บทที่ 9 แรกชอบ

4614 คำ
ภายในห้องพักสุดหรูของคนที่มักเก็บเนื้อเก็บตัวแน่นขนัดไปด้วยเพื่อนฝูง แรกนั่งกอดอกทำหน้านิ่ง ให้เพื่อนทั้งสี่คนมองจ้อง แววตาแต่ละคนดูเคร่งเครียดเหมือนมีอะไรในใจ มาถึงก็ไม่พูดไม่จา เอาแต่นั่งจ้องหน้าเขาไม่ก็มองหน้ากันไปมา “พวกมึงมีอะไรจะพูดก็พูด” แรกพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความรำคาญ เป็นอีกครั้งที่เพื่อนทั้งสี่คนของแรกมองหน้ากัน ส่งพลังจิตโดยไม่ต้องมีคำพูดว่าใครจะเป็นคนพูด สุดท้ายแรกก็ต้องเอ่ยเรียกชื่อคนที่น่าจะให้คำตอบได้ “ไอ้วา พูดมา” วายกมือเกาท้ายทอย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “พวกกูทำอะไรให้มึงไม่พอใจเปล่าวะ หรือมึงมีปัญหาอะไรบอกกับพวกกูได้นะเว้ยไอ้แรก” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันหลังได้ยินในสิ่งที่วาพูด “ทำไมกูต้องไม่พอใจอะไรพวกมึง” แรกถามด้วยความสงสัย “ก็มึงไปมีเพื่อนใหม่” นัทพูดหงอยๆ ในบรรดาห้าคนนัทเป็นคนที่รักและหวงเพื่อนมากที่สุด “แล้วการที่กูมีเพื่อนใหม่มันเกี่ยวกับเรื่องพอใจไม่พอใจตรงไหน” ทั้งสี่คนเงียบ บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงรู้สึกไม่สบายใจ เวลาที่แรกอยู่ในกลุ่มก็จะนิ่งๆ พูดคุยเล่นบ้างตามประสา เพราะเป็นคนโลกส่วนตัวสูง บางครั้งทำให้เพื่อนรู้สึกว่าสนิทแต่ก็ไม่สนิท ภาพลักษณ์ที่ดูโตเกินกว่าวัยของแรก ทำให้เพื่อนมองคนแรกเป็นเหมือนพี่ใหญ่ที่พวกเขาจะต้องคอยถามความเห็นในเรื่องต่างๆ พอคนที่สำคัญที่สุดในกลุ่มทำท่าจะอยากคบหากับเพื่อนคนอื่น ทุกคนก็เกิดความกลัวว่าจะเสียคนแรกไป “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก พวกมันกลัวมึงทิ้งไปอยู่กับเพื่อนใหม่” บอยพูด เขาเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ได้คิดมากขนาดนั้น อาจจะสงสัยบ้าง แต่ไม่ได้คิดมากเท่าคนอื่น “กูไม่ได้โกรธอะไรพวกมึง ไม่ได้จะเลิกคบ กูรู้จักแฟนของไอ้พัช มันมีปัญหากูก็เข้าไปถามไถ่ อีกอย่างกูก็ลงแข่งฟุตบอลกับไอ้โอ จะเพื่อนเก่าเพื่อนใหม่ก็เพื่อนกูทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่ทำเหี้ยใส่กูกูก็ไม่เลิกคบหรอก” น้ำเสียงดุดันกับใบหน้าจริงจังทำเอาเพื่อนๆ ต่างลอบกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำ ‘เหี้ย’ อย่างที่คนแรกพูด แต่ก็อดรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ราวกับวัวสันหลังหวะไม่ได้ “ปกติกูไม่เคยเห็นมึงสนิทกับใครนอกจากพวกกู กับไอ้บอยไอ้แก๊ป ก็เป็นกูกับไอ้วาเข้าไปทำความรู้จักก่อน เป็นเดือนๆ กว่ามึงจะคุยเล่นกับมันสองคน ไม่เคยเลยสักครั้งที่มึงจะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่” เป็นอีกครั้งที่แรกต้องถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “มึงอย่าบ้าบอให้มันมากนักไอ้นัท เพลาๆ ลงบ้างโรคหวงคนใกล้ตัวของมึงอะ” แรกอดว่าไม่ได้ บอกตามตรงว่าในบรรดาเพื่อนทั้งหมด เขารำคาญนัทที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าเกลียด นัทก็คือเพื่อนคนหนึ่ง เพียงแต่เป็นเพื่อนที่หวงเพื่อนมากเกินไป ไม่ใช่แค่กับแรก โดนกันทุกคน หวงถึงขนาดที่อยากให้แรกคบกับขวัญ บอกว่าจะได้ไม่เสียเพื่อนในกลุ่มไปให้คนอื่น คงเพราะนัทเป็นลูกคนรอง พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้ ถึงมีก็เอาแต่สนใจลูกคนโตกับลูกคนเล็ก คล้ายเกิดเป็นปมฝังใจ สุดท้ายก็เอามาลงที่เพื่อน เพราะรู้อย่างนั้น แรกถึงได้ไม่อยากจะอะไรกับนัทมาก เพราะเขามองนัทเป็นน้องชายคนหนึ่ง แต่ถ้ามันมากเกินไปก็ต้องพูดต้องว่ากันบ้าง “แต่กูไม่ได้หวงว่ามึงจะไปมีเพื่อนใหม่นะ กูแค่คิดว่ามึงเป็นอะไรหรือเปล่า เผื่อมีอะไรขุ่นเคืองใจจะได้คุยกัน” วาพูดเสียงเบา ดูจากสีหน้าเพื่อนแล้ว แรกพร้อมจะเข้ามาบีบคอพวกเขาได้ทุกเมื่อ “กูก็บอกแล้วว่ามึงคิดมากกันเกินไปไอ้นัท ไอ้วา” แก๊ปผลักหัวเพื่อนทั้งสองคน ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก คิดว่าจะเกิดเหตุทะเลาะกันแล้ว เพราะความคิดมากของไอ้สองคนนี้ล้วนๆ “ก็มันน่าคิดนี่หว่า” “ไหนๆ วันนี้ก็พูดแล้วกูก็ขอพูดอะไรบางอย่างหน่อยนะ” คนอื่นในห้องเกือบจะหายใจหายคอได้ทั่วท้อง ก็ถูกตัดลมหายใจกลางอากาศ ร่างกายที่ผ่อนคลายลงกับโซฟานุ่ม ดีดเด้งขึ้นมานั่งตัวตรงราวกับถูกผู้ปกครองดุ “โดยเฉพาะมึงสองคน ไอ้วา ไอ้นัท” สองคนที่โดนเพ่งเล็งเริ่มร้อนรนมองหน้ากันและกัน ก่อนจะหันไปมองบอยกับแก๊ปราวกับต้องการหาคนช่วย “ไม่ต้องมองพวกกู เรื่องนี้กูจะไม่ยุ่ง” แก๊ปส่ายหน้าหวืด “พวกมึงจะกลัวกูอะไรขนาดนั้น” แรกย่นหัวคิ้ว “ที่กูจะพูดก็คือ เลิกยึดติดกับกูได้แล้ว กูไม่ใช่เจ้าชีวิตพวกมึงนะ ไปใช้ชีวิตของตัวเองบ้างเถอะ มาเรียนต่อมหาวิทยาลัยมึงก็ตามกูมา ความฝันของพวกมึงคืออะไร อยากมาสร้างตึกสร้างถนนหรือไง” คราวนี้ทั้งวาและนัทต่างก็ก้มหน้าหลบสายตาคมที่จ้องมองมาอย่างเอาเป็นเอาตาย และไม่สามารพูดแก้ตัวอะไรได้ เพราะสิ่งที่แรกพูดมานั้นเป็นความจริงทั้งหมด เขาตามแรกมาเรียนที่นี่ในคณะที่ตัวเองไม่ได้สนใจเพียงเพราะอยากเรียนกับเพื่อนก็เท่านั้น ความฝันของตัวเองคืออะไรพวกเขาไม่รู้ แต่ถามว่าชื่นชอบในสิ่งที่ตัวเองเรียนไหมก็ไม่ “ก่อนหน้านี้กูไม่อยากจะพูดมากเพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องของกู มึงเลือกเองมึงก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจ กูไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตพวกมึงสองคนนะ รวมไปถึงเรื่องที่มึงหวงไม่อยากให้กูไปคบกับคนอื่นด้วย พวกมึงเคยลองคิดดูไหมว่า หากวันหนึ่งกูมีเมีย พวกมึงจะมาตามหวงกูกับเมียกูไหม ถามหน่อย” แรกพูดรัวพูดเยอะแบบที่นานครั้งจะทำสักทีเนื่องจากอัดอั้นมานาน ที่ไม่เคยพูดเพราะเขาไม่ใช่คนชอบพูดอะไรยาวเหยียด ติดจะขี้เกียจพูดและอธิบายด้วยซ้ำ เขาไม่ชอบให้ใครมาสั่งสอนนอกจากพ่อแม่ เขาคิดว่าตัวเองคิดเป็นและโตพอที่จะตัดสินใจอะไรหลายๆ อย่างด้วยตัวเอง ต่างจากเพื่อนของเขาที่เอาแต่ตามติดเขาไม่เลิก ดังนั้นคนที่ชอบเก็บเนื้อเก็บตัวอย่างแรกจึงค่อนข้างรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย แรกค่อนข้างแบ่งเวลาในชีวิตชัดเจน เวลาไปเรียนหรือเวลานัดออกไปเที่ยวเขาก็ใช้ชีวิตอยู่กับกลุ่มเพื่อน ถึงเวลาแยกย้าย เขาอยากจะไปไหน ไปทำความรู้จักกับใคร หรืออยากจะใช้เวลาเป็นส่วนตัว เพื่อนก็ควรจะต้องเคารพพื้นที่ส่วนตัวของเขาบ้าง ไม่ใช่เอะอะอะไรก็จะต้องให้ชีวิตเขาพ่วงติดอยู่แต่กับพวกมัน นั่นไม่ถูกต้อง “มึงก็พูดซะไอ้สองคนนี้หน้าเสียเลย” บอยพูดขึ้นเพราะเห็นใจนัทกับวา แต่เขาก็เข้าใจแรก เพราะบอยเป็นเพื่อนที่มาทีหลัง ใจเขาอยากเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้และคณะนี้อยู่แล้ว พอรู้ว่าแรกจะมาเรียนที่เดียวกัน บวกกับนิสัยเข้ากันได้ ก็จับกลุ่มอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ “เพราะว่าเป็นเพื่อนกัน กูถึงอยากพูดให้มันชัดเจน” “เป็นยังไงล่ะมึงสองตัว จ๋อยไปเลย” แก๊ปปรับน้ำเสียงให้ร่าเริงขึ้น บรรยากาศตึงเครียดจะได้เบาบางลง “แม่ง พูดซะกูรู้สึกผิดแทบไม่ทันเลย” วาพูดไม่ค่อยจะเต็มเสียงนัก คำพูดของแรกเหมือนคำพูดของพ่อแม่ไม่มีผิด ตอนที่รู้ว่าเขาเลือกเรียนตามเพื่อน แต่เพราะพ่อแม่เลี้ยงมาแบบตามใจอยู่แล้ว ถึงจะมีบ่นบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ห้าม วาก็เลยทำตามใจตัวเอง นัทก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัว ทุกอย่างที่แรกพูดมามันคือความจริงทั้งนั้น แต่ก่อนแรกไม่พูดเขาก็เลยไม่ได้มองย้อนตัวเอง แต่ตอนนี้นัทก็รู้สึกแย่ไม่น้อย “มึงอย่าร้องนะไอ้นัท” แก๊ปพูดดักคอคนที่นั่งน้ำตาคลอ แรกมองคนที่อารมณ์อ่อนไหวง่ายแล้วก็ได้แต่หนักใจ “มึงยังเป็นเพื่อนกูนะนัท เพราะถ้ามึงไม่ใช่เพื่อน อย่าว่าแต่พูดเลย หางตากูก็จะไม่แลมึง” “ใจเย็นพ่อ เบาได้เบา ไอ้นัทมันจะร้องไห้แล้ว” บอยรีบห้ามไม่ให้แรกพูดวาจารุนแรงจนทำให้สะเทือนใจคนฟังไปมากกว่านี้ “ขอโทษแล้วกัน กูมันปากไม่ดี ถึงไม่ค่อยอยากจะพูดอะไรเท่าไหร่” แรกรู้ข้อเสียของตัวเอง เวลาเขาพูดเขาก็พูดแรง บางทีอาจจะมองว่าไม่ถนอมน้ำใจคนฟัง แต่พอเหลืออด มันก็พลั้งปากทุกที “โอเค เอาเป็นว่าเข้าใจตรงกันแล้วนะ ว่าไอ้แรกไม่ได้จะเลิกคบพวกเรา” แก๊ปพูดสรุปรวบรัดตัดทอน เพราะไม่อยากให้เกิดซีนดราม่านานไปมากกว่านี้ “สรุปที่พวกมึงมาห้องกูก็เพราะเรื่องนี้เนี่ยนะ” แรกปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง นัทเอ่ยขอตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา ส่วนบอยก็ลุกไปเอาน้ำดื่มในตู้เย็น เกร็งกับบรรยากาศจนคอแห้งเป็นผุยผง “เออ พวกมันอยู่กันไม่สุข ถ้าไม่ได้คุยกับมึงวันนี้ก็คงนอนไม่หลับ” “มึงก็พูดเกินไปไอ้บอย “กูเนี่ยนะพูดเกินไปไอ้วา ถามจริ๊ง?” วาไม่พูดอะไร แค่มองค้อนเพื่อนก็เท่านั้น เขาก็แค่กลัวว่าจะทำให้เพื่อนไม่พอใจหรือเปล่า แรกถึงได้ปันใจไปหาเพื่อนใหม่ แต่ตอนนี้เขาก็สบายใจแล้ว “ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรแล้ว เย็นนี้พวกเราไปหาอะไรกินที่เยาวราชกันไหมวะ ไม่ได้ไปนานแล้วอะ” “ก็ดีนะ กูอยากกินก๋วยจั๊บน้ำใส” “อะไร ใครพูดถึงของกิน” นัทที่เพิ่งล้างหน้าเสร็จถาม สีหน้าดูดีขึ้น เขาสบตากับแรก ก่อนจะยักคิ้วให้ แรกก็เลยยักคิ้วคืน เป็นอันว่าจบสิ้นปัญหาใจระหว่างเพื่อน “ไปหาอะไรกินที่เยาวราชกันมึง” “เอาดิ เดี๋ยวกูโทรชวนขวัญด้วย ขวัญบ่นอยากไปเหมือนกัน” “ไปกันกี่โมงดี ช่วงเย็นๆ หน่อยได้ไหม จะได้กลับบ้านไม่ดึก” วาถามความเห็นของเพื่อน พ่อแม่เขาไม่ค่อยอยากให้กลับบ้านดึกเท่าไหร่ ไม่จำเป็นก็ไม่อยากถูกดุ “ไปถึงนู่นสักหกโมงเย็น แล้วสักสองทุ่มค่อยกลับ มึงจะได้ถึงบ้านไม่ดึกมาก” แก๊ปเสนอเพราะเข้าใจดีว่าพ่อแม่ของวาห่วงลูกชายมากขนาดไหน “โอเค เหลือเวลาอีกชั่วโมง ของีบสักหน่อยแล้วกัน” แก็ปเอนหลังนอนบนพื้นพรมหน้าโทรทัศน์จอใหญ่ แรกก็เลยโยนหมอนอิงไปให้เพื่อนหนุนหัว ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่ออาบน้ำ เตรียมออกไปข้างนอกกับเพื่อน ร่างกายสง่างามสมส่วนที่เต็มไปด้วยหยดน้ำเดินออกมาจากห้องน้ำ ท่อนบนเปลือยเปล่า ด้านล่างมีผ้าขนหนูพันเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ ขายาวราวกับนายแบบเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะหัวเตียง กดเข้าไปในแอปพลิเคชันสีเขียว เพื่อพิมพ์ข้อความหาใครคนหนึ่ง ‘วันนี้กลับบ้านหรือเปล่าแบร์ มีใครไปส่งไหม’ แรกจำได้ วันศุกร์แบร์รี่จะกลับบ้าน เขามีโอกาสได้ไปส่งคนตัวเล็กครั้งเดียว เพราะในอาทิตย์ต่อๆ มา แบร์รี่กลับกับโอบ้าง กลับกับโชแปงบ้าง แรกก็เลยไม่ได้ทำหน้าที่สารถีให้กับคนตัวเล็กอีก แรกมองจ้องหน้าแชท เฝ้ารอให้คนปลายทางอ่านข้อความของเขาอย่างใจจดใจจ่อ ก่อนจะหลุดยิ้มเมื่อเห็นข้อความที่ตอบกลับมา พร้อมกับสติกเกอร์ลูกหมีนอนเพลียน่ารักๆ ‘วันนี้ยังไม่ได้กลับ คงกลับวันพรุ่งนี้อะ’ ‘แล้วกลับยังไง’ ความรู้สึกในอกของแรกค่อนข้างวูบวาบ เขากำลังตื่นเต้น และรอคอยคำตอบที่อยากได้ ก่อนที่หัวใจดวงโตจะฟีบเหี่ยว เมื่อคำตอบที่ได้รับไม่เป็นไปตามที่หวัง ‘เดี๋ยวโอมารับน่ะ’ อีกแล้วเหรอวะ ‘อืม งั้นวันนี้ก็อยู่หอในใช่ไหม’ ถึงจะผิดหวัง แต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ‘ใช่ พอดีเราต้องเร่งทำชุดใส่ประกวดน่ะ ถ้ากลับบ้านก็จะไม่ได้ทำ คืนนี้เลยต้องเร่งมือหน่อย’ แรกพยักหน้าเข้าใจอยู่คนเดียวภายในห้องนอน ก่อนจะทิ้งท้ายบทสนทนาอีกเล็กน้อย แล้วปล่อยให้แบร์รี่ได้มีเวลาส่วนตัวในการพักผ่อนหรือออกแบบชุด เวลาสี่โมงเย็นแรกกับเพื่อนก็ออกจากคอนโดมิเนียม เย็นวันศุกร์รถติดตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานด้วยซ้ำ วากับนัทมากับแรก ส่วนบอยไปกับแก๊ป “ขวัญอยู่ไหนแล้ว” เสียงถามไถ่ของนัทดังขึ้น เจ้าตัวกำลังโทรไปถามเพื่อนสาวคนเดียวในกลุ่ม “เราถึงแล้ว กำลังวนหาที่จอดรถอยู่” หญิงสาวตอบกลับมา บ้านของเธออยู่ไม่ไกลจากเยาวราชมากนัก จึงใช้เวลาเร็วกว่าและไม่ต้องให้เพื่อนมารับ “โอเค เราก็ใกล้ถึงแล้ว เจอกันที่ร้านอาหารทะเลเจ้าประจำเลยแล้วกัน ฝากสั่งหน่อยนะถ้าไปถึงก่อน” “ได้จ้า” แรกได้ยินทุกการสนทนาเพราะนัทคุยแบบเปิดลำโพง ชายหนุ่มหักพวงมาลัยเลี้ยวไปตามซอยเพื่อหาที่จอดรถ ตัวเขาเองก็ชอบมาหาอะไรกินที่นี่กับเพื่อน เกลียดอยู่อย่างเดียวคือหาที่จอดรถยาก แต่วันนี้โชคดีหน่อย ได้ที่จอดไว ไม่อย่างนั้นเขาคงหงุดหงิดแล้วพาลกินอะไรก็ไม่อร่อย ผู้ชายห้าคนจับกลุ่มพากันเดินไปยังร้านอาหารที่นัดหมายกับเพื่อนสาวไว้ หนึ่งในร้านยอดฮิตที่ไม่ว่าใครได้มาเยาวราชก็ต้องได้มาลองกิน ซึ่งคนทั่วไปจะเรียกชื่อร้านติดปากกันว่า ‘ร้านเสื้อเขียว’ เป็นหนึ่งในร้านโปรดของแรก ดูเหมือนว่าเพื่อนๆ ทุกคนในกลุ่มอยากจะเอาใจชายหนุ่มเป็นพิเศษ แรกอยากจะบอกว่าไม่ต้องเอาใจเขาจนเกินงามก็ได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงเดินรั้งท้ายตรงไปหาขวัญที่นั่งโบกมือเรียกอยู่ที่ร้านอาหาร “โชคดีที่มาไวแล้วโต๊ะยังไม่เต็ม ไม่งั้นได้รอคิวยาวแน่” หญิงสาวพูดขึ้นเมื่อเพื่อนผู้ชายทั้งห้าคนมาถึงโต๊ะ “สั่งอะไรไปแล้วบ้าง” “ก็สั่งกุ้งเผา ปลาเผา หอยแครงลวก ส้มตำปูม้า แล้วก็มีกุ้งอบวุ้นเส้นของโปรดแรกด้วยนะ” ขวัญฉีกยิ้มหวานพูดกับแรกอย่างเอาใจ แต่คนถูกเอาใจก็ทำเพียงพยักหน้ารับและส่งเสียงขอบคุณในลำคอเท่านั้น จนรอยยิ้มของหญิงสาวค่อยๆ เจื่อนลง แต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้น ขวัญก็กลับมาฉีกยิ้มสดใสเหมือนเดิม “แหมๆ จำได้แต่ของชอบไอ้แรก เอาเมนูมาดิ จะสั่งของกินเพิ่ม” แก๊ปเบะปากใส่แรกอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหยิบเมนูอาหารมาดูเพิ่ม “อย่าสั่งเยอะนะมึง เดี๋ยวไปกินอย่างอื่นต่อ” “เออ” อาหารถูกสั่งเพิ่มไปอีกสองสามอย่าง ดูเหมือนจะเยอะ แต่อาหารแค่นี้ไม่คณามือของผู้ชายวัยกำลังกินกำลังโตทั้งห้าคน “แรก นี่กุ้ง เราแกะให้ เราไม่เห็นแรกกินกุ้งเลย” เสียงหวานเอ่ยขึ้นพร้อมกับวางกุ้งแม่น้ำที่แกะเปลือกแล้วเรียบร้อยลงบนจานของคนแรก “ก็มันไม่ชอบแกะเปลือกกุ้งเปลือกปู” นัทพูด “ทีหลังไม่ต้องแกะให้เราหรอก ขวัญกินเถอะ” แรกบอก แต่ก็ไม่ได้ส่งกุ้งตัวนั้นคืน จิ้มมันเข้าปาก เคี้ยวไม่กี่ทีก็รีบกลืนลงคอ เพิ่งจะเคลียร์ประเด็นกับเพื่อนคนอื่นมา แรกไม่อยากให้บรรยากาศที่กำลังดีตอนนี้ต้องเสียไปเพราะตัวเอง กินอาหารซีฟู้ดเสร็จ แรกและเพื่อนก็รีบลุกออกจากโต๊ะเพื่อให้ลูกค้าคนอื่นได้มานั่งกินบ้าง เดินย่อยซื้อของกินกลับบ้านบ้าง ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปร้านถัดไป “แรก ลองชิมดูสิ ลูกพีชนี่หวานดีนะ แรกชอบนี่” แรงหันไปมองหญิงสาวแล้วหลุบตามองชิ้นลูกพีชจิ้มไม้ในมือเล็ก แต่ไม่มีทีท่าว่าจะก้มลงไปกิน “เฮ้ย มองกล้องกันหน่อย กูจะถ่ายรูปเช็คอิน” แรกหันไปตามเสียงของบอยที่กดถ่ายภาพไปหลายแชะ โดยที่แรกยังไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว “แรก กินหน่อย” เสียงใสยังคงรบเร้าไม่เลิก “ไม่เป็นไร เรารู้ว่าหวาน” “ถ้ารู้แล้วก็กินสิ เราถือเมื่อยแล้วนะ” “กินๆ ไปเถอะไอ้แรก สาวสวยอุตส่าห์ป้อนทั้งที” แก๊ปเหล่มองแล้วก็พูดแซว แต่โดนมือขาวๆ ของวายกปิดปากเอาไว้ พลางเอ็ดว่าไม่ให้พูด “ขอโทษที แต่ขวัญก็รู้ว่าเราไม่ชอบ” แรกเอ่ยปฏิเสธแบบไม่คิดรักษาน้ำใจ “ในฐานะเพื่อนก็ไม่ได้เหรอ” มือที่ถือก้านไม้จิ้มเนื้อพีชลดต่ำลง “มึงก็นะ ขวัญหน้าเสียหมด” นัทขมวดคิ้วพูดตำหนิคนแรก “ไม่เป็นไร อย่าไปว่าแรกเลย” ขวัญส่ายหน้า รอยยิ้มจืดเจื่อนอย่างน่าสงสาร “ขอโทษละกัน” แรกตัดบท ก่อนจะขยับเดินผ่านขวัญไปที่ร้านขายผลไม้นำเข้า ดวงตาสีเข้มกวาดตามอง มีแต่ผลไม้ที่เขาชอบ ถ้าอยู่บ้านเขาจะได้กินผลไม้พวกนี้ตลอด เพราะแม่จะให้แม่บ้านคอยจัดเตรียมเอาไว้ให้ มองผลไม้แล้วแรกก็คิดถึงใครอีกคน เท่าที่ได้พูด ได้คุย ได้เห็น และได้รู้จัก ทั้งจากปากของเจ้าตัวและจากเพื่อนของแบร์รี่ เขาก็พอรู้ว่าแบร์รี่กินน้อย ไม่ค่อยตามใจปากเพราะกลัวรูปร่างไม่ดี ไม่รู้ว่าเย็นย่ำป่านนี้จะกินอะไรแล้วหรือยัง “เอาลูกพีชสองกิโลกรัม แล้วก็เชอรี่หนึ่งกล่องครับ” แรกเอ่ยสั่งกับแม่ค้า ก่อนจะควักเงินจ่าย แล้วหยิบถุงใส่ผลไม้ที่ตัวเองชอบมาถือ “ไปกินก๋วยจั๊บกันต่อไหม” บอยเอ่ยชวน มองหน้าทุกคนเพื่อขอความเห็น “เอาสิ” นัทพูด แล้วจับแขนขวัญให้เดินนำไป หญิงสาวคนเดียวของกลุ่มหันมามองแรกด้วยแววตาเศร้าสร้อย ก่อนจะหันกลับไปเมื่อร่างสูงไม่คิดจะสนใจใยดี “ไปกันมึง” บอยตบบ่าแรกเบาๆ ไม่ให้คิดมาก แม้จะเป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัด แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากก๋วยจั๊บแล้ว กลุ่มของแรกก็ยังพากันไปหาอะไรกินอีกหลายต่อหลายร้าน ทั้งของคาวและของหวาน และทุกครั้งที่แวะกินร้านไหน แรกจะต้องสั่งใส่ถุงกลับบ้านด้วยหนึ่งชุดเสมอ “มึงซื้อกลับคอนโดอะไรเยอะแยะวะ อาทิตย์นี้ไม่กลับบ้านไม่ใช่เหรอ” แก๊ปถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าสองไม้สองมือของแรกเต็มไปด้วยถุงของกิน “ซื้อไปให้เพื่อน” แรกตอบ ไม่โกหก ไม่ปิดบัง “เพื่อน? กลุ่มนั้นอะนะ” นัทถาม จุดประเด็นให้ขวัญเกิดความสงสัยว่าแรกไปมีเพื่อนใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วสนิทกันขนาดไหนถึงทำให้คนอย่างแรกซื้อของไปฝากได้ “อืม เขาอยู่หอในคนเดียว ก็เลยจะซื้อไปฝาก” แรกตอบ ก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “กูอิ่มแล้ว ยังไงกูขอกลับก่อนแล้วกัน” ไม่รอให้เพื่อนซักไซ้ไล่เรียงให้มากความ แรกก็โบกมือลาแล้วเดินออกจากกลุ่มกลับมาที่รถ ยังไงก็ยังมีรถของบอยกับรถของขวัญ พวกมันน่าจะกลับกันได้อยู่แล้ว ภายในห้องพักขนาดเล็ก แบร์รี่กำลังนั่งกินข้าวเย็นที่ซื้อใส่กล่องมาจากร้านอาหารข้างมหาวิทยาลัย บนพื้นรอบตัวมีเศษผ้าและอุปกรณ์ตัดเย็บวางเกลื่อนพื้น วันนี้รูมเมททั้งสองคนกลับบ้าน แบร์รี่ก็เลยสามารถทำห้องรกได้ชั่วคราว เพราะเขาต้องใช้พื้นที่พอสมควรในการสร้างสรรค์ชุดที่จะใช้ใส่ประกวด ช่วงเวลาพักกินข้าว แบร์รี่หยิบโทรศัพท์มือถือมาไถลเล่นหาอะไรดูไปเรื่อย หนึ่งในความสนใจของตุ๊ดน้อยๆ อย่างแบร์รี่นอกจากเรื่องแฟชั่นแล้ว ก็เป็นเฟสบุ๊คของคนแรกที่เขากดติดตามเอาไว้ แม้ชายหนุ่มจะไม่ค่อยได้อัพเดตอะไรเท่าไหร่ แต่เพื่อนๆ ของแรกมักจะโพสต์ความเป็นไปของคนในกลุ่มแล้วก็แท็กมาหาชายหนุ่มหน้าดุเป็นประจำ วันนี้ก็เช่นกัน เพียงแต่ว่ารูปภาพที่แบร์รี่เห็น ไม่ได้ทำให้หัวใจดวงน้อยฟูฟ่องเหมือนอย่างเคย ในเมื่อรูปภาพที่เพิ่งโพสต์เมื่อห้านาทีที่แล้วเป็นรูปกลุ่มที่ถ่ายขณะกำลังไปเที่ยวเยาวราช และคนที่อยู่ตรงกึ่งกลางเฟรมของรูปก็เป็นแรกกับผู้หญิงหน้าตาสละสลวยคนหนึ่ง ภาพที่ดูใกล้ชิดสนิทสนมของพวกเขาทำให้แบร์รี่คิดไปไกล ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนรักของแรกหรือเปล่า ตอนนี้ในหัวน้อยๆ มีเดวิลตัวจิ๋วถือไม้สามง่ามกระพือปีกเล็กๆ บินลอยโวยวายอยู่ข้างกาย ‘เป็นแฟนกันแน่ๆ ดูสินังแบร์ มีป้อนของกินให้กันด้วย’ ใบหน้าเล็กหงอยลงถนัดตา หมดความอยากอาหารจนต้องวางช้อนลงกับจานข้าว ‘ปากเสีย! เขาอาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้ เธออย่าคิดมากไปเลย’ เทวดาตัวน้อยปรากฏตัวขึ้นในหัว เพื่อปลอบโยนไม่ให้แบร์รี่รู้สึกเศร้าใจ ‘ถ้าไม่ใช่แฟนกัน แล้วทำไมต้องยืนชิดกันขนาดนั้น มีทำหน้าอ้อนกันด้วยนะ’ ‘แต่มันไม่มีหลักฐานนี่ว่าเขาคบกัน ไม่มีข่าวออกมาเลยนะ’ นั่นสิ ‘เขาอาจจะปิดข่าวก็ได้นี่’ ‘แล้วทำไมต้องปิดล่ะ ถ้าเป็นแฟนกัน ที่ไม่เปิดก็เพราะมันอาจจะไม่ใช่ยังไงล่ะ’ “ฮื้อออออ!!!! พอ หยุด!” แบร์รี่สะบัดหัวไล่ความฟุ้งซ่านออกจากหัวอย่างแรง จนเกรงว่าศีรษะทุยได้รูปจะกระเด็นหลุดออกมากลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้น “เฮ้อ” แบร์รี่บังคับให้สมองของตัวเองหยุดคิด เสียงถอนหายใจดังก้องไปทั้งห้อง ตามมาด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยว ผิดหวัง และเศร้าสร้อยที่กำลังอัดแน่นเต็มพื้นที่ข้างในอก กดทับก้อนเนื้อหัวใจจนมันหดเล็กเหลือนิดเดียว “คนอย่างแรกก็ต้องคู่กับผู้หญิงสวยๆ อยู่แล้ว” คนอย่างเขาจะไปเทียบเคียงอะไรได้เล่า เฮ้อ~ แรกขับรถกลับมหาวิทยาลัยด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างดี เหลือบตามองถุงของกินที่วางอยู่บนเบาะแล้วก็ลอบยิ้ม ตอนนี้เพิ่งจะทุ่มกว่าๆ ยังพอมีเวลาให้เข้าไปหาคนตัวเล็กก่อนที่ประตูหอในจะปิด ทันทีที่ขับรถมาถึงหน้าหอใน แรกก็ถือถุงข้าวของลงจากรถ จากนั้นก็กดโทรหาลูกหมีแทนที่จะส่งข้อความไปหา “ฮะ ฮัลโหล” น้ำเสียงตอนรับสายฟังดูเหมือนแบร์รี่จะกำลังประหม่า ริมฝีปากที่เพิ่งเป็นเส้นตรงขยับยกโค้งอีกครั้ง แรกคิดว่าตัวเองสามารถจินตนาการได้เลยว่าแบร์รี่กำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ จะต้องกำลังเขินอยู่แน่ๆ “แบร์ นอนหรือยัง” แรกถาม แม้จะรู้ว่าเวลานี้ยังไม่ใช่เวลาเข้านอน แต่ก็ถามเผื่อไว้ก่อน “ยังเลย เรานั่งทำงานอยู่น่ะ เอ่อ แรกมีอะไรหรือเปล่า” “เราอยู่หน้าหอแบร์น่ะ ลงมาหาหน่อยสิ” ปลายสายเงียบไปอึดใจ ไม่แม้แต่จะได้ยินเสียงลมหายใจด้วยซ้ำ แต่ถัดจากนั้นก็มีเสียงโครมครามคล้ายของหล่นอะไรสักอย่าง รอยยิ้มของแรกกว้างขึ้นอีกนิดจนเกือบจะเห็นไรฟัน “ลงมานะ เรารออยู่” แรกพูดทิ้งท้ายและกดวางสาย สายตามองไปที่ประตูหอพัก รอไม่นานแบร์รี่ก็วิ่งกระหืดกระหอบเปิดประตูหอพักออกมาหาเขา ถึงเจ้าตัวจะแอบลูบหน้าลูบตาเก็บอาการ แต่เขาก็ยังเห็นว่าอีกฝ่ายตื่นตระหนกไม่น้อยที่เขามาหาในเวลานี้ “แรก” ร่างสูงเพียงกระตุกยิ้มรับ พลางมองสำรวจร่างกายของคนตรงหน้า แบร์รี่ชอบใส่กางเกงขาสั้นกับเสื้อโอเวอร์ไซส์ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าท่อนขาเรียวเสลานั้นเหมาะกับกางเกงขาสั้นจริงๆ แล้วพอใส่เสื้อตัวใหญ่ๆ แบบนี้ ก็ยิ่งดูตัวเล็กน่ารักน่าทะนุถนอม “มะ...” “กินข้าวหรือยัง” แรกถามขึ้นในจังหวะที่แบร์รี่กำลังจะพูด ปากที่กำลังจะอ้าถามก็เลยพะงาบๆ อย่างน่าเอ็นดู “กินแล้ว” แบร์รี่ตอบเสียงเบา แม้จะกินได้ไม่กี่คำเพราะกินต่อไม่ลง หลังจากที่ได้เห็นภาพบาดตาบาดใจก็ตาม “งั้นเหรอ” “แรกมีอะไรเหรอ” “เราไปเยาวราชมา เห็นแบร์ไม่ได้กลับบ้าน ก็เลยซื้อของกินมาฝาก” แรกชูถุงอาหารในมือให้แบร์รี่ นัยน์ตาหวานหลุบต่ำมองมือของแรก จากนั้นริมฝีปากสีสวยก็เม้มเข้าหากัน หัวใจที่เต้นแผ่วเบาก่อนหน้านี้เร่งจังหวะเร็วขึ้น หมายความว่าคนแรกนึกถึงเขาใช่ไหม ถึงได้ซื้อมาให้ “ขอบใจนะที่นึกถึงเรา” แบร์รี่หลุดยิ้มดีใจ “ต้องนึกถึงสิ ก็เราเป็นห่วง” ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก หัวใจเจ้ากรรม แค่ได้ยินคำว่าเป็นห่วงจากปากคนที่แอบชอบก็ลิงโลดเต้นระรัวจนแทบจะกระเดนกระดอนหลุดออกมาจากอก “แต่ถ้ากินข้าวแล้ว ก็เก็บก๋วยจั๊บกับบะหมี่เกี๊ยวลูกชิ้นปลาไว้กินพรุ่งนี้เช้าก่อนกลับบ้าน ที่หอในมีตู้เย็นหนิ เราเคยได้ยินเพื่อนพูด” “มี มีตู้เย็นกับไมโครเวฟของรูมเมทน่ะ” “ส่วนคืนนี้แบร์ก็กินผลไม้ไปก่อนแล้วกัน มีลูกพีชกับเชอรี่ เราไม่รู้ว่าแบร์จะชอบไหม แต่ว่าเราชอบนะ” ฉ่า! แบร์รี่เกือบจะเงยหน้ามองบนท้องฟ้า สงสัยว่าดวงอาทิตย์ออกมาทำงานผิดเวลาหรือเปล่า ทำไมอากาศมันร้อนแปลกๆ แบบนี้ โดยเฉพาะประโยคต่อมาที่ทำให้ใบหน้านวลร้อนฉ่ายิ่งกว่าเดิม “เพราะเราอยากให้แบร์ชอบแบบที่เราชอบ” น้องแบร์ว่าน้องแบร์ได้ตายไปแล้ว...แบบสงบศพสีชมพู
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม