จะเรียกว่าอะไรดี พันดาวพยายามหาคำตอบให้ตัวเอง เป็นโลกคู่ขนานแบบในภาพยนตร์วิทยาศาสตร์หรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้น จะมีโอกาสกลับไปโลกเดิมไหม? ตอนจากมาจำได้แค่ว่ามีระเบิดกับไฟคลอก หากต้องอยู่ในสถานการณ์เดียวกันถึงจะกลับไปได้ นางจะไปหาระเบิดและไฟคลอกที่ไหน แล้วมั่นใจได้อย่างไรว่าจะกลับไปสู่โลกเดิมได้ หากกลับไปแล้วร่างตัวเองเละเทะจะเป็นอย่างไร หรือบางทีเหมยซิงในโลกนี้ไปอยู่ในร่างพันดาวในโลกโน้น แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เหมยซิงผู้อ่อนแอบอบบางอายุเพียงสิบหกใช้ชีวิตในโลกร่างของพันดาวที่อายุยี่สิบหกได้ยังไง
ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว พันดาวได้แต่ภาวนาว่าหากตัวเองกลับไปไม่ได้จริง ๆ ก็ขอให้ตายอย่างสงบเถอะนะ อย่างน้อยลุงทองดีก็ได้เงินประกันชีวิตที่ทำไว้ และประกันอุบัติเหตุจากทีมงานคงมากพอไม่ทำให้ลุงทองดีต้องลำบาก แต่ในระหว่างนี้พันดาวทำตัวให้คุ้นเคยกับเหมยซิง จึงฝึกพูดจาตามประสาคนที่นี่ ไม่ว่าอะไรก็ตามทำให้พันดาวมาอยู่ในร่างของเหมยซิง นางจะพยายามใช้ชีวิตในโลกนี้ต่อไป
หญิงสาวตบแก้มตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติ จากนี้พันดาวคือเหมยซิง และฟื้นจากป่าช้ามาสี่สิบห้าวันแล้ว นางมีน้องสาวที่แสนน่ารัก และน้องชายยอดกตัญญู รวมทั้งพ่อบุญธรรมที่มีใจเมตตา กระท่อมหลังน้อยอยู่เชิงเขา นางพอหาอาหารจากป่าเขานั้นได้บ้าง แต่อย่างไรนางต้องการข้าวสาร และแป้งเพื่อทำอาหาร ต้องการเสื้อผ้า และยารักษาโรคให้พ่อบุญธรรม แน่นอนว่าต้องใช้เงิน ถึงแม้ร่างนี้จะอายุสิบหกแต่ความคิดของนางก็ยังเป็นพันดาวที่อายุยี่สิบหกอยู่ดี
“ท่านพ่อ” นางเข้าไปทำตาละห้อยใส่พ่อบุญธรรมที่ยืนกรานไม่ให้นางไปทำงานรับใช้ใครทั้งนั้น
“ไม่ได้! พ่อไม่ให้เจ้าไปลำบากอีกแล้ว” ติงเชายืนกราน ครั้งก่อนลูกสาวหนีไปทำงานเป็นหญิงรับใช้ ถูกใส่ความแปดเปื้อนทำร้ายปางตายซ้ำถูกโยนทิ้งในป่าช้า
“แต่ท่านพ่อ ข้าอยากได้เมล็ดพันธุ์มาเพาะปลูก” นางทำหน้างอง้ำ มีที่ดินพอจะเพาะปลูกได้ กระท่อมอยู่ใกล้แหล่งน้ำ
นางจดจำเรื่องการทำฝายทดน้ำได้จากที่เคยไปออกค่ายอาสา น่าจะปรับมาใช้กับที่ดินที่นี่ได้ ผันน้ำเข้าที่นาตัวเอง ยังไงก็ต้องลองปลูกพืชระยะสั้นดูก่อน หากไม่รีบทำอะไรเสียตั้งแต่ตอนนี้ เข้าฤดูหนาว หิมะตกเพาะปลูกอะไรก็ลำบาก รวมทั้งหาของป่ากินยิ่งยาก นางรอดตายจากระเบิด และไฟคลอกมาแล้ว อย่าต้องมาอดตายเลยนะ
“เจ้ามั่นใจว่าจะทำได้รึ”
“ยังไม่ได้ลงมือทำ ก็บอกไม่ได้หรอกเจ้าค่ะว่าจะทำได้หรือไม่” นางยืนยัน
ติงเชาเห็นแววตามุ่งมั่นของลูกสาวก็ได้แต่ยิ้มบางๆ ก่อนหน้านี้เด็กสาวตรงหน้าทั้งอ่อนแอ และบอบบาง ทว่าจิตใจนางเข้มแข็งนัก เพื่อให้น้อง ๆ ได้สบายตัวเองยอมลำบากเท่าใดก็ได้ แม้ฟื้นมาครั้งนี้รู้สึกแปลกไปบ้าง แต่นับว่าดีไม่น้อย ยิ่งเห็นนางแอบฝึกฝนร่างกาย ควงไม้พลอง และยิงธนู เขายิ่งอยากลุกขึ้นจากที่นอนแล้วไปสอนนางด้วยตนเอง ก่อนหน้านี้ไม่ว่าอย่างไร นางไม่เคยแตะต้องเลยสักครั้ง เพียงแค่อยากสอนให้นางป้องกันตัวได้บ้าง แต่เมื่อเห็นว่านางไม่มีความถนัดด้านนี้ เขาไม่คิดบีบบังคับให้นางต้องฝืนใจทำ แต่มายามนี้นางกลับอยากเรียนรู้แต่สภาพร่างกายของเขานั้นไม่เอื้ออำนวย ได้แต่ทอดถอนใจอย่างเสียดาย
“ท่านพ่อ ลองดูสักครั้งเถิด ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จ อย่างน้อยเราจะได้รู้ว่าผิดพลาดที่ใด ครั้งหน้าจะได้ไม่ผิดพลาดอีก”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าไปหาเถ้าแก่มู่ บอกว่าพ่อขอยืมเมล็ดพันธุ์สำหรับการเพาะปลูก”
“เถ้าแก่มู่?” นางทวนคำด้วยสีหน้างุนงง
“เจ้าคงจำไม่ได้ แต่ไปหาไม่ยากหรอกเถ้าแก่มู่อยู่ที่ตลาดให้ติง-หยี่ไปเป็นเพื่อนเจ้า บอกว่าพ่อให้มาขอปันเมล็ดพันธุ์”
“เจ้าค่ะ” นางอยากถามต่อว่าพูดแค่นี้ก็ได้แล้วหรือ? ต้องหาสิ่งใดไปค้ำประกันหรือไม่ แต่ไม่เห็นพ่อบุญธรรมพูดอะไรอีก นางจึงเข้าใจว่าพ่อบุญธรรมกับเถ้าแก่มู่คงสนิทสนมกันจนสามารถขอหยิบยืมเมล็ดพันธุ์พืชได้
พูดเพียงเล็กน้อยก็เหนื่อยหอบอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวประคองพ่อบุญธรรมลงนอนตามเดิม เรียกเด็ก ๆ มาคอยดูแลปรนนิบัติไม่ให้ไปเล่นไกลตา แล้วเรียกติงหยี่ให้ไปพร้อมกับนาง หญิงสาวกำชับไม่ให้เด็ก ๆ ไปห่างพ่อบุญธรรมแล้วเร่งรีบเดินทาง
“บ้านเถ้าแก่มู่นี่อยู่ไกลหรือไม่”
“แค่ครึ่งชั่วยามก็ไปถึง” ติงหยี่เป็นเด็กชายตัวโตที่สุด แต่ก็ยังผอมบางหากเทียบกับเด็กชายวัยสิบสองทั่วไป
“พี่จำอะไรไม่ได้ เจ้าอย่าถือสาพี่เลยนะ” นางยื่นมือไปโยกศีรษะน้องชายอย่างหยอกล้อ เขายิ้มกว้างแล้วส่ายหน้าไปมา
“พี่เหมยซิงทำเพื่อพวกเรามากมายนัก ข้าไม่ว่าอะไรพี่หรอก หากข้าเข้มแข็งกว่านี้ ตัวโตกว่านี้ คงปกป้องพี่และน้อง ๆ ได้แล้ว”
“เด็กโง่ เจ้าอย่าพูดเช่นนั้น อย่างไรพี่ก็เป็นพี่ หน้าที่ของพี่คือดูแลน้อง ๆ”
เหมยซิงเดินตามถนนเส้นเล็ก ๆ จากบ้านไม่นานนัก ก็เข้าสู่ถนน
เส้นหลัก ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมานางไม่เคยออกจากกระท่อมเข้าเมืองเลยสักครั้ง แม้จะใช้การเดินเท้า แต่เมื่อพันดาวที่อยู่ในร่างเหมยซิงนั้นไม่คุ้นเคยกับทิวทัศน์สองข้างทาง ก็อดมองอย่างจดจำไปด้วยไม่ได้ ปากคอยสอบถามจนติงหยี่ที่ปกติเป็นคนพูดน้อยต้องพูดมากไปอย่างไม่รู้ตัว
ราวครึ่งชั่วยามทั้งสองก็มาถึงบ้านเถ้าแก่มู่ เหมยซิงยืนมองด้านหน้าเห็นเป็นร้านเหมือนร้านขายของชำแต่เป็นร้านขนาดใหญ่ ติงหยี่ยืนอย่างขลาด ๆ นางจึงหันไปยิ้มให้กำลังใจน้องชายแล้วเดินเข้าไปขอพบเถ้าแก่ เด็กรับใช้ที่ง่วนกับการลูกค้าปลีกตัวมาคุยกับนาง และพานางไปยืนรอด้านใน ไม่นานนักชายวัยห้าสิบก็โผล่หน้าออกมา เพียงเห็นหน้านางเข้าอีกฝ่ายก็มีสีหน้าตกใจไม่น้อย แต่กระนั้นก็ทำเป็นยิ้มออกมาแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อ
“เจ้า...เจ้าสบายดีรึเหมยซิง”
“เจ้าค่ะ” นางยิ้มรับ ไม่เข้าใจสีหน้าของอีกฝ่าย แต่ไม่สนใจอะไรนัก “ท่านพ่อให้ข้ามาขอยืมเมล็ดพันธุ์เพื่อนำไปเพาะปลูก”
“เพาะปลูก?”
