สองมือจับมือผมเขย่าไปมา จึงทำได้เพียงโน้มใบหน้าลงไปกดจูบบนหน้าผากและเคลื่อนริมฝีปากไปยังใบหูของเธอขบเม้มส่งท้ายด้วยคำพูดที่เป็นดั่งมีดแหลมๆ ทิ่มแทงตัวเธอ
“คืนนี้คืนสุดท้ายของเธอ”
“!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเมื่อผมขยับมาส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ทว่ากลับแฝงไปด้วยยาพิษที่เล่นงานคนตรงหน้าให้ตายทั้งเป็นได้
“ฉันเบื่อเธอแล้ว จบนะ”
เพราะผมมีกฎของตัวเองเสมอ ทุกคนรู้ดีว่าการนอนกับผมคือเป็นแค่ชั่วคราว ต้องยอมรับให้ได้ห้ามดึงดันที่จะไปต่อกับผม เซ็กส์ก็คือเซ็กส์ ไม่มีอย่างอื่นเข้ามาร่วมด้วยและผมก็ไม่ได้อยากจะสานสัมพันธ์กับใครเพียงเพราะเห็นใจหรอก
เอาจบ... เบื่อก็แค่แยกย้าย ก็เท่านั้น
ผมมาถึงคอนโดใจกลางเมืองกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นที่สูงสุดของคอนโดที่สามารถเห็นวิวทิวทัศน์ได้รอบเมือง แสงสีจากตึกราบ้านช่องทำให้ผมปลื้มปริ่มกับการมองเห็นอะไรแบบนี้ ถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวออกจนเหลือเพียงกางเกงยีนเอวต่ำพลางเดินตรงไปยังห้องครัวแบบฝรั่งที่มีเคาน์เตอร์ อ่างล้างจานครบ ทว่าครัวกลับไม่เคยได้ใช้งานเลยสักครั้งผมเปิดตู้เย็นหยิบกระป๋องเบียร์ออกมาสามกระป๋อง สาวเท้าไปยังโซฟาเบจสีแดงเพลิงขนาดใหญ่ทิ้งตัวลงนั่งและหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดทีวีที่กำลังถ่ายทอดสดฟุตบอลอยู่
ครืด~
สมาร์ทโฟนสีน้ำเงินรุ่นล่าสุดที่เพิ่งวางไป แต่ผมก็ได้ครอบครองเป็นเจ้าของดังขึ้นด้วยการเตือนว่ามีคนโทรเข้ามาแบบไร้เสียง ผมวางกระป๋องเบียร์ลงบนโต๊ะและหยิบขึ้นมาดูปลายสายก็ถอนหายใจกลอกตาไปมา ไม่อยากจะรับเลยเอาจริงนะ... แค่เห็นคำว่า ‘Dad’ ก็พาให้อารมณ์ที่ดีก่อนหน้านั้นหายวับไปกับตา ลุกขึ้นเดินไปหยุดที่ระเบียงกระจกก่อนจะเอนตัวพิงขอบกำแพงเลื่อนรับสายก่อนที่ปลายสายจะวางไปและอาจจะโทรกลับมาอีกหลายครั้งจนกว่าผมจะรับมัน
“อะไร?”
(“นี่คือคำทักทายของแกเหรอ”)
“อือ” ตอบกลับพลางล้วงมืออีกข้างหยิบซองบุหรี่ขึ้นมาเคาะก่อนจะคาบไว้ที่ริมฝีปากและหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดจนเห็นแสงสีสมพร้อมกับควันที่ลอยเด่นเข้าจมูก “พูดมาดิ”
(“แก”)
“ไม่พูดจะวาง มีอะไรให้ทำเยอะแยะ”
(“กลับบ้าน”) พ่นควันบุหรี่เป็นวงกลมพลางยกยิ้มมุมปาก เมื่อเห็นเงาสะท้อนของตัวเองเหมือนกับอีกด้านหนึ่งคือปีศาจร้ายที่พร้อมจะปั่นประสาทผู้เป็นบิดา
“เพื่อ?” ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “กลับไปดูพ่อเอาผู้หญิงอะเหรอ”
(“ไอ้ไฟ!”) น้ำเสียงเข้มดังแผดเข้ามาจนผมต้องยกสายออกและแนบหูตัวเองอีกครั้ง
“หมายถึงเอาผู้หญิงเข้าบ้าน?” หัวเราะออกมาเมื่อได้กวนประสาทคนเป็นพ่อที่ผม... เกลียดเขา แต่ไหนแต่ไรจนผมอายุสิบแปด ผมก็ย้ายมาอยู่ที่คอนโดของตัวเองด้วยทรัพย์สมบัติของผู้เป็นแม่ที่ทิ้งไว้ให้เยอะพอที่จะเลี้ยงผมไปจนแก่ตายด้วยซ้ำ เงินทองของพ่อ... บาทเดียวผมก็ไม่คิดจะแตะต้องด้วยซ้ำ
(“ฉันสั่ง แกต้องทำ”)
“พ่อคิดว่าพ่อเป็นใคร ถึงกล้ามาสั่งคนอย่างผม”
(“ฉันเป็นพ่อแกไง ต่อให้แกจะไม่รับฉัน... แต่แกก็ใช้นามสกุลธาดาวรากุล!”) นามสกุลที่ยิ่งใหญ่แบบนั้น ถ้าผมเลือกได้ผมก็จะไม่ใช้หรอกนะ ใช้ให้มาทวงบุญคุณกันน่ะเหรอ? เหอะ น่าขำสิ้นดี
“งั้นก็จ้างดิ” ผมกัดริมฝีปากตัวเองเมื่อปลายสายเงียบไป “จ้างกลับบ้านสักสองล้าน”
(“...”)
“ได้ใช่ไหมครับคุณชนะทิศ” พ่อยังคงไม่ตอบอะไรจนผมหัวเราะออกมาให้เขาได้ยิน “แค่นี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกมั้ง ให้ลูกมันไม่น่าเสียดายหรอก... ทีเอาเงินไปบำเรอพวกอีตัวไม่เห็นจะเสียดาย”
เมื่อพ่อไม่พูดอะไรผมก็กดวางสายทันทีเพราะรู้ว่าผมไม่เคยต้องการเงินของเขาหรอก และเขาก็ไม่เคยให้เงินผมสักบาทด้วยเหมือนกันอาจจะเพราะว่าต้องการให้ผมไปอ้อนวอนขอร้องเพื่อขอเงิน แต่ฝันไปเหอะพ่อ! คนอย่าง ‘ชนรพ’ ไม่มีทางอ้อนวอนขอร้องใครแม้แต่พ่อตัวเอง
มองเวลาตอนนี้ก็ตีหนึ่งกว่าแล้วพรุ่งนี้มีเรียนด้วยผมจึงอาบน้ำและสวมเพียงบ็อกเซอร์สีดำตัวเดียวเพื่อนอนพักผ่อน ทว่าก็มีเสียงกดกริ่งที่หน้าห้องดังขึ้นซะก่อน ฉงนใจนิดหน่อยว่าใครกันที่มาเอาป่านนี้ถ้าหากเป็นผู้หญิงที่ควงด้วยจะไม่มีทางมาที่นี่เด็ดขาดเพราะผมย้ำพวกเธอชัดเจน เมื่อลุกขึ้นไปยังหน้าประตูและดูตาแมวก็พบว่าเป็นนิติที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ของคอนโดนี่นา
“มีอะไรครับ?” เปิดประตูขึ้นมองสบตากับคนตัวเล็กที่ยืนทำหน้าอึ้งอยู่ พลางใช้สายตากวาดมองไปทั่วเรือนร่างของผมที่เต็มไปด้วยรอยสักลวดลายที่ปะติดปะต่อไม่ได้ ผมอยากสักอะไรผมก็สักเติมๆ ไปมันถึงได้เยอะแบบนี้ไง
“อะ เออ... ของคุณชนรพค่ะ” ซองสีน้ำตาลถูกยื่นมาตรงหน้าผมจึงรับมาพลิกดูไปมาว่าใครกันที่ส่งเอกสารอะไรมาดึกดื่นขนาดนี้ แต่ก็ไม่มีบอก “บอกว่าเป็นของคุณชนะทิศค่ะ”
“อ๋อ” นี่เขาคิดจะเล่นอะไรอีกวะเนี่ย? ผมพยักหน้ารับก่อนจะมองใบหน้าเล็กที่ทำหน้าไม่ถูกเหมือนเห็นผมยิ้มให้ “เพิ่งมาใหม่เหรอครับ?”
“ค่ะ” ตอบกลับพลางเบือนสายตาหนีผม “ฉัน... ไปก่อนนะคะ”
“ขอบคุณนะครับ” เธอเดินจากไปด้วยความเขินอายจนผมรู้สึกดีเลยนะ “จะกินดีไหมวะ?”
ตั้งคำถามกับตัวเองพลางปิดประตูลงเปิดซองเอกสารล้วงเอาของข้างในออกมาก็พบกับเช็คเงินสดจำนวนสองล้านบาทลงชื่อกำกับเรียบร้อยเพื่อพร้อมนำไปขึ้นเงิน ผมเบ้ปากก่อนจะยัดเช็คเงินสดลงกลับไปตามเดิม มองตัวเองในกระจกสะท้อนที่มันบ่งบอกเลยว่าตอนนี้ผมกำลังรู้สึกยังไงกับสิ่งที่พ่อทำในตอนนี้
“โอเค ไปก็ไป”
แล้วเจอกันพ่อ... อยากเจอผมนักใช่ไหม? ได้เจอสมใจแน่
“มึงกับไอ้รามเข้าเรียนก่อนเลย พอดีกูมีธุระต้องกลับบ้านหน่อยอะ” เช้านี้ผมแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษาแบบไม่เป็นระเบียบตามสไตล์ของตัวเองคือเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนถึงข้อศอกและปลดกระดุมลงสามเม็ด สวมกางเกงยีนเอวต่ำสีดำรองเท้าผ้าใบสีขาวก่อนจะถือปลายสายคุยกับไอ้เทียนที่สงสัยถึงมหาลัยแล้ว ระหว่างที่เดินออกจากคอนโดผมก็หันไปฉีกยิ้มให้กับพนักงานสาวคนใหม่ที่น่ากิน เธอยิ้มกลับให้ผมก่อนจะก้มหน้าลงทำงานราวกับเขินอาย
เรื่องอ่อยแบบตรงๆ ผมถนัดนักล่ะ! ผู้หญิงทุกคนพร้อมจะเดินตามด้วยซ้ำ ยกเว้นเพียงเจ้าเอยคนเดียว
(“กลับบ้าน? กูถามจริง”) ไอ้เทียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อสักเท่าไหร่ ก็แหงสิ มันรู้ดีว่าผมกับพ่อไม่ลงรอยกันนี่นา (“มึงคงไม่ไปกวนประสาทคุณลุงอีกนะ”)
“ไอ้เทียน มึงเห็นกูเป็นยังไงเนี่ย”
(“เป็นคนเหี้ย”) ตอบแบบไม่มีคิดสักนิดจนผมถึงกับอยากจะหักเลี้ยวรถไปมหาลัยทันทีเพื่อไล่เตะมัน (“เออ ตามนั้น... คืนนี้เจอกันปะ”)
“ได้ คลับเฮียตามเดิม”
เมื่อวางสายจากไอ้เทียนไปรถของผมก็ขับเลี้ยวเข้ามาในซอยที่จะเข้าบ้าน บ้าน... ที่ผมไม่อยากกลับมาเพราะเหตุผลหลายๆ อย่าง หนึ่งในนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าพ่อและบ้านหลังนี้มันไม่มีความสุขอีกต่อไปสำหรับผมนะ ทันทีที่รถจอดลงผมก็หรี่สายตามองรถตู้และลุงเข้มที่กำลังขนกระเป๋าสัมภาระของใครก็ไม่รู้เยอะแยะเต็มไปหมดลงจากรถ
“ของใครครับลุงเข้ม?” ร่างสูงผอมหันมามองผมพลางฉีกยิ้มให้อย่างดีใจก่อนจะเดินตรงมาหา
“คุณไฟ ลุงดีใจจังครับที่คุณไฟมา” ผมทำได้เพียงยิ้มอ่อนให้กับท่านที่ตั้งแต่เด็กคงจะมีลุงเข้มกับป้าแต้วล่ะมั้งที่ดูแลผมมากกว่าพ่อแท้ๆ ของตัวเอง “ของ... คุณผู้หญิงคนใหม่ของคุณท่านครับ”
“อ๋อ” แบบนี้เองสินะถึงได้ให้ผมมาที่บ้าน เมื่อได้ฟังคำตอบก็เดินตรงเข้าบ้านแน่นอนว่าผมขึ้นบันไดไปด้านบนเพราะไม่ได้อยากจะเห็นผู้หญิงคนใหม่ของพ่อสักเท่าไหร่ ผู้หญิงที่เข้ามาไม่มีใครอยู่อึดอยู่ทนสักทีเพราะพ่อเองก็ไม่ได้ต่างจากผมนักหรอกนะ