บทที่6.มีอะไรรึอาหมาน

1359 คำ
“บ้านข้าจน  มีให้เจ้าได้แค่โจ๊กเปล่าชามนี้ แต่กินเสียหน่อยให้ร่างกายได้รับอาหารบ้าง” นางใช้ช้อนตักโจ๊กแล้วเป่าไล่ไอร้อนจนมั่นใจว่าไม่ร้อนเกินไปแล้วจึงจ่อที่ปากของเขา  แม้ต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติ แต่นางก็ใจเย็นพอที่จะป้อนโจ๊กทีละคำให้เขาจนหมด มันช่างเป็นโจ๊กที่ไร้รสชาติเสียเหลือเกิน เรียกว่าอาหารขั้นเลวที่ สุดที่เขาเคยกินมา แต่ยามนี้เนื้อข้าวลงสู่กระเพาะทำให้รู้สึกอุ่นสบายท้องยิ่งนัก             “นั่นน้องชายของข้า ติงหยี่ ติงเกา ติงปิง”  เหมยซิงชวนคุย และรู้สึกดีที่เขากินได้ค่อนข้างมาก “พวกเราเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อติงเชารับมาเลี้ยงเมื่อสิ้นสุดสงคราม บ้านนี้ก็ไม่ใช่ของพวกเราหรอก  เจ้าของบ้านอพยพไปตั้งแต่มีสงครามครั้งนั้นแล้ว  อ้อ! แต่พวกเราไม่ใช่ขโมยนะ ถ้าเจ้าของมาทวง เราค่อยย้ายออกไป”             ซุนเว่ยหมินจ้องมองเด็กสาวที่พูดปนหัวเราะเสียงใส ราวกับชะตากรรมของตัวเองเป็นเรื่องตลกขบขัน  นางป้อนโจ๊กหมดก็ตามด้วยน้ำและเช็ดมุมปากให้เรียบร้อยแล้วประคองเขาลงนอน             “เจ้าเพิ่งฟื้นก็อย่าเพิ่งคิดมากไป พักอีกสักหน่อย ถ้าอยากให้ติดต่อคนที่บ้านอย่างไรค่อยว่ากัน”  นางส่งยิ้มให้  “ข้าจะให้เหม่ยลี่มานั่งอยู่ใกล้ ๆ หากต้องการอะไรส่งสายตาบอกนาง นางจะวิ่งไปเรียกข้าเอง ข้าอยู่หน้าบ้าน ต้องหอบฟืนมาเก็บในครัวเสียก่อน”             ซุนเว่ยหมินมองตามร่างของเด็กสาวที่เดินหายออกไปแล้วถอนหายใจเบา ๆ ครู่ต่อมาเด็กหญิงตัวน้อยก็มานั่งจ้องหน้าเขาด้วยดวงอยากรู้อยากเห็น เขาได้แต่ร้องโอดครวญในอก มันเกิดอะไรกับชีวิตจวิ้นอ๋องอย่างเขากันแน่.   .................             บุรุษวัยสามสิบปีนามว่าเสียเอี๋ยนยืนอยู่ริมหน้าผา  สายตากวาดมองไปยังเบื้องล่างคล้ายรอคอยบางสิ่ง  สายลมสงบไม้ไหวขยับไหวเพียงเล็กน้อย  ผีเสือปีกขาวพิสุทธิ์สะท้อนแสงอาทิตย์งามระยิบระยิบโบยบินอย่างอ้อยอิ่งมาเบื้องหน้า จนกระทั้งชายหนุ่มยื่นปลายนิ้วออกไป มันจึงเกาะที่นิ้วเรียวของเขา             “กลับมาแล้วรึ”  เขาเอ่ยกับผีเสื้อตัวน้อย ยกปลายนิ้วขึ้นเสมอระดับสายตา  นี่มิใช่ผีเสื้อธรรมดาแต่เป็นภูตผีเสื้อที่ถูกร่ายมนตร์ให้ติดตามหาข่าวสารของคนผู้หนึ่งที่เขาออกตามหานานนับเดือนแล้ว             “ข้ารู้ว่าเจ้าเหนื่อย แต่ข้าจำเป็นต้องรีบค้นหาคนผู้นั้น เจ้าช่วยนำทางไปทีเถิด”              ผีเสื้อกระพือปีกบินขึ้นอีกครา  มันบินวนเวียนชายที่แต่งกายราวนักพรตแล้วบินนำไปเบื้องหน้า แม้ผีเสื้อจะโบยบินห่างออกไปแล้ว แต่มีลำแสงสีขาวที่มีเพียงเสียเอี๋ยนเท่านั้นที่มองเห็นเป็นเครื่องหมายนำทาง  เขาพยักหน้าอย่างพอใจ กระโจนขึ้นหลังอาชาสีนิลแล้วบังคับม้าให้ติดตามผีเสื้อโบยบิน             หนึ่งเดือนเต็มกับการตามหาซุนเว่ยหมิน   สิ่งที่เขาตามหามิใช่ร่างกายแต่เป็นดวงจิตของซุนเว่ยหมิน   เขาส่งร่างของซุนเว่ยหมินกลับเมืองหลวงไปนานแล้ว ตั้งแต่เกิดเหตุลอบทำร้าย และก้อนหินถล่ม ทำให้ซุนเว่ยหมินบาดเจ็บสาหัส  จนปานนี้ยังไม่ฟื้น แต่สาเหตุที่ไม่ฟื้นมิใช่เพราะแค่เขาได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่เพราะดวงจิตของเขาหลุดออกจากร่างไป  นี่ก็ครบหนึ่งเดือนแล้วที่ดวงจิตนั้นหลุดออกจากร่าง มีเวลาเพียงแค่สี่สิบเก้าวันเท่านั้น เขาต้องเร่งรีบหาดวงจิตของซุนเว่ยหมินให้พบ  เขาได้ใช้ภูตผีเสื้อออกตามหา มาบัดนี้เพิ่งได้ทราบข่าว  หัวใจของเขายิ่งตื่นเต้น และเป็นทุกข์พร้อมกัน             ซุนเว่ยหมินเป็นคนที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง เขาเป็นถึงอนุชาของเต๋อเฟย  สนมคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ แม้ท่าทางเหมือนคุณชายไม่เอาไหน แท้จริงแล้วเขาเสมือนมือขวาขององค์ฮ่องเต้  ได้รับแต่งตั้งเป็นจวิ้นอ๋อง มอบทหารหนึ่งแสนนายเพื่อปกป้องราชวงศ์                          ซุนเว่ยหมินไม่คิดว่าชีวิตจะมีวันที่ตัวเองตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนี้             เอ่ยปากส่งเสียงสื่อสารกับใครก็ได้เพียงแค่เสียงอือ ๆ อา ๆ ครางเครือในลำคอ  ขยับร่างกายได้แค่ปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า และใบหน้า ส่วนอื่นของร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้ตามใจเลยสักนิด  เรื่องที่น่าสมเพชที่สุดคือการขับถ่ายที่เขาไม่อาจทำได้ด้วยตนเอง อาศัยเพียงเหมยซิงจัดการเช็ดทำความสะอาดให้อย่างไม่รังเกียจ   เขาอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ชีวิตคนเราต้องพบเจอมากเพียงใดถึงทำเรื่องพวกนี้ได้อย่างหน้าตาเฉยเช่นนี้             ร่างกายที่ไม่ใช่ของเขาเริ่มดีขึ้น ร่องรอยบอบช้ำจางไปมาก  แต่ก็ยังคงสภาพความเป็น ‘ผัก’ เช่นเดิม  เมื่อเขาไม่มีไข้แล้ว เหมยซิงก็กังวลว่าเขาจะนอนให้ห้องเหม็นอับอย่างเบื่อหน่าย จึงแบกร่างผักนี้ขึ้นหลังมานั่งอยู่ที่ลานกว้างของบ้าน  ได้รับแสงแดดอ่อน ๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก             หากไม่นับร่างกายที่มีสภาพเป็นผักเช่นนี้  ชีวิตความเป็นอยู่อันแสนยากจนทว่าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะนี้ก็นับว่ามีความสุขมากนัก  ติงเชาที่เด็ก ๆ เรียกพ่อบุญธรรมเป็นพรานป่าอาศัยหาของป่าเลี้ยงชีพ เขาเองไม่รู้ความเป็นมาเป็นไปของติงเชา แต่เหมยซิงและเด็ก ๆ ที่นี่เป็นผู้ที่หลงเหลือจากสงครามเมื่อหกปีก่อน  ผลัดพรากจากพ่อแม่ญาติพี่น้องหรืออาจตายจากกันไปแล้ว  พวกเขาจึงอยู่ที่นี่กันอย่างเรียบง่าย ไม่นานมานี่ติงเชาเกิดเจ็บป่วยทำให้เหมยซิงไปทำงานในบ้านเศรษฐีเป็นหญิงรับใช้ และถูกทำร้ายปางตาย ทำให้นางกลับมาอยู่ที่เดิมนี่             เขาเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมนี้เป็นมาอย่างไร  แต่เหมยซิงเองคงเข้าใจไปว่าเจ้าของร่างนี้เป็นเช่นเดียวกับนาง เพราะนาง ‘เก็บ’ เขามาจากป่าช้า             นอกจากปลายนิ้วมือ และเท้าแล้ว ก็มีเพียงดวงตาที่กลอกไปมาได้ตามใจซึ่งยามนี้เขาเฝ้ามอง ร่างของเด็กสาวผอมบางที่ควงไม้พลองอย่างคล่องแคล่วท่ามกลางเสียงปรบมือของน้อง ๆ             “พี่สาวเก่งแบบนี้ไปขายศิลปะในเมืองคงได้หลายเงินเป็นแน่”  ติงเกาพูดขึ้นแล้วทำท่าหมุนตัวเลียนแบบพี่สาว             “ขายศิลปะคืออะไร?”   เหมยซิงถามพลางเช็ดเหงื่อบนใบหน้าด้วยท่อนแขน  อยู่ที่นี่มาสองเดือนเริ่มชินกับร่างกายนี้แล้ว พอได้ขยับตัวบ่อยการเคลื่อนไหวบ่อยๆ ก็เริ่มคุ้นชิน นางฝึกยืดหยุ่นตัวเหมือนตอนที่ยังเป็น ‘พันดาว’ ในทุกวันนางมีตารางฝึกออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องแคล่วพร้อมรับทุกบทบาทที่ได้รับมา             “ก็ไปแสดงศิลปะการต่อสู้ แลกเงินหรือข้าวสารของกินได้”  ติงเกาพูดด้วยรอยยิ้มมีความหวัง “พี่สาวสอนข้าบ้างซิ”  เหมยซิงพยักหน้าเข้าใจ คงจะเหมือนกับ ‘เปิดหมวก’ ละซิ  ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี  นางอยากหาเงินซื้อข้าวสารมาตุนไว้ให้น้อง ๆ  เมล็ดพันธุ์พืชที่ได้มาก็ลงแรงเพาะปลูกไปแล้ว  ช่วงนี้อาการพ่อบุญธรรมดีขึ้นก็ลุกขึ้นมาสอนนางใช้ธนูล่าสัตว์  นางจึงได้รื้อเอาเครื่องมือล่าสัตว์ของบิดาออกมาซ่อมแซม   นางรู้ว่าพ่อบุญธรรมดูประหลาดใจที่นางสนใจเรื่องพวกนี้ แต่นางใช้รอยยิ้มกลบเกลื่อนทำให้ติงเชาไม่เอ่ยถามอะไร  สอนให้นางรู้เครื่องไม้เครื่องมือเหล่านี้อย่างเต็มใจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม