“ขึ้นรถ” บอกแค่นั้นแต่พะแพงก็เลือกที่จะเดินอ้อมรถผมเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับผม “หยุด”
“มีอะไรคะ?” เธอหันมามองผมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยใจ
“พ่อฉันสั่งให้ไปส่งเธอที่มหาลัย”
“ไม่จำเป็น” ตอบกลับมาพลันน้ำเสียงที่เย็นชามันแสลงหูผมจนต้องเดินตรงไปหยุดตรงหน้าและคว้าข้อมือเธอกระชากเข้าหาตัวจนเธอเซซบกับอกของผม ทว่าใบหน้าที่เงยมองกลับทำให้อารมณ์ของผมร้อนขึ้นอีกครั้ง
“รังเกียจกันขนาดนั้นเชียว?”
“แล้วแต่จะคิดค่ะ” บิดข้อมือไปมาเพื่อให้ผมปล่อย แต่ไม่ว่าจะทำยังไงพะแพงก็ไม่สามารหลุดพ้นไปจากการกระชากลากถูกเธอจนขึ้นมานั่งบนรถด้วยกันเป็นที่เรียบร้อย ระหว่างทางภายในรถก็ไม่มีแม้แต่เสียงพูดเลยสักนิด
“ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยหรือไง?” เพราะเงียบเกินไปผมเลยถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัยมานาน
“ไม่มีค่ะ” ผมเองก็เกลียดนะ เกลียดที่ต้องเจอกับผู้หญิงที่เย็นชาและไร้ความรู้สึกแบบนี้
“งั้นเหรอ” ได้แต่หัวเราะในลำคอจากนั้นผมก็หักรถเลี้ยวเข้าข้างทางและหันไปมองร่างเล็กที่ยังคงมองตรงออกไปยังนอกรถ ท่าทางแบบนี้มันเรียกอามณ์โกรธให้ผมจำต้องเอื้อมมือไปบีบปลายคางเธอให้หันมามองสบตากัน แววตากลมโตที่ว่างเปล่า ริมฝีปากบางแดงนูน ไหนจะกลิ่นกายหอมๆ ที่ลอยเข้าจมูกผมนี่อีก “เปลี่ยนน้ำหอม?”
“ไม่เกี่ยวกับคุณนี่คะ” เธอพยายามปัดมือผมออกเพราะแรงบีบตรงแก้มเธอมันเริ่มแรงขึ้น เพื่อหวังให้เธอรู้สึกเจ็บปวดบ้างแต่เปล่าเลย พะแพงไม่ได้รู้สึกแบบที่ผมต้องการให้เป็น แน่นอนว่ามันเหมือนท้าทายผมไปในตัว
“เธอกล้าเมินฉัน เธอรู้ใช่ไหมว่าฉันไม่ชอบให้ใครมาเมินโดยเฉพาะผู้หญิงแบบเธอ” พะแพงดีดดิ้นไปมาแต่แรงผู้หญิงหรือจะสู้แรงผู้ชาย ผมคว้าข้อมือทั้งสองไว้ด้วยมือข้างเดียวจากนั้นมืออีกข้างก็คว้าท้ายทอยเธอไว้ พลางโน้มใบหน้าเข้าใกล้จนพะแพงเบื่อหน้า
“อย่า”
“ห้ามฉันได้?” จมูกของผมคลอเคลียไปตามแก้ม ดวงตามองไปทั่วใบหน้าเล็กๆ พลางกัดฟันตัวเองจนได้ยินเสียงดังฟังชัด “เธอไม่รอดมือฉันหรอกพะแพง”
“...”
