ร่างนี้อายุเพียงห้าปี จะผิวขลุ่ยเป็นได้อย่างไร เหมยกุ้ยเอ๋ย เหมยกุ้ยฮวา เธอช่างเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ
จ้าวหลี่จิ้น กู่จางเหว่ย และกู่หวังเหว่ย มองภาพตรงหน้าอย่างตะลึงงัน สาวน้อยวัยห้าปีของพวกเขา ไยจึงได้งดงามดุจเทพธิดาเพียงนี้เล่า
รอยยิ้มใสซื่ออวดฟันที่เรียงตัวสวย คล้ายยิ้มประจบเอาใจ เหมือนมีมนต์สะกด จนพี่ชายทั้งสาม ลืมเลือนที่จะสงสัยว่า ฮวาเอ๋อของพวกเขาผิวขลุ่ยเป็นตั้งแต่เมื่อใด
"เจ้าเก่งมากฮวาเอ๋อ" จ้าวหลี่จิ้นชมเปาะ
"ใช่ๆ ฮวาเอ๋อของพวกเราเก่งมาก" กู่จางเหว่ยสำทับ
"ฮวาเอ๋อผิวขลุ่ยเป็นเพลงอื่น อีกได้หรือไม่ พี่ชายชอบฟังเจ้าผิวขลุ่ยเสียแล้ว" กู่หวังเหว่ยร้องขอตาเป็นประกาย
เหมยกุ้ยฮวาลอบถอนหายใจ มุมปากยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนแบมือข้างที่ไม่ได้ถือขลุ่ยออกไปข้างหน้า ขยับสี่นิ้วเข้าหาตัวสองสามที พี่ชายสามคนพร้อมใจกันยกคิ้วขึ้น ดวงตาฉายแววสงสัย เหมยกุ้ยฮวาพยักหน้าก้มลงมองมือตัวเอง แล้วขยับนิ้วอีกสองสามครั้งเหมือนเดิม หลี่จิ้น จางเหว่ย หวังเหว่ย หันมาสบตากัน พลันระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นอีกครั้ง ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!!
"ฮวาเอ๋อ เจ้าตระหนี่เกินไปแล้ว" กู่จางเหว่ยว่าพลางใช้มือขยี้ผมน้องสาว รอยยิ้มเปี่ยมสุขเต็มใบหน้า
""พี่ชายอย่างข้าคงต้องเป็นยาจกในไม่ช้า หากแค่ฟังน้องสาวผิวขลุ่ยยังต้องจ่ายสินน้ำใจเช่นนี้" กู่หวังเหว่ยบ่นอุบ แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่ต่างจากพี่ชาย
"แต่ข้า จ้าวหลี่จิ้น จ่ายได้ ฮวาเอ๋อเจ้ามานี่" หลี่จิ้น ช้อนตัวเหมยกุ้ยฮวาขึ้นอุ้ม นั่งลงบนเก้าอี้แล้ววางนางลงบนตัก ไม่ลืมทิ้งรอยยิ้มเย้ยหยันให้สองพี่น้องตระกูลกู่อีกครั้ง
คราแรกเหมยกุ้ยฮวาเกร็งตัวจะขัดขืน รู้จักกันเพียงแค่สี่ห้าวันกล้าถูกเนื้อต้องตัวกันเสียแล้ว องค์ชายใหญ่ผู้นี้มิได้เรียนรู้ว่า บุรุษสตรีไม่ควรใกล้ชิดหรือไร แต่พอนึกได้ว่าร่างนี้อายุเพียงห้าขวบปี หาใช่สตรีวัยแรกแย้มไม่ บุรุษใดจะมาคิดอกุศลได้เล่า เหมยกุ้ยฮวาจึงผ่อนอาการเกร็งลง ปล่อยให้บุรุษรูปงามโอบกอด 'ที่ว่าท่านในใจขออภัยด้วยแล้วกัน'
"นี่ไม่ถูกต้อง" กู่จางเหว่ย นิ่วหน้า มองการกระทำของ จ้าวหลี่จิ้นอย่างไม่ยินยอม
"ใช่ๆ นี่ไม่ถูกต้อง องค์ชายใหญ่ พระองค์จะมั่งมีสักเพียงใด ก็ไม่ควรใช้เงินล่อลวงน้องสาวของกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ" กู่หวังเหว่ยเอ่ยค้านขึ้นบ้าง เขาเป็นถึงบุตรชายแม่ทัพคู่บัลลังก์ จะยอมให้ใครมาล่อลวงน้องสาวเพียงคนเดียวของเขามิได้ ถึงจะเป็นองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นฉิน ก็ไม่เว้น
"เสี่ยวหวัง ใช่เรื่องนี้ที่ไหนเล่า!!!" กู่จางเหว่ยหงุดหงิดความไม่รู้ของน้องชาย แต่เขาอายุเพียงสิบสาม จะรู้ความได้อย่างไร
กู่หวังเหว่ยนิ่วหน้า เขาทำสิ่งใดผิดรึ
"องค์ชายใหญ่ โปรดปล่อยน้องสาวของกระหม่อม" เสียงของกู่จางเหว่ยมีแววขุ่นเคือง ท่าทีแข็งกร้าว แผ่กลิ่นอายสังหารกระจายกดดัน
"หืม" กู่จางเหว่ยแสดงกิริยาชัดเจนจน จ้าวหลี่จิ้น แปลกใจ เขาเพียงอุ้มและโอบกอด ฮวาเอ๋อ ไยจางเหว่ยต้องโกรธถึงเพียงนี้
"องค์ชายใหญ่!!!" กู่จางเหว่ยกดเสียงต่ำ ความหวงน้องสาวถูกกระตุ้น จนความอดทนของเขาต่ำลงอย่างน่าประหลาด
จ้าวหลี่จิ้น ส่ายศีรษะคล้ายระอาใจเหลือแสน ใช้สองมืออุ้มเหมยกุ้ยฮวา ที่ทำหน้า งงๆ ขึ้นก่อนวางนางลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ หันไปถาม กู่จางเหว่ย "จางเหว่ยเจ้ากำลังทำอะไร ล่วงเกินเชื้อพระวงศ์ มีโทษสถานใด รู้หรือไม่" จ้าวหลี่จิ้น เอ่ยอย่างตำหนิแต่ดวงตาคล้ายไม่ตำหนิ ส่อแววหยอกล้อเสียหกถึงเจ็ดส่วน
กู่หวังเหว่ยตกใจคำขู่ เอื้อมมือไปกระตุกแขนเสื้อของกู่จางเหว่ย อย่างร้อนรน "พี่ใหญ่ท่านเป็นอะไรไป รีบขอรับโทษเสียก่อนที่องค์ชายใหญ่จะโกรธท่านขึ้นมาจริงๆ เร็วสิพี่ใหญ่"
กู่จางเหว่ยดึงเสื้อออกจากมือน้องชาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเกินอายุว่า "บุรุษ มิควรใกล้ชิดสตรี ข้าเพียงเตือนองค์ชายใหญ่ด้วยความหวังดี จะกลายเป็นการล่วงเกินไปได้เยี่ยงใด"
พรืด!!! เหมยกุ้ยฮวาหลุดขำ 'พี่ใหญ่...ท่านหวงน้องตัวน้อยอย่างข้ามากไปแล้ว'
"ไยข้าจึงคิดไม่ถึงเรื่องนี้นะ" กู่หวังเหว่ยพึมพำ
จ้าวหลี่จิ้นเอื้อมมือไปตบไหล่ กู่จางเหว่ยเบาๆ ทำสีหน้าเข้าอกเข้าใจ มีน้องสาวน่ารักถึงเพียงนี้ หากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คนตะกูลกู่มาเข้าใกล้ฮวาเอ๋อ เขาก็คงยอมไม่ได้เช่นกัน
"อย่างนี้ดีหรือไม่ ข้ารับฮวาเอ๋อเป็นน้องสาวบุญธรรมแล้วกัน" จ้าวหลี่จิ้นยกยิ้มภาคภูมิใจ ในความคิดของตัวเอง
"ไม่!!!" กู่จางเหว่ยว่า
"ดี!!!" กู่หวังเหว่ยพูด
เสียงของทั้งสองดังขึ้นพร้อมกัน ต่างฝ่ายต่างหันหน้าเข้าหากันชี้นิ้วขึ้นตรงหน้าอีกฝ่าย
"เสี่ยวหวัง!!!"
"พี่ใหญ่...ท่าน!!!"
แล้วก็สะบัดแขนหมุนหันหลังให้กันเสียอย่างนั้น
เรื่องบานปลายใหญ่โตเช่นนี้ได้อย่างไร เหมยกุ้ยฮวา ยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง อย่างจนใจ แล้วใครจะแก้สถานการณ์ตอนนี้ได้ ถ้าไม่ใช่นาง
เหมยกุ้ยฮวาวางขลุ่ยลงบนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ตัวเดิม เพื่อให้มีความสูงมากพอจะมองหน้าพี่ชายทั้งสามคน ยกมือเล็กป้อมขึ้นปรบ ๓ ครั้งเพื่อเรียกความสนใจ
พลางคิดวิธี จะสื่อสารอย่างไรดีให้พวกเขาเข้าใจ ทำมือเป็นรูป OK พวกเขาจะเข้าใจหรือไม่ เขียนอักษรลงบนมือพวกเขาได้หรือไม่ ฮวาเอ๋ออายุเพียง ๕ ปี เรียนเขียนอักษรแล้วหรือยัง ถ้ายัง? ไม่ได้สิ... ภาษามือเล่า ยุคนี้มีภาษามือหรือยังนะ ตายๆ จะทำอย่างไรดี บรรพบุรุษท่านโหดร้ายกับข้าผู้ปกป้องสกุลเกินไปแล้ว
พี่ชายทั้งสามคนมองฮวาเอ๋อที่กลอกตาไปมา เดี๋ยวส่ายหน้า เดี๋ยวคิ้วขมวด ด้วยความเอ็นดู ท่าทางประหลาด แต่ดูน่ารักน่าสนใจอย่างบอกไม่ถูก
ในที่สุด เหมยกุ้ยฮวาก็คิดวิธีได้ แต่ใช้ได้จริงหรือไม่ต้องลองดู
นางตั้งใจปรับท่าทางให้ดูน่าเชื่อถือ ยืดตัวตรงผายอกผึ่งไหล่ แต่ลืมคิดไปว่าเด็กอายุ ๕ ปี จะน่าเชื่อถือได้ซักเท่าใดกัน
ท่ามกลางสายตา ๓ คู่ มือเล็กเริ่มชี้ที่ตัวเอง ก่อนจะเอื้อมไปจับมือของ จ้าวหลี่จิ้นขึ้นมาเกี่ยวนิ้วก้อยของเขากับนิ้วก้อยเล็กจิ๋วของนางไว้ด้วยกัน พี่ชายทั้งสามยังคงไม่เข้าใจ แต่เหมยกุ้ยฮวาไม่ละความพยายาม นางยกมือขึ้นชี้ที่ จ้าวหลี่จิ้น ก่อนครั้งหนึ่ง แล้วหันไปทางพี่ชายทั้งสอง ดวงตารูปเมล็ดซิ่งหรี่ลงส่อแววเจ้าเล่ห์ มุมปากยกขึ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม มือเล็กยกขึ้นตรงหน้า ใช้นิ้วโป้งถูปลายนิ้วทั้งสี่ไปมา อีกมือตบลงบนบริเวณถุงเงินที่ห้อยอยู่ตรงเอว เท่านั้นแหละ ทั้งสามคนตรงหน้าถึงเข้าใจ ประสานเสียงหัวเราะพร้อมกันอีกครั้ง ฮ่าฮ่าฮ่า!!!
"เจ้ามันร้ายเกินไปแล้ว!!! ฮ่าฮ่าฮ่า" กู่จางเหว่ยว่า
"เจ้านี่...มัน!!! ฮ่าฮ่าฮ่า" กู่หวังเว่ยนึกหาคำมาเปรียบน้องสาวไม่ได้ ได้แต่หัวเราะอีกครั้ง
"ดี!!! จากนี้ กู่เหมยฮวา เจ้าเป็นน้องสาวบุญธรรมของข้า ใครที่ทำร้ายเจ้าก็ถือว่าทำร้ายข้าด้วย แล้วข้าจะซื้อของให้เจ้าบ่อยๆ ดีหรือไม่" จ้าวหลี่จิ้นตัดบท รวบรัด ไม่ให้ใครกล่าวปฏิเสธอีก มีน้องสาวน่ารักถึงเพียงนี้เขาดีใจนัก
เหมยกุ้ยฮวาพยักหน้าติดกันหลายครั้ง ในใจโห่ร้องด้วยความยินดี 'พี่ชายบุญธรรมที่รัก ท่านต้องหมดตัวเพราะข้าแน่ๆ' จะใช้ชีวิตให้ดีก็ต้องมีเงินให้มากนี่ แล้วใครจะให้นางปอกลอกได้ดีไปกว่าองค์ชายใหญ่ผู้นี้เล่า
ท้องพระโรงแห่งแคว้นฉิน ยังคงเต็มไปด้วยขุนนางราชสำนัก
แม้ผ่านมาหลายวันแล้ว หากแต่โทสะของฮ่องเต้ยังไม่ลดลงแม้แต่น้อย ฎีกาขอลาออกของแม่ทัพกู่จางหย่งยังคงส่งเข้ามาในวังหลวงไม่หยุด
"นี่มันฉบับที่ ๒๘ แล้ว...แล้วนี่...นี่ ตราแม่ทัพ บังอาจคืนตราแม่ทัพ กู่จางหย่ง ยังเห็นเราอยู่ในสายตาหรือไม่!!!"
จ้าวฉงเจินยกมือขึ้นคลึงขมับ เรื่องที่หวังกงกงสืบรู้มา ทำเขาปวดหัวยิ่งนัก มีใครไม่รู้บ้างว่า กู่จางหย่งรักใคร่เอ็นดูบุตรียิ่งกว่าผู้ใด น้ำหนักในใจบุตรชายทั้งสองยังเทียบไม่ได้แม้แต่น้อย ด้วยหน้าตาของบุตรีคนเล็กนั้น ละม้ายคล้ายผู้เป็นมารดาแปดถึงเก้าส่วน นี่นางถูกทำร้ายถึงกับสติเลอะเลือน ด้วยนิสัยของจางหย่งเขาต้องดึงดันจนถึงที่สุดเป็นแน่
เป็นอีกวันที่การประชุมขุนนางถูกยกเลิกอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครสู้พระพักตร์ฮ่องเต้ได้แม้เพียงสักคน
"หวังกงกง เหตุใดเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ จางหย่งจึงไม่มาหาข้า ไยเขาจึงใช้วิธีบีบคั้นข้าเช่นนี้ ช่างน่าตายนัก!!!" จ้าวจงเฉินกล่าวอย่างฉุนเฉียว
"ฝ่าบาท...ขอฝ่าบาทอย่างทรงกริ้ว ความโกรธจะทำร้ายพระวรกายนะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท" หวังกงกงเอ่ยด้วยความเป็นห่วง
"เขาไม่มาหาข้า ต้องเป็นข้าที่เป็นฝ่ายไปหาเขาใช่หรือไม่" แม้จะโกรธกู่จางหย่งอยู่บ้างที่เลือกใช้วิธีเช่นนี้ แต่เพราะความเป็นสหาย และด้วยรู้จักกันเป็นอย่างดี จึงรู้ว่าคราวนี้ กู่จางหย่งไม่มีทางยอมถอยแล้วจริงๆ เขาจึงต้องยอมถอยเสียเอง
"ถึงอย่างไรทรงฟังเหตุผลของแม่ทัพกู่ก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเชื่อว่าแม่ทัพกู่ไม่มีเจตนาบีบบังคับพระองค์"
หวังกงกงรู้จักทั้งสองฝ่ายดี และเชื่อว่าความเป็นสหายนี้ไม่มีวันตัดกันขาด
"หวังกงกง นำชุดมาเปลี่ยนให้ข้า ข้าจะไปหาเจ้าคนน่าตายนั่น ไปถามดูสิว่า ขวัญกล้าเทียมฟ้าหรือไร จึงบังอาจคืนตราแม่ทัพมาให้ข้า!!!" ถึงจะกล่าวคำรุนแรงออกไป แต่บนพระพักตร์ของฮ่องเต้กลับผุดรอยยิ้ม นานเท่าใดแล้วที่เขาไม่ได้ออกไปนอกวังหลวง
"รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ" หวังกงกงรีบรับคำ แล้วทำตามรับสั่งอย่างรวดเร็ว ระหว่างสองคนนี้ คนหนึ่งดื้อดึงเช่นใด อีกคนหนึ่งก็ปากแข็งเช่นนั้น เป็นเรื่องให้คนกลางอย่างเขาปวดหัวยิ่งนัก