“เจ้าค่ะ” นางไม่กล้าพูดอะไรมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้อะไรบ้าง คงแล้วแต่เถ้าแก่มู่จะเมตตาให้ยืมก็แล้วกัน
“พ่อของเจ้าเคยพูดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน” เถ้าแก่มู่พูดพลางจ้องมองเด็กสาวเหมือนจับผิด แต่ดูอย่างไรก็เป็น ‘เหมยซิง’ ที่เขารู้จัก แม้ได้ข่าวว่านางตายไปแล้วก็ตาม
“ข้าจะให้เด็ก ๆ จัดให้ แล้วลงบัญชีพ่อของเจ้าไว้”
“เจ้าค่ะ”
นางยิ้มรับแล้วก็เห็นเถ้าแก่พยักหน้าหงึกหงักรีบเดินออกไป นางได้แต่ยืนงงอยู่ ครู่ต่อมาเด็กในร้านก็เอาถุงใส่เมล็ดพันธุ์พืชมาให้
“มีข้าวเปลือกและข้าวโพด แม่นางเชิญลงชื่อที่นี่” เด็กรับใช้บอกนาง และเชิญให้นางไปที่โต๊ะไม่ไกลนัก
เหมยซิงขมวดคิ้ว ตัวอักษรยึกยือเหล่านี้คงเป็นตัวอักษรจีน แต่ให้เป็นอักษรจีนปัจจุบัน หรือโบราณนางก็อ่านไม่ออก ได้แต่นั่งมองอย่างอ้ำอึ้ง เงยหน้าขึ้นมองเด็กรับใช้ อีกฝ่ายเหมือนจะเข้าใจเรียกหลงจู๊ออกมา
“แม่นาง ถ้าเขียนชื่อไม่ได้ก็พิมพ์ลายนิ้วมือที่นี่”
“ได้” รู้สึกน่าอายเสียจริงที่เขียนชื่อตัวเองก็ไม่ได้ นางลอบมองติงหยี่เห็นเขาก้มหน้าก้มตา เขาเองก็คงเขียนชื่อตัวเองไม่เป็นเหมือนนาง เด็กในบ้านไม่มีใครได้เรียนหนังสือสักคน คงยากสักหน่อยที่พวกเขาหรือแม้แต่ตัวนางจะเขียนชื่อตัวเองได้ นางกดนิ้วโป้งกับแท่นหมึกแล้วประทับลงกระดาษที่หลงจู๊บอก เมล็ดพันธุ์มีหลายถุง โชคดีที่ติงหยี่รอบคอบเอาตะกร้าขึ้นหลังมาด้วย แม้เขาตัวเล็กแต่ไม่ยอมให้นางแบกแทน
“สักครึ่งทางก็ผลัดให้ข้าแบกก็แล้วกัน”
“ฮืม” ติงหยี่พยักหน้ารับ
เมื่อออกจากร้านเถ้าแก่หวัง เหมยซิงหรือพันดาวรู้สึกว่ามีสายตาหลายคู่จ้องมองนาง หญิงสาวจ้องมองกลับเพียงแค่นั้นก็ทำให้คนเหล่านั้น
สะดุ้งโหย่ง รีบหันหนีไปทางอื่นทันที
“หน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือไร จ้องมองกันจริง” เหมยซิงย่นจมูก อยากเดินดูตลาดเสียหน่อยก็หมดอารมณ์แถมยังกังวลว่าน้องชายจะแบกของหนักอีกด้วย
“เพราะผู้อื่นคิดว่าพี่สาวตายไปแล้ว” ติงหยี่เอ่ยเสียงเบากลัวพี่สาวเป็นกังวล