เป็นที่โปรดปรานจนล่ำลือ (1)

1768 คำ
ผ่านการยกเลิกสมรสพระราชทานมาเข้าสองเดือนแล้ว กู่จางหย่งกลับเข้าประชุมขุนนางตามปกติ ต่างฝ่ายต่างทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจอันใดเกิดขึ้น ฮ่องเต้ยังคงว่าราชกิจด้วยความเอาใจใส่ และคำนึงถึงประโยชน์สุขของราษฎรเป็นหลัก ส่วนแม่ทัพกู่ ก็สอดส่องดูแลความสงบสุขทั้งในเมืองหลวงและชายแดนอย่างแข็งขัน บรรดาเสนาบดี ข้าราชสำนัก ต่างไม่มีใครกล้าเอ่ยเรื่องฎีกา หรือเรื่องที่กู่จางหย่งคืนตราแม่ทัพอีก ด้วยเห็นพ้องต้องกันว่า นอกจากฮ่องเต้จะไม่ทรงลงโทษแล้วยังส่งของปลอบขวัญไปยังจวนแม่ทัพ แม้ไม่รู้ว่ามีเหตุใดเกิดขึ้นบ้าง หากไม่โง่งมจนเกินไป ย่อมคิดได้ว่า แม่ทัพกู่ กู่จางหย่งผู้นี้ มีน้ำหนักในใจของฮ่องเต้มากเพียงใด ยังจะมีใครกล้าเสนอหน้าเอาผิดเขาได้อีกเล่า เรื่องราวครั้งนี้สำหรับคนอื่นถือเป็นเรื่องเล็ก หากกู่จางหย่งจะมีหน้าตาขึ้นมาบ้างก็ไม่ได้ส่งผลใดๆ กับพวกเขา แต่กับเสนาบดีจาง ต่างกันออกไป  เสนาบดี จางชงหยวน เป็นพระสสุระ (พ่อตา) ของฮ่องเต้ฉงเจิน ตาเฒ่าผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในราชสำนัก แต่เดิมที่มีพรรคพวกมากมายอยู่แล้วด้วยเป็นคนสกุลใหญ่ และสืบทอดตำแหน่งมาหลายชั่วอายุคน พอได้เป็นพระสสุระ ของจ้าวฉงเจิน ก็กำเริบเสิบสานแผ่บารมีจนมีคนมาเข้าพวกเพิ่มขึ้นอีก จนเรียกได้ว่า ขุนนางฝ่ายบุ๋น ไม่มีใครกล้ายืนฝั่งตรงข้ามกับเสนาบดีจางผู้นี้แม้เพียงคนเดียว  และเพราะการขึ้นครองราชย์ต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากขุนนางในราชสำนัก เพื่อให้ครองบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง จ้าวฉงเจินจึงจำเป็นต้องแต่งตั้ง จางเหม่ยลี่ ขึ้นเป็นฮองเฮา ทั้งที่มีใจรักมั่นคงอยู่กับ หม่าเมิ่งเจี๋ย ก็ทำได้เพียงแต่งตั้งนางผู้เป็นที่รักให้เป็น กุ้ยเฟย เท่านั้น และไม่สามารถแสดงความรักที่มีออกไปได้ทั้งหมดเพราะภายในวังหลังนั้น ผู้เป็นที่รัก มักมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน เป็นเรื่องที่ จ้าวฉงเจินรู้สึกผิดต่อหม่ากุ้ยเฟยมาตลอด ลี่ไทเฮา พระมารดาของฮ่องเต้ฉงเจิน ที่ทรงรับรู้เรื่องราวมาโดยตลอดจึงเอ็นดู หม่ากุ้ยเฟ้ย และ จ้าวหลี่จิ้น มากกว่าผู้อื่น จางฮองเฮา หรือ จางเหม่ยลี่ บุตรีของจางชงหยวน ผู้เกิดจากเอกภริยาจางฮูหยิน