประตูเปิดออกจนสุด แล้วเขาก็เดินนำเข้าไปก่อน หญิงสาวมองเช่นไรภายในห้องนี้ก็มีเจ้าของอาศัยอยู่ก่อนแล้วอย่างแน่นอน มิใช่ห้องว่าง เพราะดูได้จากข้าวของที่มีภายในห้องนี้ นางหันกายกลับไปมองบ่าวชายอีกสี่คนที่ช่วยกันลำเลียงหีบพระคัมภีร์กับตำราที่นางชอบสะสมตามเข้ามา แล้วก็ไม่รู้จะถามอันใดเพิ่มอีกก็ นางเพียง 'สัตว์เลี้ยง' ที่ถูกซื้อมาด้วยราคาแสนแพง จะไปเรื่องมากคิดจะเรียกร้องเอาห้องส่วนตัวได้อย่างไรกัน
"ยืนทื่ออีกแล้ว ตามมาทางนี้"
อู๋เหล่ยรู้สึกว่าคุณหนูเก้าผู้นี้ มิใช่คนหัวอ่อนหรืออ่อนโยนดังกับรอยยิ้มของนางเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามนางเป็นสตรีที่อ่อนนอกทว่าเด็ดขาด และจิตใจเหี้ยมโหดกับมีนิสัยดื้อด้านเงียบเอาเรื่องเลยทีเดียว เพราะคนที่ไม่พูด คนที่นิ่งนี่แหละที่วางใจยากที่สุด แต่จะมาด้วยนิสัยเช่นไรคนที่ยืนอยู่บนปากขุมนรกเช่นเขา ก็มิได้คิดมาก ดื้อเงียบได้ก็ทำไป ส่วนเขาเองก็มีวิธีหักแขนหักขา พวกดื้อเงียบดื้อมึนในแบบของ 'เหล่าเหล่ย' เช่นกัน
"เรือนนี้คือเรือนของข้า...และนี่ก็คือห้องนอนของข้า"
ประตูห้องนอนกว้างถูกผลักเปิดออกเป็นลำดับถัดมา กู้เฝิงซีนางเพียงยืนมองจากด้านนอก มิได้ก้าวตามเข้าไปยังห้องที่เขาบอกว่าเป็นห้องนอนของผู้เป็นว่าที่สามี เพราะกฎที่จวนสกุลกู้ในครั้งที่บิดายังมีชีวิตอยู่ แม้แต่มารดาหรือฮูหยินเอก หากบิดาของนางไม่อนุญาตผู้ใดฝ่าฝืนเข้าไปย่อมมีโทษให้ต้องรับผิดชอบ นางจึงระวังตนเองทันที
"เท้าเจ้ามันมีรากงอกออกมาหรือไร ยืนตรงใดก็นิ่งอยู่ตรงนั้น...เข้ามา! "
...ดุอย่างกับ...พยัคฆ์...กู้เฝิงซีนึกดีใจที่นางคิดถึงพยัคฆ์แทนที่จะเป็น...สุนัขในช่วงฤดูผสมพันธุ์...
ถึงนางทำใจมาเนิ่นนาน นับจากสูญเสียท่านพ่อผู้เป็นที่พึ่งพิงเดียวไป ก็หวาดกลัวอยู่เสมอว่าสักวันนางจะต้องถูกพี่ชายและพี่สะใภ้ 'ขาย' ออกมาเสียให้พ้นจวน ทว่านางมิคาดว่าตนเองจะถูกขายออกมาทันทีที่เสียมารดาไป เดิมทีนางคิดวางแผนว่าจะใช้ข้ออ้างไปถือศีลไว้ทุกข์ให้แก่ท่านพ่อและท่านแม่ ยังอารามนางชีบนยอดเขาเหวินซาน แล้วอาศัยวิชาผู้ชำนาญด้านสมุนไพรที่ตนเองมีหาเลี้ยงชีพ มิย้อนกลับมายังจวนสกุลกู้อีก
ทว่าใครจะคาด นางยังมิทันเอ่ยปากกลับถูกทรมานจนทนไม่ไหว จำต้องยินยอมขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวมาตกแต่งให้แก่บุรุษเย็นชา นามว่าอู๋เหล่ย ขุนนางขั้น 3 ที่นางเองก็เพิ่งจะรับรู้ว่าเขานั้น ทั้งอายุมากกว่านางอยู่สิบสามหนาว ซ้ำยังระบุชัดเจนนับตั้งแต่ก่อนพบหน้าว่า ที่เขาต้องการที่สุดนั้นคือบุตร และต้องเป็นบุตรชายเสียด้วย
...หึ! ...
ก็เพียงพวกคนรวยที่คิดว่าชีวิตสตรีเป็นเพียง 'สัตว์เลี้ยง' แต่เผอิญว่า 'สัตว์เลี้ยง' นามเฝิงซีมิใช่กระต่ายหรือลูกแมว และยิ่งมิใช่หนูสวยงาม ทว่า...นางคือเม่น...เม่นที่พร้อมจะสลัดขนทิ่มแทงพวกมิรู้ความที่กินอยากกินเนื้อแสนหวานของนาง
เช่นนั้นในยามนี้ ที่นางมายืนอยู่กลางห้อง 'เชือด' แล้วมองไปยังภาพตรงหน้า ซึ่งมีบุรุษร่างกายสูงใหญ่ จนทุกครั้งที่เขายืนขึ้นเต็มความสูง นางต้องแหงนคอมองจนลำคอแทบหัก ที่นั่งนิ่งบนเตียงกว้างแล้วจับจ้องมาที่ตนเองด้วยสายตาเยือกเย็น นางเลยไม่หลบสายตาคู่นั้นเช่นกัน
เพราะหากเขาคิดว่าจะพบกับคุณหนูอ่อนแอขี้แพ้ช่วยเหลือตนเองมิได้ เขาก็คงไม่เคยรู้ว่าจวนที่มีอนุภรรยามากนับสิบ กับบุตรอีกเกินห้าสิบชีวิต มันต้องแกร่งเพียงใดจึงจะมีลมหายใจยืนยาวจนออกมายืนให้เขาจับจ้องอย่างประเมินค่าตีราคานางอยู่เช่นนี้ได้
ในยามนี้คล้ายกับว่าที่ตรงนี้คือสนามประลองยุทธ์ที่คู่ต่อสู้ ทั้งสองฝ่ายกำลังประเมินกำลังและความสามารถของอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น เพราะอู๋เหล่ยเองเขาก็ยังมิได้เอ่ยอันใดออกไปสักคำ จนแม้แต่บ่าวชายทยอยขนย้ายหีบบรรจุคัมภีร์กับตำราสามใบกับหีบเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวของกู้เฝิงซีหนึ่งใบเรียบร้อย ก็เร่งจากไปทันที เพราะมิอาจทานทนต่อแรงกดดันที่ทั้งสองแข่งกันแผ่ขยายข่มขวัญต่อสู้มิไหว
นี่อาจนับเป็นครั้งแรกที่หญิงสาวได้มองบุรุษผู้กำลังจะมาเป็นสามีของนางอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก ใต้เท้าอู๋ผู้นี้นอกจากเส้นผมที่หงอกขาวแล้วเขาก็ดูเป็นคนหนุ่มวัยใกล้ 30 หนาวทั่วไป มิมีสิ่งใดโดดเด่นนอกจากสายตาคมดังคมมีดที่นางมีเอาไว้กรีดศพเวลาจะทดลองพิษของสมุนไพรก็เท่านั้น
"จะยืนค้ำศีรษะผู้มากวัยกว่าอีกนานหรือไม่...ที่มารดาเจ้าสั่งสอนมาเคยจดจำเอาไว้บ้างหรือไม่เฝิงซี"
ได้ผลทันตาเพราะอู๋เหล่ยได้เห็นแววตาอำมหิตสายหนึ่ง วิ่งผ่านในดวงตาคู่งามของคนที่ทำตนเองให้เหมือนตุ๊กตาไม้แกะสลักยังอารามหลวงแห่งเทียนหนิง
...หึ...คิดจะต่อกรกับเขา นางต้องเกิดให้เร็วกว่านี้อีกสัก 20 หนาว แม่หนูน้อย...กระดูกของเจ้ายังอ่อนนักกู้เฝิงซี...
"บนพื้น...ตรงนี้"
อู๋เหล่ยขยับปลายนิ้วชี้ลงยังพื้นตรงหน้าเตียงที่เขานั่ง เมื่อกู้เฝิงซีขยับเตรียมจะเดินไปทรุดนั่งยังเก้าอี้ที่เขามีเอาไว้นั่งอ่านตำรา แล้วเขาก็ได้ยลโฉมสายตาสังหารจากนางเพิ่มมาอีกหนึ่งสาย มุมปากสวยยกโค้งขึ้นข้างหนึ่งทันที
...เกรงว่าหากสายตาคู่นั้นเป็นกระบี่ร่างกายของตนเองก็คงได้แผลมาแล้วสอง...