ตอนที่ 1 ดอกไม้ของอานิก (3)

1674 คำ
หากวันไหนเป็นวันหยุดไม่มีเรียน มาลินีก็จะตื่นแต่เช้ามาช่วยทุกคนงาน ทั้งงานทำความสะอาดและงานครัว ทั้งที่งานพวกนี้ดนุนัยเคยสั่งแล้วว่าไม่ให้เธอทำ แต่เธอที่อาศัยชายคาบ้านเขาจะให้งอมืองอเท้าเธอก็ทำไม่ได้ อะไรที่ช่วยได้เธอก็จะทำเต็มที่ ตามที่อบรำไพผู้เป็นป้าคอยพร่ำสอน อย่างเช่นตอนนี้เธอกำลังตั้งใจตักข้าวต้มใส่ชามให้คนในบ้านเจริญภิวัฒน์ที่นั่งรับประทานอาหารเช้ากันอยู่ในห้องอาหาร ไล่ตั้งแต่ร่างใหญ่กำยำในชุดไปรเวทนั่งอยู่บนหัวโต๊ะ วันนี้เขาอยู่ในชุดสบาย แต่ทำไมเขากลับดูดีจนเธออดมองไม่ได้ แต่แล้วเธอรีบหลุบตามองหม้อข้าวต้มแทบจะไม่ทัน เมื่อตาคมเข้มจดจ้องเธอไม่ต่างกัน เลยไม่ทันเห็นเจ้าของใบหน้าคมหยักยิ้ม เมื่อตักข้าวต้มใส่ชามให้ดนุนัยแล้วมาลินีรีบถอยออกมา แล้วเดินไปอีกฝั่งของโต๊ะอาหาร ก่อนจะตักข้าวต้มใส่ชามใบใหม่แล้วค่อย ๆ วางลงตรงหน้าหญิงสาวใบหน้าอิ่มเอิบ ผมสั้นเสมอไหล่ ซึ่งอยู่ในชุดอยู่บ้าน หากแต่เป็นชุดคุณภาพดีสมกับราคา หล่อนคือดารณีพี่สาวของดนุนัยเอง นั่งฝั่งซ้ายของโต๊ะอาหาร โดยมีผู้ชายรูปร่างท้วมหัวเถิกนิด ๆ แต่งตัวภูมิฐานนั่งข้างดารณี เขาเป็นสามีของหล่อนเอง หลังจากจัดการตักข้าวให้สองสามีภรรยาเรียบร้อยแล้ว มาลินีจำต้องมาหยุดอยู่ข้างใครอีกคนในเสื้อยืดกางเกงวอร์มสีเข้มบ่งบอกว่าเขาเพิ่งตื่น เพราะผมของเขาพันกันยุ่งเหยิง ต่างจากที่เธอเคยเห็นในยามอยู่ที่มหาวิทยาลัย จิรายุเป๊ะสุด ๆ เพราะเขาเป็นถึงดาวคณะสถาปัตย์ “ของฉันไม่ต้องเยอะนิดเดียวพอ เพราะฉันไม่ใช่ผู้ใช้แรงงาน” มาลินีเม้มเรียวปากให้กับประโยคกระแนะกระแหนของคนทำหน้าตึง ลงมือตักข้าวต้มสองช้อนแกงใส่ชามเซรามิคสีขาวเรียบแล้ววางไว้ตรงหน้าชายหนุ่ม ไม่ได้ถือสาต่อคำพูดดูแคลนของเขา จะว่าไปเมื่อก่อนพวกเธอสนิทกันมาก แต่เขาเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อพวกเธอขึ้นปีสอง และช่วงหลัง ๆ มานี้ จิรายุชอบพูดจาแดกดันเธอบ่อย ๆ เพราะอะไรนั้นเธอเองก็ไม่ทราบ แต่ดูเหมือนคนที่ไม่พอใจในประโยคเมื่อครู่ของจิรายุเป็นผู้ชายที่นั่งอยู่บนหัวโต๊ะ “ก็เพราะแรงงานไม่ใช่เหรอที่ทำความสะอาดบ้าน ดูและเสื้อผ้า อาหารการกินให้เรา ก่อนจะดูถูกคนอื่นให้ดูตัวเองก่อน” ดนุนัยหันไปต่อว่าหลานชายคนเดียวน้ำเสียงนิ่งขรึม จิรายุไม่ได้สนใจต่อคำติเตียนของผู้เป็นน้าชาย แต่เขากลับเงยหน้าหันไปสบนัยน์ตาสาวน้อยวัยเดียวกันด้วยประกายความไม่พอใจ มาลินีมองคนทำหน้าบึ้งแล้วใจจริงอยากถามเขาเหลือเกินว่าโกรธอะไรเธอนักหนาถึงได้ตั้งท่าขุ่นเคืองเธอขนาดนี้ด้วย แต่เลือกที่จะเก็บความแคลงใจไม่ได้ถามออกไป จากนั้นนำโถข้าวต้มไปเก็บที่เคาน์เตอร์ ขณะที่ป้าอบนั้นยืนอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะอาหารไม่พูดไม่จา ยังคงมีทีท่าสงบเสงี่ยมตามบุคลิกของแก ทุกคนนั่งทานข้าวอย่างเงียบ ๆ กระทั่งช้อนของดนุนัยวางลงข้างชาม ตาคมกริบเบนตำแหน่งมาหยุดอยู่ที่ร่างท้วมของพี่เขยที่นั่งข้างพี่สาวของเขา จากนั้นชายหนุ่มยกแก้วขึ้นมาดื่มน้ำพร้อมเอ่ยถาม “โครงการที่ภูเก็ตดำเนินการไปถึงไหนแล้วครับพี่รัตน์” จิรัตน์ที่ถูกถามถึงงานที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่กลางโต๊ะอาหารก็ยิ้มให้น้องเมียอย่างเฝื่อน ๆ “ดำเนินการไปแล้วกว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์… น้องนิกมีอะไรหรือเปล่า?” “ทำไมถึงล่าช้านักล่ะครับ?” ถามพลางวางแก้วน้ำที่เพิ่งดื่มไปเกือบครึ่งแก้วลงข้างชาม จิรัตน์เป็นสถาปนิกเหมือนกับดนุนัย และโครงการที่ดนุนัยเอ่ยถามเป็นโครงการที่อีกฝ่ายรับผิดชอบอยู่ในขณะนี้ และทีแรกก็เป็นพี่เขยเองที่ขอดูแลโครงการนี้ วันนี้ที่เขาเอ่ยถามความคืบหน้าของโครงการ เพราะเมื่อวันลูกค้าที่เป็นเจ้าของโครงการรีสอร์ตโทรมาที่บริษัท คล้ายจะไม่พอใจที่โครงการดำเนินการล่าช้ากว่าที่กำหนด “ติดปัญหาเรื่องงบประมาณนิดหน่อยน่ะ” จิรัตน์กล่าวเสียงอ่อนลง ภายหลังจากเช็ดมุมปากด้วยผ้าขาวสะอาดในขณะเดียวกันเมื่อเห็นสายตาคมเข้มของน้องเมียจับจ้องมาทางเขาไม่ลดละ ทำเอาคนถูกมองรู้สึกกดดันอย่างไรบอกไม่ถูก ใคร ๆ ต่างก็รู้กันทั้งนั้นว่าดนุนัยนั้น จริงจังและเข้มงวดกับงานมากแค่ไหน ทางด้านผู้เป็นภรรยาได้ยินเช่นนั้น จึงเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะหันไปทางสามี “งบไม่พอก็เบิกกับบริษัทสิ โครงการจะได้เสร็จเร็ว ๆ ไม่อย่างนั้นมันก็ยืดเยื้ออยู่แบบนี้ แล้วเมื่อไหร่เราจะได้ส่งมอบงานให้ลูกค้าล่ะ” “นั่นสิครับ” คนที่นั่งมุมหัวโต๊ะเสริมทับ แต่คนถูกจี้เงียบกริบ และถ้าหากสังเกตดี ๆ ตอนนี้หน้าผากกว้างเริ่มมีเหงื่อซึมนิด ๆ ราวกับคนมีชนักติดหลัง ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่ว่าเพราะจิรัตน์เพิ่งนำงบประมาณที่เคยเบิกเป็นก้อนไปลงทุนในตลาดหุ้น และตอนนี้หุ้นที่ซื้อไว้เพื่อเก็งราคาก็ขายขาดทุนอีก กลายเป็นว่าตอนนี้เงินที่จะนำมาใช้จ่ายในโครงการก็ไม่มี ทำให้โครงการหยุดชะงักไป ลูกค้าทวงงานหลายครั้ง เขาก็บอกปัดทุกครั้ง สงสัยครั้งนี้ลูกค้าคงแจ้งไปที่สำนักงานใหญ่ ไม่อย่างนั้นน้องเมียคงไม่ถามเขากลางโต๊ะอาหารแบบนี้แน่ “เอ่อคือ…” “เอ่ออะไรคะ คุณมีปัญหาอะไรก็บอกตานิกไปสิ” ดารณีไม่เคยเข้าไปในบริษัทของครอบครัว จึงไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องในบริษัทเท่าไหร่นัก เมื่อเห็นสามีทำท่าเลิ่กลั่กเลยอดแทรกขึ้นมาไม่ได้ โดยไม่รู้ว่าคนเป็นสามีกำลังอึดอัดและลำบากใจที่จะพูด “เอาเถอะครับเรื่องนี้เดี๋ยวค่อยกลับไปคุยกันในที่ประชุมก็แล้วกันว่าจะจัดการต่อยังไง” ดนุนัยมองคนมีทีท่าเหมือนน้ำท่วมปากเลยตัดบท จากนั้นก็ปรายตามองไปยังสาวน้อยในชุดเอี๊ยมยีนสีน้ำทะเล เห็นเธอมองเขาเหมือนกัน แต่แล้วตากลมโตรีบหลุบลงต่ำมองพื้นเมื่อถูกเขาจับจ้อง ชายหนุ่มอมยิ้มนิด ๆ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ลุกขึ้น “มะลิตามฉันเข้าไปในห้องหนังสือหน่อย” คนที่มัวแต่ก้มหน้าไม่กล้าสบตาดวงตาคมเข้ม เงยหน้าขึ้นแล้วตามเขาไปอย่างว่าง่าย โดยมีสายตาสามถึงสี่คู่ในห้องอาหารมองตามร่างเล็ก โดยเฉพาะจิรายุที่ทำหน้าไม่พอใจ “ปกติไม่เคยเห็นตานิกเรียกแม่มะลิเข้าไปในห้องหนังสือเลย วันนี้เกิดอะไรขึ้น” ดารณีเลิกคิ้วสงสัยก่อนหันไปมองแม่บ้านวัยกลางคน ป้าอบรีบส่ายหน้ารัวเร็ว “ดิฉันไม่ทราบเหมือนกันค่ะคุณดา” ป้าอบไม่รอให้อีกฝ่ายถามอะไรเพิ่มจึงรีบออกตัวปฏิเสธ ส่วนคนที่ทำหน้าบูดบึ้งกระแทกช้อนลงแล้วลุกออกไป ปล่อยให้พ่อแม่นั่งกันต่อ ในขณะเดียวกันแม่บ้านคนอื่น ๆ ก็ไปทำหน้าที่ของตัวเอง ภายในห้องอาหารจึงเหลือเพียงแค่สองสามีภรรยา เมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว จิรัตน์ที่มีสีหน้าเคร่งเครียดตัดสินใจเล่าเรื่องที่ตนเองก่อไว้ให้ภรรยาฟัง เงินก้อนนั้นเขาลงทุนไปซื้อหุ้นตามที่อาของเขาเป็นคนแนะนำ ทว่าเพราะโชคร้ายหรือดวงไม่มี หุ้นที่คิดว่าราคาพุ่งขึ้นกลับตกลงมาอย่างคาดไม่ถึงในช่วงเวลานั้นต้องตัดสินใจว่าจะขายหรือเก็บไว้ก่อน แต่ดูเหมือนทิศทางหุ้นดังกล่าวมีแต่จะตกลงมาเรื่อย ๆ เขาจำเป็นต้องขายออก พร้อมกับที่ติดลบจนเข้าเนื้ออีกเกือบแสน… ดารณีฟังจบถึงกับลมออกหู หล่อนรู้ว่าน้องชายเป็นคนยังไง ไม่คิดว่าสามีของหล่อนจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ ถึงว่าทำไมเมื่อกี้ดนุนัยถึงได้เอ่ยเรื่องงานกลางโต๊ะอาหารแบบนี้ ปกติเรื่องงานไม่ถูกนำมาพูดถึงในเวลามื้ออาหารเลย ที่แท้ก็เพราะอย่างนี้นี่เอง “คุณกล้าทำอย่างนี้ได้ยังไง?” ดารณีชักหน้าเบ้เอ่ยถามสามี “ผมไม่ได้ตั้งใจ” คนพูดหรี่ตาลง “คุณช่วยพูดกับน้องนิกให้หน่อยสิ ผมไม่กล้าพูด” จิรัตน์เลื่อนมือมาโอบไหล่ภรรยาที่ทำหน้าดุ หากแต่เขาไม่เคยกลัวหล่อนสักครั้ง เพราะรู้ว่าถึงดารณีปั้นหน้าดุดัน แต่ความจริงแล้วข้างในกลับอ่อนโยน และยอมเขาทุกครั้ง ดารณีขึงตามองสามีแล้วส่ายหน้าหงุดหงิด แต่ก็ต้องยอมใจอ่อนต่อสีหน้ารู้สึกผิดของเขา “ฉันจะลองคุยกับตานิกก็แล้วกัน แต่ไม่รับรองนะว่าจะได้ผลไหม ถึงนี่จะเป็นครั้งแรกที่คุณทำแบบนี้ก็เถอะ แต่คุณก็รู้นี่ว่าตานิกเขาเป็นคนเคี่ยวขนาดไหน” ดารณีรับปากพลางบ่นด้วยสีหน้าหนักใจ หล่อนคิดว่าแทนที่จะดุว่าสามี หล่อนควรจะหาวิธีช่วยพูดให้น้องชายเห็นใจจะดีกว่า “ขอบคุณมากนะดา ที่ช่วยผม แต่ทั้งหมดที่ผมทำก็เพื่อคุณกับลูก” จิรัตน์กล่าว ความคับแน่นในอกราวกับมีหินมาถ่วงทับเมื่อครู่ เริ่มคลายลงบ้าง หากแต่คนที่หนักใจเป็นดารณี
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม