2.2 หัวขโมย

1956 คำ
ถามจบก็เลื่อนสายตาจากพี่เอ็นมามองฉันไม่วางตา น้ำเสียงราบเรียบผิดจากเสียงโวยวายเมื่อครู่นี้ลิบลับ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้อย่างรวดเร็วจนทำให้ฉันหมั่นไส้ขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ หึ! นี่แหละผู้ชาย! “นายเข้าใจถูกแล้ว เธอคือควีนของแก๊งเรา ทำความรู้จักกันไว้สิ อีกหน่อยคงได้เจอกันบ่อยๆ” ว่าแล้วพี่เอ็นก็ตบไหล่ฉันอีกคน พร้อมกับมองแกมบังคับให้เราแตะมือกัน แต่มีหรือที่ฉันจะยอม “ฉันจะกลับบ้าน!” ฉันมองหน้าพี่ชายทั้งสองด้วยสีหน้าหงุดหงิด ขณะที่นายโฮมนั่นเอาแต่บ่นงึมงำว่า ‘ยัยหัวขโมยจอมโหดเป็นน้องของคิง’ จนฉันเริ่มรำคาญ ‘ทำไม เป็นน้องคิงแล้วมันมีปัญหาอะไรตรงไหน’ ฉันอยากจะตอกคำพูดนี้ใส่หน้าหมอนั่นเสียเหลือเกิน แต่ถ้าฉันทำแบบนั้นออกไป พวกพี่ๆ ทั้งสองต้องรู้แน่ว่าฉันผิดปกติ เพราะที่ผ่านมาฉันมักจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เสมอ เรื่องพูดมากนี่แทบจะไม่จำเป็นเลย แค่เปรยตามองนิ่งๆ คนก็หลีกฉันกันหมดแล้ว ในที่สุดพวกพี่ชายทั้งสองก็ยอมพาฉันกลับมาที่บ้านแต่โดยดี แล้วคำถามแรกก็พุ่งตรงออกมาจากปากพี่ชายคนโตของฉันทันทีที่มาถึง ก้นของฉันยังไม่ทันหย่อนลงบนโซฟาด้วยซ้ำ “เธอไปทำอีท่าไหนถึงได้ไปชกต่อยกับโฮมได้ล่ะอัณ” “หมอนั่นหาว่าฉันไปขโมยกุญแจบ้านของเขา” ตอบพลางดื่มน้ำที่พี่อินส่งให้รวดเดียวจนหมดขวด จากนั้นก็ปามันลงถังขยะรีไซเคิลอย่างแม่นยำ ถึงฉันจะดูไม่แคร์โลก แต่จริงๆ แล้วฉันเป็นคนรักโลกมากนะ ที่ทุกวันนี้มันร้อนก็เพราะพวกเราไม่ใส่ใจกัน ตอนพี่เอ็นเห็นค่าไฟแต่ละเดือนนี่บ่นไปสามวันแปดวันเลยก็มี “แล้วเธอขโมยไปจริงหรือเปล่า” ที่อินที่นั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ ถามเสียงเรียบ และนั่นทำให้ความหงุดหงิดของฉันเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้งทั้งๆ ที่เพิ่งจะดับมันไปแท้ๆ “นี่พี่เอาอะไรคิดน่ะ ฉันจะเอากุญแจบ้านเขามาทำไม บ้านเขาอยู่ไหนก็ไม่รู้! พี่อย่าถามเหมือนไม่รู้จักฉันดีได้ไหม” “แต่พี่ก็รู้จักนิสัยของโฮมดีนะ ถ้าไม่มีหลักฐานจริงๆ เขาคงไม่ปรักปรำคนส่งเดชหรอก” “หึ! ตกลงว่าพวกพี่ไม่เชื่อฉันเลยสินะ พวกพี่รู้จักฉันมาตั้งกี่ปี....แล้วรู้จักผู้ชายที่ชื่อโฮมนั่นกี่ปี!” ฉันพูดอย่างใส่อารมณ์ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเผลอตวาดพี่ชายทั้งสองคนไปเสียแล้ว “O_O” หน้าพี่เอ็น “-_-++” หน้าพี่อินที่ไม่ค่อยพอใจกับท่าทางแข็งกร้าวของฉัน “ขอโทษที...