เธอตวัดสายตามองบิดามารดา ไม่เข้าใจ เป็นอะไรนักหนาต้องบังคับให้แต่งงานกับพีรดล หมอนี่มันนิสัยเสียอย่างร้ายแรง คอยกลั่นแกล้งกันสารพัด ไม่เว้นแม้แต่ในรั้วมหาวิทยาลัย เธอถูกหมอนี่รังแกมามากพอแล้ว
“นาไม่มีวันหมั้นกับคนแบบนี้ ไม่มีวัน!”
“ยัยนา!” สุพจน์เรียกบุตรสาว สีหน้าตำหนิ
“นาพูดความจริง หมดสมัยคลุมถุงชนแล้วค่ะ นาขอตัวนะคะ!” หญิงสาวบอกปัด แล้วลุกยืนกระแทกส้นเท้า
นิรนาตระหนก รีบตามบุตรสาว
“ยัยนา มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!”
“พจน์ไปตามนิมาเถอะ ตอนนี้ยัยนาคงกำลังโกรธอย่าเพิ่งไปบังคับลูกเลย” ธนากรส่งเสียงเตือน
“ยัยนา แม่บอกให้หยุดไง!”
นิรนารั้งท่อนแขนบุตาสาวเอาไว้ แต่เธอกลับสะบัดจนมารดาล้มลงกองกับพื้น
“แม่!” คนตัวเล็กตระหนก ตรงเข้าประคองมารดา
“ไม่ต้องมาช่วย ปล่อยให้แม่ตายไปเถอะ”
สุพจน์รีบตรงเข้ามาช่วยภรรยา นิรนาน้ำตานองหน้า กอดลมหายใจติดขัด คนตัวเล็กตระหนกเมื่อเห็นแม่กำลังเกร็งไปทั้งร่าง
“แม่ แม่! แม่เป็นอะไร!” หญิงสาวร้องลั่น
พีรดลรีบวิ่งเข้ามา ก่อนตัดสินใจอุ้มร่างของนิรนาไว้
“เอารถออกเร็วครับ” เขาบอกเสียงสั่น
รถเคลื่อนออกจากรั้วบ้าน โชคดีโรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก คนป่วยถูกวางไว้บนเตียง แล้วเข็นเข้าสู่ห้องไอซียูในทันที นิรนากุมขมับนั่งอยู่หน้าห้อง น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอผิดเอง ที่พูดจากับแม่แบบนั้น พีรดลยืนกอดอกพิงกำแพง มองดูผู้หญิงที่บิดาต้องการให้มาเป็นคู่แล้วอดสงสารไม่ได้ ไม่คิดว่ามันจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
“แม่เธอไม่เป็นไรหรอก” เขาเปรยออกมาราวกับต้องการปลอบ ทว่าอีกคนกลับตวัดสายตามองทั้งน้ำตา
“เก็บความห่วงใยจอมปลอมไว้เถอะ!” หญิงสาวย้อนเสียงเขียว
คนฟังขบกรามชักสีหน้าไม่พอใจ ที่พูดไม่ได้เสแสร้ง อีกฝ่ายตั้งห่าง อคติไม่เลิก คอยจ้องแต่จะหาเรื่องกัน แบบนี้ไง ถึงอยากเอาชนะ
“ปากเธอนี่ เก่งไม่เลิกเลยนะ” เสียงเข้มย้อนรอดไรฟัน
“ฉันไม่ได้ปากเก่งปากดีหรอกนะ ถ้านายปฏิเสธผู้ใหญ่ เรื่องมันคงไม่ลงเอยแบบนี้!”
“ทำไมฉันต้องทำให้ตัวเองโดนตัดเงินด้วย คนเรามันก็เห็นแก่ผลประโยชน์ทั้งนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งฉันหรือเธอ!”
“นี่นาย!” พอได้ยินคนโกรธลุกยืน มือข้างตัวกำแน่น ความรู้สึกในอกมันอัดแน่นไปหมด อยากตะโกน กรีดร้องออกมา ทำไมไม่มีใครเข้าใจเธอบ้าง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ต้องเจอเขากลั่นแกล้งมาตลอด
“ทำไม ฉันพูดแทงใจดำหรือไง!”
“ที่ฉันยอมรับการหมั้นไม่ได้ นายรู้แก่ใจ เพราะคนอย่างนาย ต่อให้หน้าตาดีแค่ไหน แต่สันดาน มันไม่ได้ดีเหมือนหน้าตาไปด้วย!”
“ไม่เหมือนเธอสินะ หน้าตาก็แย่ นิสัยก็เหมือนกัน ท่าจะหนักกว่าฉันเสียอีก” เขาย้อนอย่างเจ็บแสบ
หญิงสาวอ้าปากคิดถกเถียงต่อ แต่กลับต้องหยุดชะงัก เมื่อสายตาเห็นบิดาเดินมากับอาธนากร หย่อนกายลงบนเก้าอี้ตามเดิม พยายามระงับโทสะเอาไว้
หมอเจ้าของไข้ออกมาจากห้อง ทุกคนรีบตรงเข้าไป
“ภรรยาของผมเป็นยังไงบ้างครับ” สุพจน์ถามเสียงสั่น
“อาการปลอดภัยแล้วนะครับ”
สุพจน์และบุตรสาวระบายลมหายใจ ด้วยความโล่งอก
“แล้วผมเข้าเยี่ยมได้หรือยังครับ”
“ยังเข้าเยี่ยมไม่ได้นะครับ หมอต้องรอดูอาการ ต้องให้คนไข้อยู่ในห้องปลอดเชื้อก่อน พรุ่งนี้ถึงเยี่ยมได้นะครับ”
“ขอบคุณมากครับคุณหมอ”
“หมอขอตัวก่อนครับ” หมอพูดจบ แล้วเดินจากไป
สุพจน์หย่อนกายลงบนเก้าอี้ สีหน้าเคยเครียดดูผ่อนคลายลง เช่นเดียวกันนาฏสุรีย์ รู้สึกราวกับ ยกภูเขาออกจากอก เธอก้าวมาหาบิดาย่อกายตรงหน้า กุมมือพ่อไว้น้ำตาคลอ
“นาขอโทษค่ะพ่อ” บอกพ่อเสียงแผ่วเบา
คนเป็นพ่อเงยหน้าสบตา แล้วลูบศีรษะลูก
“ไม่ใช่ความผิดของนาหรอก แม่อาการปลอดภัยแล้ว เอาไว้นาค่อยปรับความเข้าใจกับแม่ก็ได้นะลูก”
“ค่ะพ่อ”