คำอุทานบวกกับร่างสูงที่เดินสาวเท้าเข้ามาใกล้จนฉันเอนหลังหนี เมื่อคนตรงหน้าโน้มตัวลงมากวาดสายตามองฉันชนิดที่ว่าได้กลิ่นเหล้าคลุ้งไปหมด “อย่า...”
“น้องพะแพง!” เขาตะโกนใส่ฉันก่อนจะชี้หน้าด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “จำพี่ได้ไหมครับ?”
แม้หัวใจมันจะปฏิเสธว่าไม่ควรตอบแบบนั้น ทว่าสมองส่วนหนึ่งกลับทำหน้าที่ด้วยการพยักหน้ารับจนคนตรงหน้าฉีกยิ้มด้วยความดีใจ “จำได้ค่ะ”
“ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ไม่คิดว่าจะ...” ก่อนที่พี่ลี้เทียนจะได้พูดอะไร ร่างสูงที่สูบบุหรี่เรียบร้อยแล้วก็เข้ามาขัดจังหวะซะก่อน “ไอ้ไฟมึงไปเจอน้องพะแพงที่ไหนอะ?”
“ที่บ้าน”
“บ้าน?” พอพี่ไฟตอบแบบนี้ พี่ลี้เทียนก็ทำหน้ามึนงงเข้าไปอีก “เดี๋ยวนะ”
“กลับกันเถอะ เดี๋ยวไอ้เทียนมันจะเริงรักกับผู้หญิง”
“ไอ้ไฟ! กูยังคุยไม่จบเลย ไอ้ไฟ”
ปัง
ประตูห้องถูกปิดไล่หลังทันทีที่เราสองคนออกจากห้องของพี่ลี้เทียน จากนั้นเราสองคนก็นั่งเงียบกันมาตลอดทางจนมาถึงบ้านซึ่งตอนนี้เงียบสนิทอาจจะเพราะว่าวันนี้คุณชนะทิศกับน้าพิมไปงานเลี้ยงสังสรรค์กัน
“พี่ไม่คิดว่าเราจะจำไอ้เทียนได้” พี่ไฟเอ่ยขึ้นขณะที่รถจอดลงแต่ยังไม่มีใครลงจากรถ “ไอ้เทียนคงดีใจ”
“ขอบคุณนะคะที่ไปรับแพง”
“ทำไมไม่แทนตัวเองว่าหนู เหมือนกับที่ส่งข้อความหาพี่” ชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูรถ เมื่อท่อนแขนก็ถูกคว้าไว้ด้วยฝ่ามือที่เย็นเฉียบ “จะลืมพี่ไปจริงๆ เหรอพะแพง”
“...” ฉันอยากจะตอบเขากลับไปนะว่า ‘ลืมได้คงลืมไปแล้ว’ แต่สิ่งที่ทำได้คือนิ่งเฉย
“พี่ไม่ชอบเห็นแพงเป็นแบบนี้” ไม่มีใครอยากเป็นแบบนี้หรอกนะ ฉันอยากกลับมาร่าเริงได้อีกครั้งด้วยซ้ำ แต่มันกลับทำไม่ได้เลยสักนิด “พี่มีปัญหากับพ่อ อาจจะทำตัวไม่ดีให้เห็นในครั้งแรกที่เจอกัน แพงจะมองพี่แบบนั้นพี่ก็ไม่โกรธ”
ฉันรู้ว่าเขาเป็นยังไง ถึงได้ถามตัวเองไงว่าการเข้าหาของเขาในครั้งนี้จะมาในรูปแบบไหน? ทำให้ฉันหวั่นใจแล้วคิดจะตลบหลังกันหรือเปล่า ฉันไม่รู้ได้เลยด้วยซ้ำ พี่ไฟเป็นคนยังไงฉันไม่ได้รู้จักเขาดีพอสักนิดเพราะแบบนี้ถึงได้ไม่ไว้ใจเขาและไม่ไว้ใจตัวเอง มันชอบเผลอไผลไปกับการกระทำของเขาที่ดูเหมือนจะอยากทำให้มันเหมือนเดิม
ซึ่งมันไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้วจริงๆ ฉันคิดแบบนั้น
เวลาผ่านไปนานแค่ไหน คนเราก็มักจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา... แต่ไม่ใช่กับเขาคนนี้ เมื่อก่อนเป็นยังไงตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
“พี่ไม่เคยลืมแพง” ก่อนจะลงจากรถพี่ไฟก็ตะโกนไล่หลัง แต่สักพักรถปอร์เช่ก็เคลื่อนตัวออกจากบ้านไปอีกครั้ง ไม่ต้องเดาให้มากสิ่งที่พี่ไฟทำอยู่ก็คือ... การไปนอนกับผู้หญิงคนอื่น
วันนี้เป็นหยุดฉันตื่นขึ้นมาในตอนเช้า กิจวัตรที่ทำทุกวันคือการอ่านหนังสือและอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง ฉันมักจะเก็บตัวเองมากกว่าไปข้างนอกเดินห้างหรือช้อปปิ้ง แม้ว่าใบเตยจะพยายามดึงฉันไปในที่แบบนั้น ทว่าเซฟโซนของฉันใบเตยก็เลือกที่จะให้เวลาส่วนตัว เสียงเพลงแบบผ่อนคลายดังขึ้นให้สมองเบาๆ ยามที่อ่านนิยายรักซึ่งฉันเสพติดการอ่านนิยายมาก แม้ว่าความเป็นจริงกับโลกจินตนาการจะต่างกัน แต่ฉันก็มักจะอ่านเพื่อให้ตัวองรู้สึกใจเต้นหรือเขินอายไปกับบทของพระนาง ทว่าความรู้สึกนั้นกลับกลายเป็นเฉยชา
เป็นแบบนี้มาสักพักและไม่มีท่าทีว่าจะกลับมาเลย จึงเปลี่ยนกลับไปอ่านหนังสือจิตวิทยาแทน ใบเตยเองก็มักจะชอบซื้อหนังสือนิยายรักมาอ่านเช่นกันนะ รายนั้นอ่านแล้วก็ฟินไปสิ พี่หมอในจินตนาการดันมีชีวิตจริงๆ ส่วนฉันอะไม่มีแบบนั้นในชีวิตจริงก็เลยไม่อินกับอะไรแบบนั้นสักเท่าไหร่
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังทะลุหูฟังแบบไร้สาย ซึ่งฉันเปิดแบบเบาๆ ไว้จึงยันตัวลุกขึ้นจากเตียงนอน ก้าวเท้าลงไปเปิดประตูจึงพบว่าเป็นน้าพิมถึงได้ถอดหูฟังออก “วันนี้หยุด ไม่ไปเปิดหูเปิดตาหน่อยเหรอ?”
“ไม่ค่ะ” ส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าบนเตียงตอนนี้มีแต่หนังสือและโน้ตบุ๊คที่เปิดทิ้งไว้สำหรับดูหนัง
“มาอยู่ที่นี่น้าคิดว่าแพงจะดีขึ้นซะอีก” มันก็หลายอาทิตย์แล้วนะ แต่ฉันก็เหมือนเดิมน้าพิมเป็นห่วงคงจะไม่แปลก
“แค่ไม่ต้องเครียดก็ดีแล้วนี่คะ” ความจริงตอนเจอกับพี่ไฟฉันคิดว่าอาการของฉันคงหนักกว่าเดิมนะ ทว่าพอเขามาในมุมแบบที่ไม่ได้เจอกันครั้งแรก ความรู้สึกนั้นก็หายไป... แต่เรื่องที่ชอบเก็บตัวเองทำยังไงอันนี้ก็ไม่หายไปไหนหรอก
“ต้องไปพบหมออีกทีวันไหน?”
“สิ้นเดือนนี้ แพงไปได้” ไม่อยากรบกวนน้าพิม ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย “กลางวันน้าทำสปาเก็ตตี้ไข่กุ้ง ลงมาทานด้วยนะ”
พยักหน้ารับจากนั้นน้าพิมก็ถอยหลังห่างไป ฉันรู้นะว่าตัวเองทำตัวเป็นภาระให้กับน้าพิมมากแค่ไหน แต่หลายๆ อย่างที่ประทังเข้ามาในชีวิตของฉันมันก็เกินกว่าจะรับมือไหว มีช่วงที่ฉันอ่อนแอและจมดิ่ง แต่ก็มีช่วงที่ขึ้นมาได้บ้างบอกตัวเองเสมอว่าควรเข้มแข็ง อย่างน้อยฉันก็มีน้าพิมที่จับมือกันมาตลอด ไหนจะใบเตยอีก... ฉันไม่ทิ้งพวกเขาให้ต้องอยู่ข้างหลังเพียงเพราะห่วงเรื่องสภาพจิตใจของฉันหรอก
บ่ายโมงหลังจากที่อ่านหนังสือจบเล่ม ฉันก็ออกจากห้องเพื่อลงไปกินอาหารกลางวันก็ต้องชะงักกับคนตัวสูงที่เดินเปลือยท่อนบนออกมาจากห้องที่อยู่เยื้องจากห้องฉันไปสองห้อง สายตาจับจ้องมองไปยังหน้าอกแกร่งแม้ว่าจะมีรอยสักแต่รอยแดงสีกุหลาบจ้ำใหญ่สองจ้ำก็ทำเอาฉันยืนนิ่ง มองพี่ไฟที่ยังคงหลับตาลงเอามือยีศีรษะตัวเอง กระทั่งเขารู้ถึงการจับจ้องถึงได้เห็นฉันยืนมองอยู่
“ไม่ได้ไปไหนเหรอ?” ถามกลับฉันจึงส่ายหน้าไปมา “อยากไปไหนหรือเปล่า บอกพี่ได้นะถ้าหนูจะไป”
“ไม่เป็นไรค่ะ ปกติแพงชอบอยู่ในเซฟโซนของตัวเองมากกว่า” เป็นเรื่องผิดปกติที่ฉันพูดกับเขาได้ความยาวชนิดที่ว่าตัวเองยังมึนเองเลย ฉันในแบบนี้คือพูดแทบนับคำได้ด้วยซ้ำ ตั้งแต่เจอเขาฉันว่าฉันพูดได้เยอะขึ้นเลย “รบกวนพี่ไฟ”
“รบกวนตรงไหน พี่เคยบอกเราแล้วไง”
“แพงชอบอยู่คนเดียว” ตอบกลับไปเป็นอันว่าพี่ไฟที่คะยั้นคะยอก็เลือกที่จะเงียบ เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบกล่องบุหรี่ขึ้นมาถือไว้พลางเดินลงบันไดไปยังห้องครัว เห็นคุณชนะทิศกับน้าพิมกำลังนั่งทานอาหารกลางวันด้วยกันอยู่ ซึ่งคุณชนะทิศก็นั่งทำงานใน Table อยู่เงยหน้ามองฉันพลางส่งยิ้มให้
“หนูไม่ไปเที่ยวไหนเหรอพะแพง?” อีกคนแล้วสินะ ทำไมต้องถามคำถามนี้ตลอดแค่ฉันไม่ออกไปเที่ยว ทำไมต้องเป็นห่วงกันขนาดนี้ด้วย น้าพิมคงจะเล่าเรื่องฉันให้คุณชนะทิศฟังไม่มากก็น้อยสินะ แต่ก่อนจะได้ตอบคำถามคุณชนะทิศสายตาคมก็ตวัดมองคนที่มานั่งข้างฉันอย่างไม่พอใจ “ทุเรศ! จะโชว์ให้ได้อะไร”