อัณขอตัวก่อน” ฉันพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก็เดินปึงปังขึ้นไปบนห้องนอนของตนเอง ตุบๆๆๆๆ! พอได้จัดการระบายเรื่องที่อัดแน่นอยู่ในใจออกไปแบบไม่ยั้ง หมอนที่น่าสงสารก็อยู่ในสภาพยับยู่ยี่ อารมณ์คขุ่นเคืองก็ลดลงตามลำดับ ตอนนี้ฉันเลยใช้พลังงานที่เหลืออยู่ในการนอนกลิ้งเล่นบนเตียงของตนเองแทน “เฮ้อ! คิดถึงพี่แอนจัง ที่บ้านตอนนี้เหลือแต่พวกผู้ชาย รู้สึกว่าขาดพรรคพวกยังไงก็ไม่รู้” บ่นแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เลือกเบอร์พี่สาวคนโตของครอบครัวก่อนจะกดโทรฯ หาด้วยความรู้สึก...เหงา ‘ไงจ๊ะอัณน้องรัก นึกยังไงถึงได้โทรมาหาพี่ละเนี่ย’ น้ำเสียงสดใสจากปลายสายทำให้ฉันรับรู้ถึงความชื้นที่ขอบตา พี่แอน อัณเหนื่อยจังเลย... “พี่แอน” แค่ได้ยินเสียงพี่สาวก็ทำเอาฉันแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว แต่ฉันรู้ดีว่าไม่ควรจะแสดงความอ่อนแอ เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองมันน่าสมเพชสิ้นดี หลังจากพี่แอน แอนทีรา มาเอดะ เรียนจบชั้นมัธยมปลายไปเมื่อสองปีก่อน พี่เขาก็ย้ายไปเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่จังหวัดเชียงใหม่ และทิ้งฉันเอาไว้ที่นี่...กับผู้ชายอีกเป็นโขยง! ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจ แต่จะทำยังไงได้ เขาก็มีอนาคตของเขา ‘อ้าว! อัณเป็นอะไรไป ทำไมเสียงถึงสั่นๆ แบบนี้ละ’ พี่แอนดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด นานแล้วที่พวกเราไม่ได้คุยกัน พอฉันโทรฯ หาก็มีอาการแบบนี้ ไม่แปลกหรอกที่พี่แอนจะตกใจ “อัณแค่...คิดถึงพี่ ทำไมพี่ไม่กลับมาเยี่ยมอัณบ้างเลย หรือให้อัณย้ายไปอยู่ด้วยก็ได้ อัณเหงา ที่นี่ไม่มีใครเข้าใจอันเลย” ฉันรัวเป็นชุดก่อนจะนึกถึงวันที่แม่เสียชีวิตที่โรงพยาบาลเมื่อสิบปีก่อน และความอ้างว้างนั้นมันกำลังจะกลับมาทำร้ายฉันอีกครั้ง ‘อัณ ใจเย็นๆ ก่อนนะ ช่วงนี้พี่ติดเรียนและงานชมรม ค่ายอาสาหลายอย่าง น้องสาวของพี่ปกติเป็นคนเข้มแข็งจะตาย ใครมาทำให้เรากลายเป็นแบบนี้’ พี่แอนถามกลับมาด้วยน้ำเสียงห่วงใย และนั่นทำให้ฉันเปิดปากบอกเรื่องที่ฉันเลิกกับคอนโทรล และเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฟังโดยไม่คิดปิดบังเลยสักนิดเดียว ไม่รู้สิ กับคนอื่นมันอาจจะพูดยาก แต่กับพี่แอน ปากที่เคยหนักอึ้งของฉันก็พูดได้อย่างลื่นไหล พอเป็นอย่างนี้แล้วฉันก็ยิ่งคิดถึงพี่แอนมากขึ้นไปอีก พอได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นในใจไปจนเกลี้ยง ฉันก็รู้สึกผ่อนคลายและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่น่าละพวกผู้หญิงส่วนใหญ่ถึงชอบเล่านู่นเล่านี่ให้เพื่อนฟัง เพราะมันจะช่วยผ่อนคลายความเครียดที่เก็บกดอยู่ในใจออกไปนั่นเอง ก็นะ...บางครั้งฉันก็เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ไร้สาระ สู้เอาเวลาไปยิงธนูหรือฝึกยูโดยังมีประโยชน์มากกว่า แต่สงสัย ครั้งนี้คงต้องยกเว้นไว้สักครั้ง เพราะมันรู้สึกดีมากจริงๆ ‘หน็อย! คนอย่างคอนโทรลน่ะ เลิกๆ ไปน่ะดีแล้ว อัณไม่ต้องไปเสียใจหรือเสียน้ำตาให้คนพรรคนั้นหรอก น้ำตาเรามีค่ามากกว่านั้นเยอะ! ส่วนเจ้าน้องชายตัวแสบสองคนนั่น ฉันคงต้องโทรฯ ไปจัดการหน่อยแล้ว ไม่อยากเชื่อว่าพวกเขาจะกล้าดึงน้อยสาวที่แสนบอบบางของฉันไปอยู่แก๊งอันตพาลก๊อกแก๊กของพวกมันด้วย!’ น้ำเสียงฉุนเฉียวของพี่แอนทำให้ฉันเผลอใช้น้ำเสียงสุภาพขึ้นมาโดยอัตโนมัติ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่แอน แค่พี่โทรฯ มาหาอัณบ่อยๆ ก็พอแล้ว” บอกตามตรง พอพี่แอนพูดแบบนี้ทำให้ฉันนึกเสียวแทนพี่ชายทั้งสอง ถึงฉันจะรู้ว่าพวกเขาถึกทนแต่พี่แอนมันคือสิ่งมีชีวิตที่ค่อนข้างพิเศษ ปกติแล้วพี่แอนเป็นคนที่น่ารัก ร่าเริง จริงใจจนถึงที่สุดและสดใสอยู่เสมอ แต่เพราะนานๆ ครั้งพี่แอนจะโมโห พอโมโหขึ้นมาทีคือดีกรีความโหดยิ่งกว่าฉันตั้งไม่รู้กี่เท่า ชนิดที่ว่า...พี่อินที่นิ่งแบบนั้นถึงกับร้องเสียงดังอย่างกับโดนไฟช็อตได้ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาทีที่พวกเขาคุยกัน แค่คิดย้อนภาพอดีตในวันวานก็สยองไม่หาย ‘ไม่เป็นไรจ่ะอัณ ไว้พี่จะโทรฯ หาบ่อยๆน้า แต่ตอนนี้พี่คงต้องโทรฯ ไปจัดการเจ้าสองตัวนั่นก่อน แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ’ “ดะ...เดี๋ยว!” ตู๊ดๆๆๆ ตู๊ดๆๆๆ พี่แอนตัดสายไปแล้ว โดยที่ฉันยังคงนิ่งอยู่ในอิริยาบถเดิมเพื่อไว้อาลัยให้กับพี่ชายทั้งสองเป็นเวลาสามวินาที ก๊อก...ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูทำให้ฉันเหลือบไปมองทางประตู จังหวะที่แปลกๆ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบนั้น ฉันรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณเลยว่าคนที่มารบกวนฉันในยามวิการแบบนี้ คงเป็นพี่ชายที่เกิดปีเดียวกันกับฉันอย่างแน่นอน พี่ออนไงล่ะ “น้องสาวที่รัก เปิดประตูให้พี่หน่อยเร๊ว” น้ำเสียงออดอ้อนทำให้ฉันลอบถอนหายใจ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมแต่ละคนในครอบครัวถึงได้มีนิสัยต่างขั้วกันถึงขนาดนี้ ราวกับว่าพ่อและแม่จงใจสรรหาความหลากหลายทางนิสัยมาอัดกันอยู่ในครอบครัวเพื่อให้มีชีวิตชีวาอย่างงั้นแหละ “พี่ออน มีอะไร” ฉันเดินไปเปิดประตู เผยให้เห็นใบหน้าขาวใสและหวานราวกับอิสตรีกำลังยิ้มแป้นให้ฉัน เขามีดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ส่วนผมนั้นเป็นสีดำแต่ดันไปย้อมจนกลายเป็นสีเดียวกันกับผมของฉันเพื่อให้ชาวบ้านเขาคิดว่าพวกเราเป็นฝาแฝดกันเพราะความสนุกส่วนตัว ซึ่งฉันไม่อยากจะเอ่ยถึงมันสักเท่าไหร่ อืม...ก็มันเป็นเพราะว่า เขารับไม่ได้ที่อายุเยอะกว่าแค่ฉันสิบเดือนเศษ! เขาบอกว่าเขาอยากเป็นน้องคนเล็กของบ้าน! “แหะๆ พอดีว่าพี่...” “หิวใช่มะ” “โอ้ว! รู้ได้ยังไงเนี้ย” พี่ออนอ้าปากเบิกตาโตเหมือนตกใจ๊ตกใจ โถ่ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเสแสร้งแกล้งทำ! พี่คนนี้ของฉัน แค่อ้าปากฉันก็เห็นลิ้นไก่แล้ว พี่ออนเป็นคนเดียวในบ้านที่ไม่เก่งเรื่องชกต่อย แต่เป็นเลิศทางด้านดนตรีและการวาดภาพ ทำให้เขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับพี่ชายคนโตทั้งสองคนในการออกไปเผชิญโลกกว้างมากนัก เอาแต่หมกตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ก็ห้องซ้อมดนตรีที่โรงเรียน พี่ออนก็เลยไม่เคยได้ออกไปกินข้าวข้างนอกกับพวกฉันเลยน่ะสิ ถึงจะพูดจนปากเปียกปากแฉะแค่ไหน พี่ออนก็ยังยืนยันว่าจะไม่ไปกินข้าวข้างนอกเด็ดขาด นอกเสียจากในวาระสำคัญจริงๆ ซึ่งคงไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้แน่ “แล้วพี่ต้องการให้ฉัน?” ฉันถามเสียงเรียบ เอามือเท้าบานประตูห้องนอนแล้วจ้องเข้าไปที่ใบหน้าหน้าหวานๆ ของพี่ออน พี่ออนเองก็จ้องใบหน้าสวยๆ ของฉันอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน “-_-+” “( ‘ ‘ )+” “-_-++” “( ‘ ‘ )+++” “เฮ้อ เดี๋ยวฉันไปต้มมาม่าให้กินก็แล้วกัน” เห็นไหมล่ะ ฉันเกลียดตัวเองที่เป็นคนขี้ใจอ่อนที่สุด เล่นเกมจ้องตากับคนในบ้านทีไรก็แพ้ทุกที! “เย้! มาม่าของอัณอร่อยกว่าทุกอย่างที่พี่เคยกินมาบนโลกใบนี้เลย!” รู้สึกว่าอาหารมื้อหรูที่สุดที่พี่เคยกินก็คือพิซซ่าที่สั่งมากินที่บ้านนะ... ท่าทางดีใจจนโอเว่อร์ของเขาทำให้มุมปากของฉันขยับขึ้นนิดๆ แต่ฉันต้องเก๊กหน้าขรึมไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นเขาจะยิ่งได้ใจ “รอหน่อยก็แล้วกัน” ฉันเดินนำลงไปชั้นล่างโดยมีร่างสูงตามมาติดๆ อืม พอมาคิดๆ ดูแล้วก็มีอีกอย่างหนึ่งที่ฉันข้องใจเกี่ยวกับครอบครัวนี้มากที่สุดอีกอย่างหนึ่ง พวกพี่ชายของฉันทั้งสามคนก็ล้วนมีความสูง 180 กว่าๆ กันทั้งนั้น ส่วนพี่แอนก็สูงตั้ง 173 ซม. แต่ฉันนี่สิ...หยุดอยู่ที่ 160 ซม. มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ไม่ได้งอกเพิ่มขึ้นมาเลยสักมิลฯ เดียว! ทำไมพระเจ้าถึงไม่ยุติธรรม!!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม