‘ซ่าโดนรถชน เรากำลังไปเยี่ยมซ่าที่โรงพยาบาล’
แรกอ่านข้อความของแบร์รี่แล้วก็รู้สึกตึงเครียดไม่น้อย เมื่อวานซ่าเอ่ยชวนทุกคนไปกินข้าว แต่ไม่มีใครว่างไปด้วย และคงไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเรื่องเกิดราวจนถึงขั้นประสบอุบัติเหตุรถคว่ำได้
คำถามหลายคำถามผุดขึ้นในหัวของแรก อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุอะไร กินเหล้าเมาแล้วขับหรือเปล่า หรือถูกรถเบียดจนเสียหลัก หรือที่หนักกว่านั้นก็คือมีคนจงใจทำหรือไม่
‘อาการมันเป็นยังไงก็ไลน์มาบอกเราด้วยนะ เรามาต่างจังหวัดกับครอบครัว กลับอีกทีก็น่าจะวันพุธเลย’
แรกส่งข้อความกลับไป ก่อเกิดความหวังเล็กๆ ว่าคนตัวเล็กจะถามกลับมาไหมว่าเขาไปไหน
แรกตื่นเต้น ก็เลยเอาแต่จ้องหน้าจอนิ่ง รอให้ข้อความของตัวเองขึ้นอักษรตัวเล็กๆ ว่าอ่านแล้ว
“คุยกับใครอะพี่ คุยกับแฟนเหรอ” คนรองมองมาสักพัก นับตั้งแต่ขึ้นรถ จนกระทั่งพี่ชายหยิบโทรศัพท์ออกมากด ก็เหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ หากไม่ใช่ว่าเล่นโทรศัพท์ไปอมยิ้มไป
คนอย่างพี่แรกเนี่ยนะอมยิ้มเวลาเล่นโทรศัพท์
บอกตามตรงว่าคนรองไม่เคยเห็น ปกติเห็นทำแต่หน้านิ่งเก็กขรึม คีปคาแรคเตอร์อยู่ตลอดเวลา แต่ไอ้บรรยากาศรอบตัวที่ดูนุ่มนวลขึ้นนี่มันคืออะไร ไม่ใช่ว่าพี่ชายคนโตของเขามีความรักหรอกเหรอ
“ไม่เสือกสิ” แรกตอบคนรอง
“แรก ทำไมพูดกับน้องไม่เพราะเลยล่ะครับ” คุณหญิงปรารถนาหันมาเอ็ดลูกชายที่พูดคำหยาบ
“ขอโทษครับ” แรกพูดกับคุณแม่ ก่อนจะหันไปหาน้องชายคนรอง “ไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่นสิ”
คนรองหลุดหัวเราะพร้อมกับส่ายหน้า สุภาพกว่าเดิมจริง แต่ก็เจ็บเหมือนเดิมอยู่ดี ไม่ได้ต่างกันเลย
ตื๊อดึ๋ง
แรกเลิกสนใจน้องชาย แล้วกลับมามองที่หน้าจอ ดูข้อความที่แบร์รี่ตอบกลับมา แล้วก็แทบจะหลุดยิ้มให้น้องชายตัวดีเอ่ยล้ออีกรอบ ต้องเกร็งกล้ามเนื้อบนใบหน้าอย่างสุดความสามารถ จนใบหน้าเรียบเฉยกลายเป็นบึ้งตึง
คนรองกับคนเล็กมองหน้ากันด้วยความมึนงง เมื่อกี้พี่ชายยังอารมณ์ดีอยู่เลย ตอนนี้หน้าบึ้งเสียแล้ว ไม่ใช่ว่าทะเลาะกับแฟนหรอกนะ เป็นความรักประเภทเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเหรอ
อืม...น่าสนใจแฮะ
แบบนี้ต้องตามสืบ ว่าพี่สะใภ้คือใคร
‘ไปเที่ยวเหรอ’
นั่นคือสิ่งที่แบร์รี่ถามกลับมา เห็นเงียบไป แรกก็คิดว่าอีกคนจะไม่ถามเสียแล้ว
‘เปล่า มาเยี่ยมคุณย่า ท่านไม่สบายเข้าโรงพยาบาล’
‘เป็นอะไรมากไหม’
‘ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คนที่บ้านสวนโทรมาบอกว่าอาการดีขึ้นกว่าเมื่อคืนแล้ว หมอให้กลับบ้านได้เมื่อเช้า’
‘ค่อยเบาใจหน่อย ขอให้คุณย่าหายไวๆ นะแรก’
มีความเป็นห่วงเป็นใยแม้จะไม่ใช่คนรู้จักของตัวเอง น่ารักจริงๆ
หลังจากนั้นแรกก็ไม่ได้คุยอะไรกับแบร์รี่ต่อ เพราะอีกคนก็ต้องไปเยี่ยมซ่าที่โรงพยาบาล เขาก็เลยถือโอกาสนี้พักสายตาสักครู่ คาดว่าอีกไม่เกินสองชั่วโมงก็น่าจะถึงบ้านสวนที่จังหวัดราชบุรี
คุณย่ากับคุณปู่ของแรกย้ายออกจากเมืองกรุงมาใช้ชีวิตในบั้นปลายชีวิตแบบเรียบง่ายในที่ที่สงบสุข อากาศดี มลพิษไม่เยอะ เหมาะแก่การพักผ่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องสามัญ
พออายุเยอะขึ้นก็จะตามมาด้วยโรคภัยต่างๆ อย่างที่เขาเรียกกันว่าโรคคนแก่ ความดันสูง โรคหัวใจ เบาหวาน รวมไปถึงภูมิแพ้อากาศ คุณย่าของแรกรับมาไว้กับตัวเองหมด ยังดีที่คุณปู่ค่อนข้างแข็งแรง ท่านจึงพอจะดูแลภรรยาที่ป่วยกระเสาะกระแสได้ด้วยตัวเอง นานๆ ครั้งถึงจะมีอาการกำเริบ และถึงแม้ว่าอาการป่วยจะไม่ทรุดตัวหนัก แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนในครอบครัวสบายใจแม้แต่น้อย
ทันทีที่มาถึงบ้านสวน คนรับใช้ของตระกูลที่ติดสอยห้อยตามมาดูแลนายใหญ่ทั้งสองคนของบ้านก็ออกมาต้อนรับ ก็ในเมื่อคนสูงวัยทั้งสองคนอยากจะมาอยู่ที่นี่ ที่ที่ห่างไกลจากลูกหลาน เพื่อความสบายใจ กอบกุลผู้เป็นลูกชายจึงส่งขบวนคนมาดูแลนับสิบกว่าชีวิต เพื่อความสบายใจว่าคนแก่ทั้งสองคนจะไม่เหงาและยังมีคนคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา
นั่นเป็นสิ่งที่คนเป็นลูกทำให้ได้ แม้ความจริงจะไม่สบายใจก็ตาม แต่เขายังต้องอยู่บริหารธุรกิจที่กรุงเทพ ก็ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งที่ลูกชายคนโตเรียนจบแล้วมายืนแทนที่เขาได้ กอบกุลก็คงจะวางมือทุกอย่างแล้วพาภรรยาสุดที่รักย้ายมาอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านสวนแห่งนี้
หวังให้พ่อและแม่ของเขายังคงแข็งแรงจนถึงวันนั้น วันที่หลานชายก้าวขึ้นไปเป็นประธานบริษัทเอชแอนด์บีคอนสตรัคชันอย่างเต็มภาคภูมิ
“ยกโขยงกันมาทำไมเนี่ย ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” เสียงสั่นพร่าของ คุณหญิงกัลยาผู้เป็นภรรยาของคุณพิสุทธ์หรือคุณเหลา ผู้ก่อตั้งบริษัทเอชแอนด์บีคอนสตรัคชันดังขึ้นทันทีที่เห็นลูกหลานเดินลงมาจากรถ
คุณเหลาเป็นคนจีนที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งรกรากอยู่ที่ไทย ได้พบรักกับภรรยาสาว ก่อนจะช่วยกันก่อร่างสร้างตัว จนมีธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเป็นของตัวเอง ทำงานอย่างหนักด้วยความสื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอด จนในที่สุดธุรกิจของเขาก็ใหญ่โต เป็นรากฐานให้ลูกหลานได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย
“ยังจะบอกว่าไม่เป็นอะไรอีกเหรอครับคุณแม่ ถึงขนาดเข้าโรงพยาบาลเลยนะ” กอบกุลพูดหน้าเครียด เดินเข้าไปหาผู้เป็นแม่ก่อนจะสวมกอด ให้คุณกัลป์ยาได้กอดหอมลูกชาย ตามด้วยลูกสะใภ้คนงาม และหลานๆ ที่ทั้งหล่อเหลาทั้งน่ารักทั้งสามคน
“คนพวกนี้ก็กระต่ายตื่นตูมไปเองทั้งนั้น โดยเฉพาะตาแก่นั่น แค่หน้ามืดนิดเดียวเอง” คนป่วยยังคงเถียงว่าตัวเองไม่เป็นอะไรมาก
“ผมไม่ได้ตื่นตูมไปเองนะคุณหญิง คุณหน้ามืดจนเกือบจะล้มหัวฟาดพื้น ผมหัวใจจะวายเลยตอนนั้น” เสียงทุ้มแหบติดอ้อนเล็กน้อยเอ่ยแย้งผู้เป็นภรรยา จนแรกนึกชื่นชมคุณปู่อยู่ในใจ
นอกจากบิดาแล้ว ก็มีคุณปู่เนี่ยแหละที่เป็นไอดอลสำหรับคนแรก
เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นดุดันเยี่ยงพยัคฆา แต่เวลาอยู่ต่อหน้าภรรยาก็กลับกลายเป็นสุนัขแสนเชื่องดีๆ นี่เอง
ชายหนุ่มบอกได้คำเดียวว่าที่สุด
พ่อและปู่ของเขา กลัวเมียเป็นที่สุด
“แล้วหมอบอกว่าเป็นอะไรเหรอคะ” คุณหญิงปรารถนาถาม
“ความดันขึ้นสูงนั่นแหละ มันก็ขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว”
“คุณไม่บอกลูกๆ หลานๆ ไปล่ะว่าคุณติดดูซีรีย์เกาหลี ทำให้นอนไม่พอ”
“เอ๊ะ ตาแก่นี่ จะฟ้องลูกหลานให้ฉันถูกตำหนิหรืออย่างไร”
“ผมไม่ได้ฟ้อง ผมแค่บอกเล่าเฉยๆ คุณหญิงได้โปรดใจเย็นลงหน่อย เดี๋ยวอาการก็กำเริบหรอก”
ผิดจากที่แรกบอกไหมล่ะ ว่าคุณปู่น่ะกลัวเมียจริงๆ
แรกยิ้มให้กับภาพน่ารักๆ ของคุณปู่กับคุณย่า ก่อนที่จะเกิดภาพจิตนาการในหัวขึ้นมาว่าจะมีโอกาสได้เห็นแบร์รี่แว้ดๆ ใส่เขาแบบนี้หรือไม่
คงจะน่ารักดีไม่หยอก
ตอนเขินก็ว่าน่ารักแล้ว ตอนอารมณ์ไม่ดีก็อาจจะน่ารักมากกว่าเดิมก็เป็นได้
ถึงแม้ว่าคุณหญิงกัลยาจะไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่เมื่อตัดสินใจที่จะมาพักที่บ้านสวนเป็นเวลาสี่วัน กำหนดการก็ยังเป็นตามเดิม เรื่องการขาดเรียนของเด็กหนุ่มทั้งสามคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อาจจะใหญ่สำหรับครูอาจารย์ที่โรงเรียน แต่ไม่ใหญ่สำหรับคนเป็นพ่อแม่ผู้ปกครอง เพราะพวกเขารู้ว่าลูกๆ ของตัวเองมีความสามารถ เรื่องเรียนเรื่องเล่นไม่เคยทำให้ต้องกังวล
บางทีก็ต้องปล่อยให้เด็กผ่อนคลายบ้าง ให้เขาได้อยู่กับคุณปู่คุณย่ามากขึ้น ก่อนที่จะสายเกินไปกว่าที่จะเรียกร้องอะไรกลับคืนได้
“หลานย่าเอ้ย อยากทานอะไรลูก เดี๋ยวย่าทำให้”
“ผมอยากทานแกงเลียงกุ้งสดฝีมือคุณย่าครับ” คนเล็กรีบบอกก่อน
“ผมอยากกินฉู่ฉี่ปลาทูครับ” ต่อด้วยคนรอง
“คุณแม่ยังไม่สบายอยู่นะคะ ให้เด็กๆ ในบ้านทำดีกว่า”
“ได้ยังไง ลูกหลานมาหาทั้งที ไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสได้ทำอาหารให้เจ้าตัวแสบทั้งสามคนทานได้ทุกวัน แค่ทำครัว ไม่ใช่งานใหญ่อะไรเลยแม่ปรารถนา อย่ากังวลไป”
“งั้นเดี๋ยวผมช่วยนะครับคุณย่า” แรกเสนอตัวอาสา ซึ่งคุณย่าก็ยิ้มแล้วพยักหน้ารับ
เวลาบ่ายสาม คุณหญิงกัลยาหัวหน้าแก๊งเดินนำลูกสะใภ้และหลานอีกสามคนเข้าสวนไปเก็บพืชผักสวนครัวที่ตัวเองและสามีช่วยกันปลูกเอาไว้ งานอดิเรกที่ช่วยทำให้ไม่เบื่อไม่เหงา แถมยังเป็นการออกกำลังกายเบาๆ ที่ไม่หนักจนเกินไป อะไรที่ต้องใช้แรงเยอะก็เรียกให้คนงานผู้ชายในสวนทำแทน อยู่กันแบบเรียบง่ายเหมือนครอบครัว ไม่ต้องวุ่นวาย แต่มีความสุข นั่นก็เพราะว่ากว่าค่อนชีวิตพวกท่านเหนื่อยกันมามากจนเรียกได้ว่าสายตัวแทบขาด ไม่ผิดจากคำพูดที่ว่า เหนื่อยวันนี้ สบายวันหน้า
ความจริงแล้ว ทุกคนควรได้เหนื่อยวันนี้และสบายวันนี้ แต่ในเมื่อไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง ก็ต้องดิ้นรนสร้างสมบัติพัสถานเอาไว้เพื่อที่จะได้สบายในวันหน้า และได้เผื่อแผ่ความสบายนั้นมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลานด้วย
ช่วงเวลาของครอบครัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม โดยเฉพาะช่วงเวลาทานอาหารเย็น ที่วันนี้ทุกคนดูจะเจริญอาหารเป็นพิเศษ
“ครอบครัวเราไม่มีหลานสาวสักคน ไม่อย่างนั้นย่าจะถ่ายทอดวิชาครัวให้” น้ำเสียงเสียดายของคุณย่าดังขึ้นกลางโต๊ะอาหาร
“คุณย่าก็สอนพี่แรกแทนสิครับ พี่แรกชอบเข้าครัว” คนเล็กพูดโบ้ยไปให้พี่ชายคนโต
“จริงหรือตาแรก” คุณย่าถาม
“ก็พอทำได้ครับ แบบง่ายๆ” แรกไม่ได้ชอบทำครัวขนาดนั้น แต่การทำอาหารนับเป็นทักษะการเอาตัวรอด และมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร แค่ดูวิธีทำและจดจำส่วนผสม แค่นี้ก็ทำได้แล้ว
“ไม่งั้นคุณย่าก็น่าจะรอให้พี่แรกเปิดตัวแฟนครับ แล้วให้แฟนพี่แรกมาเรียนงานครัวกับคุณย่าแทน” คนรองแกล้งหย่อนระเบิดทิ้งไว้ให้ทุกคนสนใจประเด็นที่เขาแอบจับตามองมาตั้งแต่ขึ้นรถ
“อืม แรกมีแฟนแล้วเหรอลูก”
และก็เป็นอย่างที่คนรองคิด ทุกคนให้ความสนใจกับแฟนของแรกเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าต้องหยุดทานข้าวแล้วหันไปถามลูกชายหลานชายคนโตอย่างสนอกสนใจ จนแรกต้องหันไปถลึงตาใส่น้องชายคนรองที่หาเรื่องมาให้ตน
“ยังไม่มีครับ” แรกตอบตามความจริง
“อ้าว ยังไงเนี่ยตารอง” คุณหญิงปรารถนาหันไปถามลูกชายคนรองด้วยความสงสัย
“ก็ผมเห็นพี่แรกแชทคุยกับใครไม่รู้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คุณพ่อคุณแม่ก็รู้ ว่าถ้าไม่ใช่คนที่รู้สึกดีด้วย พี่แรกไม่มีทางยิ้มหวานได้ขนาดนั้นหรอก”
ตาของแรกกระตุกพร้อมกับมุมปาก อยากจะยื่นมือไปเบิ๊ดกะโหลกน้องชายสักที ติดตรงที่อยู่ต่อหน้าคุณปู่คุณย่าจึงต้องสงวนท่าที แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เขาไปยิ้มหวานแบบที่คนรองพูดตั้งแต่เมื่อไหร่
เขาอาจจะยิ้ม แต่มันไม่น่าจะใช่ยิ้มหวานแน่ๆ
ถ้าเป็นตอนที่ลูกหมีตัวนั้นยิ้มก็ว่าไปอย่าง แบบนั้นต่างหากที่เรียกว่ายิ้มหวาน
“ผมแค่คุยกับเพื่อนครับ” เพื่อนที่พิเศษกว่าคนอื่นนิดหน่อย
“งั้นหรือ” คุณกอบกุลหรี่ตามองลูกชายคนโต เพราะถ้าเป็นจริงอย่างที่คนรองพูด ก็นับว่าไม่ปกติจริงๆ
“ครับ”
“เอาเถอะ แต่ถ้ามีแฟน ก็พามาหาปู่กับย่าล่ะ จะได้ช่วยดูว่าดีหรือไม่”
“แต่ย่าเชื่อว่าถ้าเป็นคนที่คนแรกเลือก ยังไงก็ต้องดี”
แรกยิ้มรับบางๆ เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าคนรักของเขาในอนาคตจะเป็นใคร จะใช่คนที่เขารู้สึกสนใจอยู่ในขณะนี้หรือเปล่า เรื่องของอนาคตก็ให้เป็นเรื่องของอนาคต ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องรีบเร่งคิดในตอนนี้
“ซ่า เป็นไงบ้าง” แบร์รี่ต่อสายโทรหาซ่า นับจากวันที่ซ่าประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาหกวันแล้ว
