ชายหนุ่มนั่งดูภาพท่องเที่ยวของตัวเอง พลางคิดคนเดียวเพลินๆ จนเครื่องแตะรันเวย์ แต่พอละสายตาขึ้นจากกล้องในมือก็ตอนที่ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ด้านในสะกิดเรียกขอทางเดินเพื่อออก หันไปมองข้างๆ เขาก็ไม่เจอเจ้าของร่างอ้อนแอ้นที่นอนซบอกเขามาหลายชั่วโมงแล้ว
“ไปเร็ว เคลมเร็วจริงๆ นะแม่สาวขี้เซาขาดความอบอุ่น”
ชายหนุ่มคล้องสายกล้องข้ามศีรษะก้มลงหยิบกระเป๋ากล้องเดินออกจากงวงไป ชายหนุ่มกดชัตเตอร์ระหว่างทางเก็บภาพไปด้วย เพราะเขาเป็นคนชอบถ่ายภาพ
เดินมาถึงสายพานลำเลียงจุดรับกระเป๋า เขาก็ปิดหน้าจอลดกล้องลงคล้องคอไว้เหมือนเดิม ส่งมือล้วงกระเป๋าเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวที่ยืนรออยู่ก่อน
“วิ้วๆ ชักเชื่อแล้วสิ… ว่าทฤษฎีโลกกลมใช้ได้ผล สงสัยว่าเราจะเป็นเนื้อคู่กันนะ”
ชายหนุ่มเดินผิวปากมายืนข้างเพลินวาน เธอกำลังยืนยืดคอมองสายพานลำเลียงรอกระเป๋าอยู่ก่อนหน้า
“นี่คุณ! ต้องการอะไรจากฉันอีกไม่ทราบ ฉันก็ชักเชื่อว่าเวรกรรมมันมีจริง แล้วมันยังเกาะติดเป็นเห็บหมาอีก”
หญิงสาวชักสีหน้าต่อว่าอย่างระอา ความจริงที่เธอต้องรีบออกมาก่อนก็เพราะอายจนไม่กล้าสู้หน้าเขาต่างหากที่เผลอกอดและนอนหนุนตักของเขา นี่ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูเพื่อนสาวจอมแสบหรือน้องชายจอมทะเล้น รับรองว่าเธอจะโดนพวกเขาล้อไม่หยุดแน่
ชายหนุ่มยิ้มทะเล้น ไม่รู้ตัวว่าทำไมเขาถึงอยากแกล้งกวนประสาทเธอนัก
“ผมมาตามหาคำขอบคุณ จำได้ว่าคุณยังไม่ขอบคุณผมสักครั้ง มิหนำซ้ำยังเดินหนีออกมาก่อน” ชายหนุ่มบอก
“จะทวงบุญคุณว่างั้นเถอะ”
ชายหนุ่มยักไหล่ เดินเข้าหาเธอ “หรือจะให้ผมเข้าใจเองว่าผู้หญิงอย่างคุณจะไร้มารยาท แค่คำขอบคุณสักคำก็ให้ไม่ได้ล่ะ” ชายหนุ่มเน้นเสียงหนักตอบกลับ เดินมายืนกระแซะข้างตัวหญิงสาวอย่างตั้งใจ
“ขอบคุณ!” เพลินวานขอบคุณเสียงสะบัดสะบิ้งอย่างไม่ค่อยพอใจนัก พร้อมกับรีบก้าวขาถอยห่างออกจากเขา เธอไม่ชอบให้ใครเข้าถึงเนื้อถึงตัว
“ห้วนเหมือนมะนาวไม่มีน้ำ แบบนี้คงจะหาแฟนยากนะ” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับขยับเข้าหาเธออีกก้าว แต่ประโยคนั้นก็สะกิดใจหญิงสาวอย่างจัง
“มันเกี่ยวอะไรกับคุณไม่ทราบ”
“ผมก็แค่คิดในใจ ไม่ได้ว่าใครสักหน่อย” ชายหนุ่มตอบกลับหน้าตาย
“กลับมาคราวนี้สงสัยจะต้องแวะวัดก่อนเข้าบ้าน จะได้ไม่ต้องพาเสนียดความซวยเข้าบ้านด้วย ช่วยถอยออกไปจากตัวฉันด้วย ชาติที่แล้วเป็นเห็บหรือไง ถึงได้ยืนเบียดแบบนี้ ขยับออกก็ขยับตาม” หญิงสาวไม่วายเหน็บ แต่คนโดยเหน็บกลับไม่ตระหนกสักนิด เขายังยิ้มร่ายียวนหญิงสาวต่ออย่างอารมณ์ดี
“ถ้าอย่างนั้นผมขอไปวัดด้วยคนนะ… แต่ไม่ได้ไปด้วยจุดประสงค์เดียวกับคุณหรอก ผมจะไปต่อดวงชะตา เผื่อว่าเกิดชาติหน้าเราจะได้เจอกันอีก” ชายหนุ่มยิ้มเป็นต่อที่แกล้งเธอได้อีก
“ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าหรอก แค่เจอกันวันเดียวก็ทำให้ฉันอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ขืนถ้าเจอกันอีกมีหวัง....” พูดได้แค่นั้นหญิงสาวก็เต้นเร่าเป็นเจ้าออกโรง เมื่อสายตาของเธอเหลือบไปเห็นกระเป๋าบนสายพานลำเลียงที่หมุนเวียนไปไม่หยุด พรางชี้มือไปที่กระเป๋าใบเขื่องของเธอที่อยู่บนสายพานลำเลียงอย่างตื่นเต้น
“กระเป๋า! กระเป๋า!” หญิงสาวแหกปากร้องเสียงดัง สายตาของเธอก็มองที่กระเป๋ากำลังเคลื่อนออกไปต่อหน้า ชายหนุ่มมองตามไปอย่างไม่เข้าใจอาการแปลกประหลาดของเธอ คิ้วของเขาขมวดมุ่นอย่างสงสัย
“ก็กระเป๋านะสิคุณ แบบนั้นที่บ้านผมก็ไม่ได้สอนให้เรียกว่าตู้เย็นหรอก” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบ เขาไม่ได้ใส่ใจมองที่มือเธอชี้ไปด้วยซ้ำ เพราะรู้ดีว่าบนสายพานลำเลียงก็มีแค่กระเป๋าของนักเดินทางเท่านั้น
“ว่าแต่คุณจะแหกปากร้องทำไมเสียงดังไม่อายคนบ้างหรือไง ดูท่าจะไม่ได้เลี้ยงด้วยลำโพงอย่างเดียว คงกินระฆังวัดอรุณเข้าไปด้วย” ชายหนุ่มดุไม่เต็มเสียงหนักแต่เขาก็ไม่วายแหย่ต่อ พยักพเยิดให้หญิงสาวมองไทยมุงรอบตัวที่มองเธอกับเขาอย่างสนใจ ก้มลงกระซิบถามให้ได้ยินกันแค่สองคน
“ไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่จะมาสั่งสอนฉันหรอกนะ”
“ก็ไม่อยากบอกหรอก แต่คุณลองมองรอบๆ ดูสิ! ผู้โดยสารคนอื่นมองเราสองคนเป็นตาเดียวกันหมดแล้ว”
เพลินวานหันไปมองตามที่เขาบอก ก็เป็นเหมือนอย่างที่เขาว่า สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่เธอและเขา
หญิงสาวยิ้มเก้อๆ ยกมือลูบหน้าปาดเหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นบนหน้าผากเนียน เพราะความที่ใช้ชีวิตอยู่ในครัวเป็นส่วนใหญ่ เธอต้องใช้เสียงแข่งกับเครื่องดูดควัน เสียงกะทะ ตะหลิว รวมไปถึงเสียงของเชฟและพนักงานในครัวที่ขานรับสวนเสกันไปมา ทำให้หญิงสาวติดการพูดเสียงดังจนกลายเป็นความเคยชิน
และในสถานการณ์แบบนี้ที่เธอเผลอ ทำให้เป็นจุดสนใจได้อย่างง่ายดาย กว่าคนพูดจะรู้ตัวเธอก็ปล่อยไก่สร้างความอับอายให้ตัวเองไปแล้ว
‘เอาอีกแล้วนะเพลินวาน… เธอจะโก๊ะไปถึงไหนกัน ทำไมต้องเผลอหลุดอาการแบบนี้ทุกครั้งที่ตื่นเต้นและตกใจก็ไม่รู้ เมื่อไหร่จะหายสักที’
เพลินวานยกมือขึ้นเกาศีรษะของตัวเองส่งยิ้มปูเลี่ยน “ก็ฉันเห็นกระเป๋าฉันผ่านมาเมื่อกี้นี่นา ฉันตกใจไปมากไปหน่อย ลืมไปว่าเดี๋ยวมันก็จะวนมาอีกรอบ”
เพลินวานตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงนัก เป็นอีกครั้งที่เธอไม่อยากแม้แต่จะเงยหน้ามองใคร
ชายหนุ่มหันไปขอโทษกับสายตาทุกคู่ที่มองมาที่พวกเขา “ต้องขอโทษนะครับ ภรรยาผมเขาเป็นคนขี้ตกใจอย่างนี้เสมอล่ะครับ”
เสียงเข้มของเขาทำให้เพลินวานหันขวับไปมองหน้าคนพูดอย่างเอาเรื่องอีกครั้ง สำหรับเขามันอาจจะเป็นคำแก้ตัวที่ทำให้เธอดูดีขึ้น แต่สำหรับเธอ… คำบอกเล่าของเขากลับยิ่งเพิ่มความอายมากขึ้นไปอีก และเหนือสิ่งอื่นใด เธอกำลังอยากหักคอผู้ชายตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอดไป
“นี่คุณ...” หญิงสาวหยิกหมับที่ต้นแขนของเขาและเตรียมจะต่อว่าด้วยความโมโหและอาย แต่ไม่ทันจะอ้าปากพูดได้จบประโยค เขาก็สวมบทคู่รักหวานจ๋อยของเธอต่อทันที ผู้ชายอะไรกวนประสาทสิ้นดี
พอชายหนุ่มเห็นอาการของเธอเขาก็ยิ่งอยากแกล้งต่อ เขาเดินมาโอบไหล่บางของเธอ แสดงบทบาทเหมือนคู่รักที่พึ่งกลับจากฮันนีมูนอย่างไรอย่างนั้น
“โอ๊ย! อีกแล้วนะที่รัก ผมบอกว่ารอให้ไปถึงที่บ้านก่อนแล้วค่อยมาเล่นปูไต่กัน เราเพิ่งเล่นกันมาไม่กี่ชั่วโมงเองนะ”
สิ้นเสียงทุ้มหนักของเขา เพลินวานก็หยิกหมับเข้าที่ข้างเอวเขาอีกครั้ง คราวนี้เธอเพิ่มความแรงตามอารมณ์โมโหทั้งหมดที่มีของเธอ
“โอ้ย!” ชายหนุ่มเผลอร้องเสียงหลง หญิงสาวยิ้มที่มุมปากที่ตัวเองสามารถตอบแทนเขาได้อย่างเจ็บแสบ ชายหนุ่มก้มลงกระซิบถามเพลินวานให้ได้ยินกันแค่สองคน
“คุณหยิกผมทำไมอีกเนี่ย ผมเจ็บนะ รู้ไหม… ตั้งแต่ผมเจอคุณไม่กี่ชั่วโมงผมก็โดนกระทำตลอดเลย น่วมและบอบซ้ำทั้งกายทั้งใจหมดแล้ว”
ภาพของทั้งคู่เหมือนคู่รักพ่อแง่แม่งอนที่หยอกล้อกันกระหนุง กระหนิง ผู้โดยสารคนอื่นที่มองอยู่ต่างอมยิ้มและหันไปสนใจกระเป๋าของตัวเอง
เพลินวานถลึงตามองกัดฟันกรอด ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสะบัด “เป็นฉันมากกว่ามั้ย! ที่ต้องพูดคำนี้ แล้วก็ยกกระเป๋าออกมาให้หน่อย สุภาพบุรุษน่ะ… สะกดเป็นไหม” บอกพร้อมกับชี้ไปที่กระเป๋าใบใหญ่ของเธอที่วนกลับมาอีกรอบ
“โห… แรง! แต่เขาว่าผู้หญิงด่า ผู้หญิงว่า ก็เพราะผู้หญิงรักนั่นแหละ ผมเลยไม่ถือ” ชายหนุ่มหยอกเย้าเธอต่อ
หญิงสาวกลอกตามองอย่างไม่รู้ว่าจะตอบโต้เขาอย่างไรดี ผู้ชายอะไรหลงตัวเองเป็นบ้า แต่ชายหนุ่มก็ไม่เว้นระยะให้เธอได้ตอบโต้เช่นกัน
“แต่คุณต้องอดทนรอหน่อยนะ คิวผมยาว สาวๆ ในสต็อกผมเยอะ” ชายหนุ่มยังคงเย้าแหย่อย่างอารมณ์ดี แล้วเขาก็ได้ค้อนวงใหญ่ตอบกลับมาจากหญิงสาว
“ที่บ้านเลี้ยงมาด้วยอะไรถึงได้มีอาการช่างจินตนาการหลงตัวเองผิดปกติแบบนี้”
“เอาไว้ว่าเรามีลูกกันเมื่อไหร่ ผมจะบอกคุณนะ ลูกของเราจะได้น่ารักเหมือนผม”
“ฝันไปเถอะย่ะ”
“โอเคครับ… ผมถือว่าคุณอนุญาตแล้วนะ นับจากวันนี้เป็นต้นไป ผมจะฝันถึงหน้าคุณทุกวัน รอวันที่เราจะได้มีโอกาสผลิตลูกด้วยกัน คุณเองก็อย่าลืมฝันถึงผมนะ”
หญิงสาวมองหน้าเขาอย่างละเหี่ยใจกับความยียวนกวนประสาทไม่เลิกของเขา แต่เธอก็เลือกที่จะหยุดต่อล้อต่อเถียง เธอชี้มือไปที่กระเป๋าตัวเองเป็นเชิงสั่งให้เขายกออกมาให้ ชายหนุ่มบริการเธอด้วยความเต็มใจ
“ขนอะไรมาเยอะแยะเนี่ย หนักเป็นบ้า...” ชายหนุ่มบ่นอุบออกมาอีกครั้งหลังจากที่ยกกระเป๋าไซซ์เล็กกว่าตู้เย็นนิดหน่อยออกมาจากสายพานลำเลียง
“ขอบคุณ! แต่จะขนอะไรมามันก็เรื่องของฉัน! มันไม่ได้หนักหัวใคร ไปละ! หวังว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกนะ ทั้งชาตินี้และชาติหน้าเลย” เพลินวานกระแทกเสียงตอบกลับแล้วก็เดินหน้าหงิกออกไปทันที โดยที่ไม่หันหลังกลับมามองชายหนุ่มอีกเลย
“แต่ผมจะตามจีบคุณ… แล้วเจอกันนะที่รัก” ชายหนุ่มตะโกนตามหลัง ครั้นจะตามไปเขาก็ยังไม่ได้กระเป๋า ที่สำคัญคือเขาลืมถามชื่อเธอเสียสนิท