“ตราบใดที่น้าเธออยู่บ้านฉัน” พอพูดถึงน้าพะแพงก็มองผมตาขวาง รู้สึกถึงแรงดีดจากข้อมือที่พยายามสะบัดให้หลุดจากการกอบกุม “ถ้าอยากปกป้องน้าตัวเอง ก็ต้องอยู่บ้านฉันนะ”
“คุณ...” น้ำเสียงลอดไรฟันของพะแพงเป็นเครื่องกระตุ้นให้ผมอย่างดีเลยที่จะทำเรื่องที่มันเลวร้าย
“เธอจำเอาไว้นะไม่ว่าจะพ่อ น้าเธอหรือแม้แต่ตัวของเธอ” ริมฝีปากของผมเลื่อนจรดไปยังริมฝีปากของเธอ ซึ่งมันโคตรจะดึงดูดผมอย่างมากทีเดียวที่อยากจะขยี้มันให้แหลกคาปากของผม “คนที่ทำให้ฉันเจ็บ มันต้องเจ็บกว่าฉัน”
“ฉันไม่เกี่ยว”
“เหรอ?” ผมหัวเราะออกมาจนพะแพงมองผมด้วยสีหน้าโกรธแค้นไม่ต่างกัน
“ถ้าจะมีคนเจ็บ คุณเองก็ด้วย” เธอขู่ผมเหมือนแมวน้อยที่เพิ่งรู้จักพองขน เป็นการขู่ที่โคตรจะเด็กเลยพะแพง
“ฉันเจ็บมามากพอแล้ว ต่อไปคือการเอาคืน”
“...”
“น้าเธอก็สวยดีนะ” พอผมพูดแบบนี้พะแพงถึงกับเบิกตากว้าง จิกนิ้วลงที่หลังมือผมจนรู้สึกเจ็บราวกับต้องการให้ผมปล่อยแต่ผมไม่ปล่อยเพราะต่อให้เจ็บ แค่นี้มันก็น้อยไปด้วยซ้ำ “เธอรู้ใช่ไหมว่าฉันทำได้ทุกอย่าง”
“เลว” กัดฟันด่าผม “น้าพิมเป็นภรรยาพ่อคุณ”
“แล้วยังไง?” ยักไหล่พลางส่ายหน้าไปมา “ของพ่อก็เหมือนของลูก”
“ทุเรศ” ด่าทอผมด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธที่ถ้าหากเธอหลุดพ้นจากผมได้ เธอคงยำผมเละน่าดู “เลวเสมอต้นเสมอปลาย”
“เมื่อก่อน... เธอก็เคยชอบนี้” พอผมพูดออกไปแบบนี้ พะแพงจากที่พยศกลับกลายเป็นนิ่งเฉยทันทีราวกับคนละคนกับที่ด่าผม เธอกัดปากตัวเองก้มหน้าลงไม่สบตากับผมโดยตรงจนต้องใช้มืออีกข้างช้อนปลายคางเธอขึ้น “อย่าแกล้งลืมเลยพะแพง”
“ฉันไม่ได้แกล้ง” หลุดจากภวังค์ความคิดตัวเอง พะแพงก็เงยหน้าสบตากับผมเป็นจังหวะที่เธอบิดข้อมือออกยันไหล่ผมออกห่างจากตัวเธอแต่ผมก็ไม่ขยับไปง่ายๆ กลับโถมตัวลงไปเท้ามือบนเบาะที่เธอนั่งเพื่อไม่ให้เธอหนีไปไหนได้ “แต่ฉันลืมไปหมดแล้ว”
“เสียดายแย่เลย”
“...”
“งั้นฉันจะช่วยให้เธอจำมันเองนะ”
ไม่รอให้พะแพงพูดอะไรต่อผมก็กดแนบริมฝีปากลงไปยังกลีบปากบางทันที ขยี้จูบอย่างรุนแรงชนิดที่ว่าพะแพงไม่สามารถดีดดิ้นหนีไปจากรสจูบที่ผมมอบให้ได้เลยสักนิด สองมือที่ยันไหล่ผมไว้กลับจิกลงเพื่อผลักไสผม ทว่าแรงอันน้อยนิดแบบนี้แค่แรงจะเบือนหน้าหนีจูบยังไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมผละจูบออกมาก่อนจะจู่โจมไปอีกครั้งและครั้งนี้ผมบีบแก้มเธอให้อ้าปากขึ้นจากนั้นก็เข้าไปตวัดลิ้นในโพรงปากที่หอมหวานและกลมกล่อมจนยากที่จะถอนจูบออก แต่เพราะพะแพงเริ่มหายใจไม่ออกนั่นแหละผมจึงถอนจูบออกมาอย่างเหนื่อยหอบ
เพียะ
“ไปตายซะ” ประตูรถถูกเปิดออกไปตามด้วยร่างเล็กที่วิ่งไปโบกรถแท็กซี่และขึ้นหนีผมไป ทิ้งไว้แต่รอยมือที่อยู่บนแก้ม เจ็บจนมึนหัวไปพักหนึ่งพลางเอานิ้วแตะที่มุมปากก็พบว่ามีเลือดไหลจนเรียกรอยยิ้มออกมา
“คนที่จะตายคือเธอ ไม่ใช่ฉัน!” สองมือทุบลงกับพวงมาลัยก่อนจะขับรถเพื่อตรงไปยังมหาลัย พลางในหัวก็คิดเรื่องที่มันค่อนข้างจะไม่ดีไปด้วย “แต่ตายบนเตียงเพราะฉันนะ”
รถของผมขับตรงมาถึงมหาลัยและเดินมานั่งที่โต๊ะหินอ่อนหน้าคณะซึ่งมีไอ้เทียนนั่งอยู่ก่อนแล้ว มันทำหน้ามึนทันทีที่เห็นผมเอาผ้าเย็นประคบที่มุมปากหลังจากแวะซื้อที่โรงอาหารก่อนมาที่นี่ “มึงเอาหน้าไปโดนตีนที่ไหนมาวะ?”
“โดนตบ”
“ถามจริง” ไอ้รามเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ มันคงไม่เชื่อแน่นอนว่าที่ผมพูดคือเรื่องจริง
“อือ โดนของเล่นใหม่ตบเอา” ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด คิดไว้ว่าคืนนี้พะแพงไม่รอดผมแน่ ต้องเอาคืนให้สาสม!
“มึงมันชอบทำให้ไก่ตื่น” ไอ้เทียนหยิบขนมไม้ที่เป็นขนมโบราณขึ้นมากัดพลางเอาชี้หน้าผม “ตรงๆ แบบมึง ผู้หญิงที่ไหนจะสมยอมวะ ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงที่พร้อมอยากจะนอนกับมึง”
“...” มันก็ถูกอย่างไอ้เทียนพูดนะ ปกติผมจะเป็นคนแบบนี้ล่ะทำอะไรก็ชอบบอกไปตรงๆ เลยไม่ค่อยชอบเล่นเหมือนกับไอ้เทียนที่รายนั้นถนัดนักกับเรื่องแบบนี้ “จะให้กูทำไง?”
“ฟังพี่นะน้อง” ไอ้เทียนได้ทีขยับมานั่งข้างผมพลางกอดคอไปด้วย ก่อนจะกระซิบมาที่ข้างใบหูจนผมค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นมาพลางหันไปมองสบตากับมันและตบฝ่ามือเข้าหากัน “เก็ทไหมครับ?”
“เออ! แบบนี้คงสนุกน่าดู”
“แต่มึงเล่นขนาดนี้ ของเล่นชิ้นนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ” ผมยักคิ้วให้กับไอ้เทียนที่หรี่สายตามองอย่างสงสัย “ชักอยากเห็นแล้วอะดิ”
“ใคร” เบนสายตาไปมองไอ้รามที่เอนหลังพิงเก้าอี้หินอ่อน จับจ้องผมไม่วางตา “ถึงได้อยากเล่นมากขนาดนี้”
“อยากเสือกเหมือนกันอะดิมึงอะ”
“ไว้เดี๋ยวพวกมึงก็รู้เองล่ะ”
เพราะยังไม่ถึงเวลาที่พวกมันควรจะรู้ว่าของเล่นที่ผมหมายถึงเป็นใคร? ผมแค่อยากมั่นใจอะไรสักหน่อย ถึงเวลานั้นจัดการตามแผนที่ไอ้เทียนแนะนำเข้ามา วันนี้ผมมีเรียนคลาสถ่ายภาพแน่นอนว่ากล้องดิจิตอลที่พกติดตัวมาด้วยถูกนำมาใช้ประกอบวิชาเรียน เอาจริงปีสุดท้ายพวกผมก็ต้องเตรียมตัวไปหาที่ฝึกงานแต่แพลนกันไว้ว่าจะฝึกงานที่แตกต่างกันอออกไป ผมอยากจะไปเป็นช่างภาพที่บริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนไอ้เทียนรายนั้นก็อยากไปฝึกที่สถานีโทรทัศน์หรือเบื้องหลังและส่วนอีกหนึ่งหน่อมันไม่ยอมบอก แต่ผมคิดว่ามันคงไปฝึกที่บริษัทตัวเองมากกว่าโดยที่ไม่ต้องทำอะไร ให้เดาคนเนือยๆ อย่างไอ้รามเกียรติ์คงไม่พ้นนั่งๆ นอนๆ ฝึกงานก็ได้คะแนนเต็ม