“หายดีแล้ว อยากออกจากโรงพยาบาลแล้วเนี่ย เบื่อจะตายชัก”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้ออกแล้วไม่ใช่เหรอ” แบร์รี่ถาม เขากับเพื่อนอีกสองคนแวะไปเยี่ยมซ่าที่โรงพยาบาลบ้าง วันไหนไม่ได้ไปก็จะโทรถามไถ่ตลอด แต่ทุกครั้งซ่าก็จะเอาแต่บ่นว่าอยากกลับบ้าน ไม่รู้ว่าจะงอแงอะไรขนาดนั้น
“วันนี้กับพรุ่งนี้ก็เหมือนกัน กูไม่เข้าใจทำไมออกวันนี้ไม่ได้ พี่ปราบ หิวน้ำ หยิบน้ำในตู้เย็นให้ผมหน่อย”
“เอาน้ำอะไร น้ำส้มไหม”
“อืม น้ำส้มก็ได้”
แบร์รี่กรอกตามองบนด้วยความอิจฉาคนที่มีสามีดูแลดี เมื่อไหร่เขาจะมีแบบนี้บ้าง เผลอๆ อาจจะเป็นชาติหน้าตอนบ่ายๆ แหละมั้ง
“วันนี้กูไม่ได้เข้าไปเยี่ยมนะซ่า มีรับน้องแล้วก็เดี๋ยวมีประชุมเรื่องการประกวดต่อ”
“เออ ไม่ต้องมาหรอก กูไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ทำธุระของมึงเถอะ”
“โอเค กูจดแลคเชอร์กับจดพวกการบ้านไว้ให้แล้ว กลับมาเดี๋ยวกูช่วยสอนให้”
“อืม ขอบใจมึงมาก”
“งั้นแค่นี้แล้วกัน”
แบร์รี่วางสายก่อนจะเดินไปหาโชแปงที่นั่งรอเวลาเข้ารับน้อง พอเสร็จก็แยกย้ายกันกลับบ้านไปพักผ่อน แต่กิจกรรมของแบร์รี่ในวันนี้ยังไม่จบสิ้น เพราะเขาจะต้องเอาแบบชุดไปส่งให้กองประกวด เพื่อให้กองประกวดพิจารณาว่าแบบชุดผ่านหรือไม่ ถ้าผ่านก็จะได้ไม่ต้องแก้ แล้วสามารถเริ่มการตัดเย็บได้เลย ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ตัดเย็บ จะต้องถ่ายวิดีโอตอนตัดเย็บไว้ส่งให้คณะกรรมการตรวจเช็กด้วย ซึ่งจะต้องทำเป็นวิดีโอแบบไทม์แลปส์ เร่งความเร็วให้ระยะเวลาของคลิปวิดีโอสั้นลง แต่เห็นทุกขั้นตอนว่าชุดที่ได้เป็นชุดที่ทำมือจริงๆ
แบร์รี่ยังไม่รู้เลยว่าจะหาใครมาช่วยทำตรงนี้ อาจจะต้องลองถามโอหรือไม่ก็โชแปง สองคนนี้น่าจะมีใครที่ช่วยแบร์รี่ตัดต่อวิดีโอได้ แต่ไม่ใช่ซ่าแน่นอน เพราะเจ้าคนหล่อนั่น นอกจากนั่งทำหน้าขวางโลกแล้วอ้อนผัวไปวันๆ แล้ว ความสามารถด้านอื่นก็เท่ากับศูนย์
“แบร์รี่”
“สวัสดีค่ะเจ๊เฌอ” แบร์รี่ยกมือไหว้รุ่นพี่ในคณะ คนที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับสองเมื่อปีที่แล้ว
“มาส่งแบบชุดเหรอ”
“ค่ะ”
“พวกเจ๊กำลังจะไปร้านนั่งชิลพร้อมส่องผู้ชายพอดีเลย ไปด้วยกันสิ เด็กปีหนึ่งคณะอื่นๆ ก็ไปด้วยนะ จะได้ไปทำความรู้จักกันไว้” เฌอแตมป์เอ่ยชวนรุ่นน้อง
“เอ่อ แต่หนูไม่รู้จักใครเลยนะเจ๊” ใจจริงแบร์รี่อยากกลับไปพักผ่อน แต่ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธรุ่นพี่ กลัวจะถูกหาว่าทำตัวหยิ่ง ก็เลยได้แต่ตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงนัก
“ก็ไม่มีใครรู้จักกันมาตั้งแต่ในท้องพ่อท้องแม่หรอกย๊ะ ไปเถอะ ไปสนุกกัน กลุ่มกะเทยในมหาลัยไม่ใช่กลุ่มใหญ่มาก เจอหน้ากันครั้งสองครั้ง ก็รู้จักกันเกือบหมดแล้ว”
“ร้านเหล้าเหรอคะเจ๊” แบร์รี่ถาม ดูท่าว่าคงไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธแล้ว ถ้าเป็นวันธรรมดาแบร์รี่ก็คงตอบตกลงได้ไปง่ายๆ แต่วันนี้ค่อนข้างเพลียจริงๆ เลยไม่ค่อยมีอารมณ์อยากเที่ยวสักเท่าไหร่
“ร้านอาหารเนี่ยแหละ แต่มีเหล้าเบียร์ มีดนตรีสด สนใจไหม”
“งั้นก็ได้ค่ะ”
ถือเสียว่าไปกินข้าวเย็น เพราะตอนนี้แบร์รี่ก็หิวมากแล้วเหมือนกัน
“โอเค งั้นก็ไปกันเลย”
แขนเรียวของแบร์รี่ถูกมือขาวนุ่มคว้าให้เดินตามไปที่รถ สมทบกับเพื่อนคนอื่นๆ ของรุ่นพี่ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังร้านอาหารที่ตกแต่งสไตล์เรโทร แสงไฟสีส้มสลัวภายในร้านช่วยทำให้บรรยากาศรอบด้านดูอบอุ่นเป็นกันเอง
ที่ดีมากกว่าบรรยากาศ ก็คือผู้ชายที่นั่งอยู่ในร้าน งานดีหลายคนเลยแม่
“เป็นไงล่ะ ชอบใช่ไหม ร้านนี้ผู้ชายงานดีมาก” เฌอแตมป์เห็นรุ่นน้องตาวาวเป็นประกายก็ก้มหน้าลงไปกระซิบพูด
“ดีมากอะเจ๊ ไม่ต้องกินข้าวก็อิ่มแล้วเนี่ย อาหารตาอย่างดี” แบร์รี่กระซิบกลับพลางหัวเราะคิกคัก
จากที่ไม่ได้อยากมา ตอนนี้แบร์รี่เริ่มสนุกไปกับการนั่งกินข้าว ฟังเพลง และพูดคุยกับเพื่อนๆ และรุ่นพี่ที่ชื่นชอบอะไรคล้ายๆ กัน อย่างน้อยก็เหมือนคุยภาษาเดียวกัน
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีบางคนที่อาจจะไม่ชอบเขา ถ้าไม่ได้คิดไปเอง แบร์รี่ก็รู้สึกว่ามีบางคนมองจ้องเขาเหมือนจะไม่ชอบขี้หน้า ถ้าไม่พูดขัดบ้างก็ทำเป็นเมินคำพูดของแบร์รี่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะแบร์รี่เองก็มีคนที่ไม่ชอบขี้หน้าแม้ว่าจะไม่เคยรู้จักกันเลยก็ตาม
แค่ไม่มายุ่งวุ่นวายต่อกันก็พอ
เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปไวเสมอ เผลอแป๊บเดียวก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน แบร์รี่สนุกกับการนั่งกินนั่งคุยจนลืมดูเวลา นึกขึ้นได้อีกทีก็เลยเวลาเข้าหอพักมาแล้ว ต้องรีบเอ่ยขอตัวกลับก่อนอย่างร้อนอกร้อนใจ ไม่ทันได้รอเอ่ยลาเฌอแตมป์ที่ไปเข้าห้องน้ำด้วยซ้ำ
“บ้าจริง จะเข้าหอในได้ไหมเนี่ย”
แบร์รี่โบกวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้เข้าไปส่งที่หน้าหอใน หวังให้ตัวเองยังลงเหลือความโชคดีอยู่บ้าง เผื่อว่าคนดูแลหอพักจะยังไม่ปิดประตู
แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะโชคไม่ได้เข้าข้างแบร์รี่ขนาดนั้น
“เฮ้อ แล้วทีนี้จะไปนอนที่ไหนเล่าเนี่ย”
แบร์รี่บ่นกับตัวเองเบาๆ เสื้อผ้าเขายังคงเป็นชุดนักศึกษา มีแค่กระเป๋าถือที่ใส่อุปกรณ์การเรียนไว้เท่านั้น จะให้นั่งตบยุงจนถึงตีห้าก็ไม่ใช่เรื่อง
เอาไงดีล่ะทีนี้ ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องโทรไปรบกวนเพื่อนให้มารับ แต่บอกตามตรงว่าแบร์รี่ไม่อยากโทรไปกวนเพื่อนเลยจริงๆ
“แบร์”
ร่างเล็กหันขวับไปตามเสียงเรียกที่คุ้นหู ในเวลาแบบนี้ บอกตรงๆ ว่าเสียงที่ได้ยิน เหมือนเสียงของเทวดาที่สวรรค์ส่งมาโปรดก็ไม่ปาน
“ดึกแล้วมายืนทำอะไรหน้าหอพัก” ร่างสูงเดินเข้ามาถาม เขาเพ่งอยู่นานว่าเป็นใคร เพราะรู้สึกว่าคุ้นเหลือเกิน เลยลองเดินเข้ามาใกล้ถึงได้รู้ว่าเป็นแบร์รี่
“หอปิดประตูแล้ว แล้วแรกมาทำอะไรหอในเวลานี้” แบร์รี่ถามพลางมองดูบริเวณรอบด้าน ถ้าจำไม่ผิด แรกพักอยู่ที่คอนโด
“มาเอาของที่เพื่อนน่ะ” แรกไม่ได้โกหก เขาเข้ามาเอาของที่เพื่อนจริงๆ แรกขาดเรียนไปสามวัน มีชีทเรียนที่เพื่อนซื้อไว้ให้ และต้องใช้ในการทำการบ้าน เขาก็เลยต้องขับรถเข้ามาเอาก่อนที่ประตูหอในจะปิด จากนั้นก็ยืนสูบบุหรี่รับลมเย็นๆ ไม่คิดว่าจะได้เจอกับคนตัวเล็กในเวลาดึกดื่นเช่นนี้
“อ่อ อืม”
“หอปิดแล้ว แล้วจะไปนอนไหน” แรถถาม ดูก็รู้ว่าแบร์รี่เข้าหอพักไม่ได้ ถึงได้ยืนอยู่ด้านนอกแบบนี้
“ก็คงไปนอนบ้านไอ้โอมั้ง เดี๋ยวโทรหามันก่อน” แบร์รี่ทำท่าจะล้วงหาโทรศัพท์ แต่ถูกเสียงเข้มที่นุ่มหูห้ามเอาไว้
“ไม่ต้องหรอก”
“...”
“ไปนอนห้องเราก็ได้ ใกล้ๆ นี่เอง”
อะไรนะ?
จะให้ไปนอนกับแรกงั้นเหรอ
“จะ จะดีเหรอ”
“ดีสิแบร์ ไปเถอะ ห้องเรากว้าง นอนสบายแน่นอน”
ให้ตายเถอะ โอกาสแบบนี้มันคืออะไร มันคือเรื่องดีใช่ไหม ที่จะได้ไปนอนในห้องของคนที่ตัวเองชอบ สรุปแล้วแบบนี้เรียกว่าโชคดีหรือเปล่านะ ควรตบปากรับคำไปดีไหม หรือยังไงดี