สามารถขึ้นครองตำแหน่งฮองเฮาได้ด้วยอำนาจของตระกูล ทว่าไม่ได้รับความรัก ซ้ำยังให้กำเหนิดทายาทมังกร หลัง หม่ากุ้ยเฟย เสียอีก ทำให้ต้องเสียตำแหน่งองค์ชายใหญ่ให้กับ จ้าวหลี่จิ้น ส่วน จ้าวหลี่เฉียง บุตรชายของนางเป็นได้เพียง องค์ชายรอง ไฟริษยารุมเร้าจนอกนางแทบมอดไหม้ พยายามกำจัดหม่ากุ้ยเฟยและจ้าวหลีจิ้น แต่ก็ไม่สำเร็จเสียที เพราะหม่ากุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานของ ไทเฮา ด้วยเป็นคนเก็บตัว รู้กาลเทศะ เจียมเนื้อเจียมตัว แต่ทุกการกระทำของนางล้วนถูกจางฮองเฮาตีความว่าเสแสร้ง มารยา ทำเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานเพียงเท่านั้น ทั้งรอจนตอนนี้องค์ชายรอง จ้าวหลี่เฉียงอายุได้ ๑๖ ปีแล้ว ฮ่องเต้ก็ยังทรงไม่แต่งตั้งองค์รัชทายาท พยายามบ่ายเบี่ยงทุกครั้งที่มีคนกล่าวถึง แล้วนางจะทนนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร ไม่ได้รับความรักแล้วอย่างไร นางหาได้ใส่ใจไม่ ขอเพียงนางมีอำนาจ หม่ากุ้ยเฟย ก็จะได้รับผลตอบแทนที่ทำให้นางต้องทนอกไหม้ไส้ขมมานานถึงเพียงนี้  เดิมทีเสนาบดีจางวางแผนให้จางฮองเฮาทูลขอสมรสพระราชทาน ให้ จางหลีหลิว แต่งกับ กู่จางหย่ง หวังจะใช้ความสัมพันธ์นี้สร้างความมั่นคง บีบคั้นให้จ้าวฉงเจินแต่งตั้ง จ้าวหลีเหว่ย ขึ้นเป็นรัชทายาท ใครเลยจะคิดว่า จางหลีหลิวจะสร้างเรื่อง ทำร้ายบุตรีของกู่จางหย่งจนเป็นบ้า ซ้ำยังกลายเป็นใบ้พูดไม่ได้ ฮ่องเต้ฉงเจินโกรธจนลงโทษจางหลีหลิวให้แต่งงานออกไปกับเจ้าเมืองชายแดนที่ยากจนคนหนึ่ง ไม่ให้กลับเข้าเมืองหลวงอีก จางฮองเฮาจำต้องส่งของมีค่าเพื่อปลอบขวัญไปจวนแม่ทัพเป็นการรักษาหน้าตา และแสดงความรู้สึกผิดเพื่อไม่ให้ฮ่องเต้ทรงมีข้ออ้างมาตำหนินางได้ พวกเขาเสียแผน เสียการใหญ่ เพราะความเอาแต่ใจของจางหลีหลิวโดยแท้ ถึงกล่าวว่า แม้เปียจะยาวแต่ก็ไม่สามารถใช้ฟาดท้องม้าได้ ล้วนเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด พวกเขาประเมิน จางหลีหลิว สูงเกินไป ถูกเลี้ยงดูมาเยี่ยงคุณหนู แต่ไม่รู้จักที่หนักที่เบา  ฮ่องเต้ฉงเจินมิได้วางใจว่าเสนาบดีจาง และจางฮองเฮาจะยอมรามือโดยง่าย เมื่อเสียหมากตัวสำคัญอย่าง กู่จางหย่งไป ไม่ช้าก็เร็วฝ่ายนั้นย่อมต้องคิดแผนใหม่ขึ้นมาเป็นแน่ คราวนี้ไม่รู้ว่าจะพุ่งเป้าไปที่ผู้ใด เขาจำต้องหาทางป้องกัน  ทุกวันฮ่องเต้ฉงเจินจะเรียกให้ กู่จางหย่ง อยู่ปรึกษาข้อราชการเป็นการส่วนตัว โดยอ้างเรื่องความไม่สงบภายในของแคว้นใกล้เคียง แท้จริงแล้วกำลังวางแผนรับมือกับฝ่ายตรงข้าม อย่างตระกูลจาง กู่จางหย่งไม่สามารถปฏิเสธคำขอของจ้าวฉงเจินได้ แต่ก็ไม่สามารถละทิ้งบุตรีให้อยู่ที่จวนเพียงลำพังได้เช่นกัน ทุกวันเขาจึงต้องพา กู่เหมยฮวา เข้าวังมาด้วย ฝากให้กงกง และนางกำนัลของฮ่องเต้ช่วยดูแล กู่เหมยฮวายังคงไม่พูด แต่อาการเหม่อลอยน้อยลงมาก นับว่าอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว สร้างความปีติให้กับกู่จางหย่งยิ่งนัก  เมื่อไม่ต้องอยู่คนเดียวเหงาๆ ที่จวน กู่เหมยฮวา ก็รู้สึกดีขึ้นมาก พักการขบคิดเรื่องคำสั่งของบรรพบุรุษเอาไว้ก่อน ก็นะ...ตอนนี้นางอายุเพียงห้าขวบ จะทำอะไรไปได้มากกว่านี้ มิสู้อยู่อย่างมีความสุข สนุกให้สมกับวัย การได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ช่างเป็นความสุขอย่างที่สุดจริงๆ  ในวังหลวงมีอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจมากกว่าที่จวนแม่ทัพหลายอย่าง นางกำนัลล้วนหน้าตาจิ้มลิ้มงดงาม กงกงฝึกหัดที่ดูแลกู่เหมยฮวา ใจดี และก็ตามใจเธออย่างมาก แต่กฎระเบียบในวังหลวงก็มีมากเกินไป เธอยังถูกจำกัดที่ทางให้เดินไปมาอยู่ได้เพียงบริเวณ ตำหนักเทียนหลง (มังกรสวรรค์) เท่านั้น ไม่สามารถเดินเที่ยวเล่นสะเปะสะปะได้ตามใจ  ความไร้เดียงสาที่หาได้ยากในวังหลวง รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะของเด็กอย่าง กู่เหมยฮวา ทำให้ตำหนักเทียนหลงชีวิตชีวาขึ้นอย่างมาก จนเป็นที่พูดถึงทั่ววังหลังนางกำนัลหลายตำหนักจะหาเวลาแวะมาเล่นกับ บุตรีของแม่ทัพกู่ ไม่เว้นแม้กระทั่งนางกำนัลของตำหนักปิงจิ้งเหอ (แม่น้ำที่เงียบสงบ) ของไทเฮา  ไทเฮาจึงมีรับสั่งให้ กู่เหมยฮวา เข้าเฝ้า โดยส่งกงกงคนสนิทไปแจ้งกับแม่ทัพกู่ ที่ตำหนักเทียนหลง ให้พาบุตรีมาเข้าเฝ้าในวันรุ่งขึ้น กู่จางหย่งน้อมรับพระเสาวนีย์ ด้วยความลำบากใจ ฮวาเอ๋อของเขาอายุเพียง ๕ ปี ยังไม่รู้ความ ซ้ำตอนนี้ยังพูดไม่ได้ เรื่องพิธีการในวังยิ่งน่าเป็นห่วง หากทำอะไรผิดไป มิหมายถึงชีวิตของคนตระกูลกู่ทั้งหมดหรอกหรือ หากฮวาเอ๋อไม่ต้องเข้าวังก็ไม่เป็นเช่นนี้ กล่าวได้ว่า... ฮ่องเต้ทรงเมตตาหรือ...ตอบว่าใช่ ฮ่องเต้ทรงใจแคบหรือ...นั่นก็ใช่ จ้าวฉงเจินทรงเป็นฮ่องเต้ที่เมตตาอย่างใจแคบที่สุด สามารถใช้ประโยชน์จากเขาอีกจนได้ แต่เขาหากล่าวโทษพระองค์ได้ไม่ ทั้งหมดต้องโทษตระกูลจางแล้ว หากเพราะฝ่ายนั้นไม่หวังตำแหน่งรัชทายาท วางแผนใช้เขาเป็นหมากในกระดาน เขาคงไม่ต้องมากลืนไม่เข้าคายไม่ออก อยู่เช่นนี้ ฮ่องเต้ฉงเจิน ทรงยกเลิกราชโองการ แม้พูดว่าเป็นการคืนความเป็นธรรมให้กับฮวาเอ๋อ แต่ก็ไม่ต่างกับการใช้เหตุการณ์นี้มาบังคับให้เขาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจางฮองเฮาอย่างเลี่ยงไม่ได้  "เสด็จแม่ทรงโปรดเด็กผู้หญิงนัก นานแล้วที่ที่นี่ไม่ได้มีเด็กเล็กๆ ฮวาเอ๋อ...บุตรีของเจ้า น่ารักน่าเอ็นดูจนเป็นที่พูดถึงไปทั่ววังหลวง เสด็จแม่คงอยากเห็นนางเพียงเท่านั้น เจ้าเองก็อย่าได้เป็นกังวลให้มากนัก"  ฮ่องเต้ฉงเจิน กล่าวปลอบใจ กู่จางหย่ง เมื่อเห็นว่าเขามีอาการกระวนกระวายใจจนเกินเหตุ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่สุขุมเยือกเย็นอยู่เสมอ และผ่านสงครามมานับไม่ถ้วนอย่างแม่ทัพกู่ จะหวาดหวั่นด้วยเรื่องเพียงแค่นี้ "พระองค์จะทรงรู้อะไร" คำพูดสั้นๆ ที่กู่จางหย่งพูดกับฮ่องเต้ฉงเจิน ก่อนจะเดินออกจากตำหนักไปโดยไม่ทำความเคารพ หรือบอกลา "เจ้าคนน่าตายนี่!!! หวังกงกงเราใจดีกับเขามากไปใช่หรือไม่" ฮ่องเต้ฉงเจิน ทั้งขันทั้งฉิว พอเป็นเรื่องของบุตรี กู่จางหย่งจะเผยท่าทางที่ไม่เคยเห็นออกมา "ทูลฝ่าบาท...แม่ทัพกู่เพียงเป็นห่วงบุตรีพ่ะย่ะค่ะ" หวังกงกงเอ่ยแก้ตัวให้ ด้วยรู้ว่า นายเหนือหัวมิได้โกรธสหายอย่างจริงจัง "เราว่าเป็นเพราะเจ้าคอยเข้าแก้ต่างแทนเขา เราถึงได้ไม่จัดการกับเขาอย่างจริงจังเสียที"  จ้าวฉงเจินพูดโดยไม่ละสายตาจากฎีกาในมือ  "ฝ่าบาท!!!" หวังกงกง รีบคุกเข่าลง นี่มิใช่ถูกกล่าวหาว่าเอาใจออกหากจากนายเหนือหัวหรอกหรือ ข้อกล่าวหาเช่นนี้เขารับไม่ไหวจริงๆ  "หวังเฉิงฉี เจ้าต้องรู้จักมีอารมณ์ขันเสียบ้าง ฮ่าฮ่าฮ่า!!!" ฮ่องเต้ฉงเจินวางฎีกาในมือลง ลุกขึ้นเดินแล้วก้าวออกจากตำหนักไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ  หวังเฉิงฉี เป็นชื่อของหวังกงกง ไม่มีใครเรียกชื่อเขามานานมากแล้ว ครั้งนี้ฮ่องเต้ฉงเจินทรงพระเกษมสำราญกับความทุกข์เขาผู้เฒ่ามากเกินไปแล้วจริงๆ เพียงได้แต่คิดแต่มิอาจเอ่ยออกไปได้ หวังกงกงทำได้เพียงปาดน้ำตาแล้วรีบตามเสด็จออกไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม