ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด!
เสียงข้อความเข้าถี่รัวทำเอามือขาวผ่องที่กำลังรัวแป้นพิมพ์อยู่จำต้องผละออกไป
บรรณาธิการ : (สวัสดีครับคุณนักเขียน ไม่ทราบว่าต้นฉบับเป็นยังไงบ้างเหรอครับ ทางเรารอได้ถึงวันนี้เท่านั้น หากล่าช้า...)
ตัวหนังสือแสนสุภาพเรียงร้อยมาอย่างสละสลวย แต่ถ้าอ่านแล้วก็จะเข้าใจได้ว่า นี่เป็นเพียงข้อความทวงงานเท่านั้น หญิงสาวถอนหายใจก่อนส่งข้อความตอบกลับไป
นักเขียน : (ฉันกำลังส่งบทสุดท้ายให้นะคะ)
ซูเจิน พิมพ์ข้อความตอบกลับจากนั้นจึงส่งไฟล์งานให้ตามที่ได้แจ้งไป เธอเว้นช่วงเข้าได้เข้าเข็มของตัวละครทั้งสองเอาไว้และกลับมาทำทีหลัง เมื่อบรรยายเรียบร้อยเลยปิดบทนี้ลวก ๆ อย่างไรการได้เสียกันของพวกตัวร้ายก็ไม่ได้เป็นส่วนสำคัญอะไรเมื่อเทียบกับความสัมพันธ์ของพระนางอยู่แล้ว ทันทีที่อัปโหลดเสร็จข้อความในโทรศัพท์ก็เด้งตอบกลับมา
บรรณาธิการ : (ได้รับแล้ว ขอบคุณมากครับ หลังจากตรวจสอบความเรียบร้อยแล้ว สำนักพิมพ์จะเร่งทำการตีพิมพ์นิยายเรื่อง องค์หญิงของอดีตทรราช ภายในสามวันครับ)
“เฮ้อ” ร่างบางเอนหลังกับเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า ในที่สุดดินที่พอกหางอยู่ก็หลุดออกจนหมดเสียที คนตัวเล็กบิดตัวสองสามที ทั้งที่อายุแค่นี้แต่การทำงานหน้าจอนาน ๆ ก็ทำให้กระดูกลั่นเอาง่าย ๆ
เธอเป็นหญิงสาววัยยี่สิบแปดที่ทำอาชีพนักเขียนนิยาย ไม่รู้ว่าโลกภายนอกมองว่านักเขียนมีภาพลักษณ์แบบไหนแต่ในความเป็นจริงมันก็ไม่ใช่อาชีพที่มั่นคงและสบายอะไร ต่อให้มีชื่อเสียงพอตัวก็ต้องออกผลงานอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ชื่อของตนเองยังคงโลดแล่นผ่านสายตานักอ่าน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่การขายงานได้น้อยแต่เป็นการถูกลืมต่างหาก
ดังนั้นเมื่อต้องทำงานแข่งกับเวลา ซูเจินจึงไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนศิลปินที่รอแรงบันดาลใจได้ วันไหนที่ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกไม่มีสมองก็ต้องเค้นแรงใจอย่างหนักเพื่อลงมือเขียน ถ้าวันไหนสติปัญญาที่ไม่ค่อยมีกลับมาโลดแล่นอีกครั้งก็ต้องรีบคว้าคอมพิวเตอร์คู่ใจมาพิมพ์ให้ไว รู้ตัวอีกทีก็ใช้ชีวิตวนลูปแบบนี้มาจนอายุเข้าใกล้เลขสาม
“ไม่ได้นอนมาสามวันแล้วเหรอเนี่ย” ถ้าการอดนอนเป็นกีฬาเกรงว่าเธอน่าจะคว้าเหรียญทอง หญิงสาวปิดคอมพิวเตอร์แล้วลากสังขารโรยแรงไปยังห้องนอน ก่อนจะปล่อยตัวเองเข้าสู่ความฝันอันแสนยาวนานก็ขอเปิดโทรศัพท์เช็กอันดับนิยายในเว็บไซต์เสียหน่อย
อันดับหนึ่ง องค์หญิงของอดีตทรราช
อันดับสอง เกิดใหม่เป็นฮูหยินในยุคโบราณ
อันดับสาม เกิดใหม่ในต่างโลก
อันดับสี่ เกิดใหม่...
“สมัยนี้คนชอบอ่านนิยายแนวเกิดใหม่งั้นสินะ” ริมฝีปากจิ้มลิ้มหาวฟอดใหญ่ขณะที่กำลังไล่สายตาไปยังนิยายติดอันดับทั้งหลาย
“ถ้าต้องเกิดใหม่จริงๆ ขอเป็นโลกที่ฉันรู้จักหน่อยแล้วกัน” พรุ่งนี้คงต้องเริ่มคุยนิยายเรื่องต่อไปกับบรรณาธิการ ถ้าเป็นแนวเกิดใหม่ในต่างโลกตามที่ตลาดให้ความสนใจก็นับว่าไม่เลว ร่างบางปล่อยให้ความคิดล่องลอยผ่านไปขณะที่ดวงตาคู่สวยเริ่มปิดลงด้วยความเหนื่อยล้า
...............................................
.....................
บรรยากาศรอบกายเปลี่ยนไปจนหญิงสาวรู้สึกได้ เริ่มที่เสียงนกร้องดังแว่วเข้ามาในหู นี่มันคอนโดชั้นสี่สิบ ห้องนอนก็ไม่ได้ตั้งติดระเบียง นกที่ไหนจะบินขึ้นมา แน่นอนว่าต่อให้มันจะเป็นนกสายพันธุ์ใดก็ไม่สามารถเป็นอุปสรรคของคนกำลังนอนได้ ซูเจินพยายามเมินเรื่องผิดปกติเหล่านั้นเพื่อข่มตาต่อไป ถึงฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะสั่นไหวเธอก็ขอตายมันบนเตียงนี่แหละ
“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” สตรีนางหนึ่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“น่าจะหมดสติเพราะตกใจเท่านั้น ร่างกายปลอดภัยแล้วไม่มีอะไรต้องห่วง” คราวนี้เป็นเสียงของบุรุษที่ดูจะสูงวัยขึ้นมาหน่อย เขากล่าวพลางถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
แม้จะได้ยินบทสนทนาทั้งหมดซูเจินก็ไม่คิดจะเปิดตามอง ใจนึงเธออยากไล่สองคนนั้นให้ไปคุยกันไกล ๆ เสียด้วยซ้ำ มันใช่เรื่องที่ต้องมาคุยกันตอนนี้ไหม คิดว่าเวลานอนของเธอมีมากเท่าไหร่เชียว ทว่าเมื่อคิดได้ถึงจุดนี้หญิงสาวก็ตระหนักได้ว่าตนพักอยู่คอนโดคนเดียวนิ จะมีเสียงคนอื่นได้ยังไง?
แพขนตาหนาปรือขึ้นช้าๆ ภาพเบื้องหน้าทำให้ความง่วงงุนที่มีมลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง บรรยากาศรอบกายแปลกพิกล เพดานห้องที่ไม่คุ้นเคยและผู้คนที่ไม่รู้จัก
“คุณหนูฟื้นแล้วเหรอเจ้าคะ!” น้ำเสียงที่ได้ยินเมื่อตอนแรกเคลื่อนเข้ามาใกล้ ต้นเสียงเป็นหญิงสาวหน้าตาใสซื่อในชุดสมัยโบราณ นางพุ่งตัวเข้ามาอย่างเร่งรีบทำเอาซูเจินเด้งตัวหลบแทบไม่ทัน
“ที่นี่-” สิ้นคำฝ่ามือน้อยก็ยกขึ้นมาปิดริมฝีปาก ทั้งน้ำเสียงทั้งร่างกายมันผิดปกติ ซูเจินขยับมือในอากาศก่อนจะเคลื่อนมาสัมผัสใบหน้าและได้คำตอบในทันที นี่ไม่ใช่ร่างกายของเธอ!
“คุณหนูพลัดตกน้ำเจ้าค่ะ ดีที่มีคนเห็นจึงช่วยเอาไว้ ข้ากลัวมากรู้หรือไม่ คิดว่าคุณหนูจะ...” ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรงราวกับกำลังข่มกลั้นอารมณ์เสียใจเอาไว้ ขอบตาของนางยังคงแดงช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักจนซูเจินเกือบจะยกมือไปลูบหัวอีกฝ่าย ดีที่ยั้งมือทัน
นางเป็นพวกไม่ถูกกับอะไรน่ารัก น่าเอ็นดูเสียด้วยสิ แต่ก่อนจะไปคิดว่อกแว่กไปไกล... ที่นี่มันที่ไหนกันแน่
“คารวะคุณหนูหลี่ ข้าได้ทำการตรวจร่างกายให้แล้วขณะที่ท่านหมดสติ ไม่มีสิ่งใดต้องห่วงเพียงแต่ช่วงนี้พักผ่อนให้มากจะเป็นการดีขอรับ” ชายสูงวัยที่สวมเครื่องแต่งกายคล้ายหมอเอ่ยก่อนจะโค้งศีรษะให้
“แม่นางลั่ว ข้าขอตัวไปแจ้งใต้เท้าเซี่ยก่อนนะ” ว่าจบก็หันไปแจ้งบ่าวสาวข้างเตียง
“…แจ้งใครนะ” แซ่มีเป็นร้อยแต่กลับคุ้นหูเมื่อพูดถึงแซ่เมื่อครู่ อาจเพราะเพิ่งพิมพ์นิยายที่ตัวเอกใช้แซ่ดังกล่าวก็เป็นได้
“เอ่อ... คุณหนูถามอะไรแปลกๆ นะเจ้าคะ ตอนนี้เราย้ายเข้ามาอยู่ในจวนตระกูลเสนาธิการแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นทุกสิ่งเลยจำต้องรายงานต่อใต้เท้าเซี่ยอย่างไรเล่าเจ้าคะ” สีหน้าโล่งใจของบ่าวตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นกังวลอีกครั้ง หรือว่าคุณหนูของนางจะป่วยจากการตกน้ำเข้าแล้ว
“บางที่คุณหนูอาจจะยังไม่หายเป็นปลิดทิ้ง แม่นางลั่วก็ดูแลอย่างใกล้ชิดแล้วกัน” หมอเฒ่ากล่าวอย่างขอไปทีพลางรีบเก็บของออกจากห้องคล้ายกับหมดธุระที่นี่แล้ว
“ท่านหมอเดี๋ยวสิเจ้าคะ” ลั่วจงผิงพยายามจะรั้งอีกฝ่ายไว้แต่ก็ทำได้เพียงเดินตามไป หมอคนนั้นไม่สนใจสักนิด เขามาที่นี่เพื่อดูว่าหลี่รั่วหลานยังมีชีวิตหรือไม่ก็เท่านั้น
“โถ่ คนพวกนี้!” สาวใช้เดินกลับมาด้วยสีหน้าผิดหวังแกมโมโห
“ขอถามอะไรสักอย่างสิ” คนป่วยชันกายขึ้นนั่ง นางยังคงไม่ชินกับร่างที่หดเล็กลงจึงดูเงอะงะไปบ้าง
“ใต้เท้าเซี่ยที่เขาพูดถึงใช่ เซี่ยไป่หานหรือไม่” ริมฝีปากจิ้มลิ้มขยับพอพูดได้เป็นคำ ๆ ถึงได้รู้ว่าตอนนี้ลำคอของนางเจ็บมากเพียงใด นี่อาจเป็นผลข้างเคียงจากการสำลักน้ำ
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” บ่าวคนซื่อยังคนพยักหน้าหงึก ๆ
“แล้วฉัน…เอ่อ ข้าคือ หลี่รั่วหลาน ใช่หรือไม่” เจ้าของเรือนเอ่ยถามด้วยสีหน้าซีดเผือด วงหน้าขาวผ่องมีเหงื่อหลายเม็ดผุดขึ้นมาจากความหวาดกลัว แต่คู่สนทนาดันเข้าใจว่าเจ้านายยังไม่หายไข้จึงรีบซับหน้าให้โดยไม่คิดอะไร
“ใช่สิเจ้าคะ คุณหนูลืมไปแล้วหรือว่าตนเองเป็นผู้ใด ข้ารีบไปตามหมอกลับมาตรวจอาการอีกรอบดีกว่าเจ้าค่ะ” จงผิงทำท่าจะวิ่งออกไปอีกรอบ
“ไม่ต้อง ๆ …ข้าเพียงยังปวดหัวและสับสนเล็กน้อยเท่านั้น ขอถามอีกเรื่อง ปีนี้ข้าอายุเท่าไหร่แล้ว” คำถามของเจ้านายตัวน้อยยังคงทำให้ลั่วจงผินสงบใจไม่ลง นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวเบื้องหน้ากันแน่ กระนั้นก็ทำได้เพียงตอบออกไป
“สิบห้าหนาวเจ้าค่ะ ท่านผ่านพิธีปักปิ่นมาจวนจะใกล้วันเกิดอีกครั้งแล้วนะเจ้าคะ”
ได้ยินดังนั้นคนงามก็นวดขมับที่ปวดหนึบ ว่ากันตามตรงท่าทีของนางตอนนี้ดูไม่เหมือนคนเดิมสักนิด ทั้งคำพูดและแววตามันดูต่างออกไปจนบ่าวคนสนิทกังวล
“เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าว่าจะพักเสียหน่อย” ร่างเล็กออกคำสั่ง
“มีอะไรก็เรียกบ่าวนะเจ้าคะ” ลั่วจงผิงกล่าวก่อนจะออกจากห้อง บ่าวคนสนิทเป็นห่วงคุณหนูมากก็จริงแต่ให้อีกฝ่ายพักสักหน่อยทุกอย่างอาจค่อย ๆ ดีขึ้นตามที่หมอชราแจ้งไว้ก็เป็นได้
................................................................................
ไรท์ไม่กล้าหลับคานิยายดราม่าเลยค่ะ กลัวได้ไปต่างโลกแบบเผชิญเคราะห์กรรม ฮาาา
นักเขียนที่ทะลุมิติไปนิยายตัวเองนี่ต้องสำนึกผิดเยอะๆเลยนะคะ เพราะเขียนปมไว้มากมาย...