"น้องฟิลลิครับ"
ขวับ/ขวับ
"พี่มาวิน" มาวินคือคนคุยเธอในขณะนี้ ว่าแต่พี่มาวินมาทำอะไร ไม่คิดว่าจะบังเอิญมาเจอกันที่นี่ได้
"น้องฟิลลิมาซื้อของเหรอครับ" มาวินปรายตามองชายหนุ่มที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงข้างผู้หญิงของตน มีแว๊บหนึ่งที่เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก มันเป็นใครถึงมายืนใกล้ชิดคนของเขาแบบนั้น ปกติแล้วฟิลลิเป็นคนหวงตัวมาก แม้กระทั่งกับเขาที่เป็นคนคุยของเธอ แต่กับผู้ชายคนนี้มันคืออะไรวะ
"ใช่ค่ะ แล้วพี่มาวินล่ะ"
"พี่มาทำธุระให้แม่น่ะ ไม่คิดว่าจะมาเจอน้องฟิลลิที่นี่เหมือนกัน ว่าแต่น้องฟิลลิทานข้าวยังครับ เราไปหาอะไรกินกันไหม" นี่ก็ใกล้เวลาเที่ยงแล้ว นาน ๆ ได้เจอกันทีก็ถือโอกาสนี้ชวนไปทานข้าวเลยก็แล้วกัน
"ขอโทษด้วยนะครับตอนนี้คุณฟิลลิยังไม่สะดวก" ทราฟที่อยู่ด้านหลังเจ้านายเอ่ยขึ้น เจ้านายเขากำลังคุยกับหญิงสาวอยู่ ผู้ชายคนนี้ไม่มีมารยาทเอาเสียเลยถึงได้เข้ามาแทรก
"....." มาวินตวัดสายตามองเจ้าของคำพูด แล้วเขาต้องสนใจด้วยงั้นเหรอ เขาคุยกับผู้หญิงของเขานี่ไม่ใช่พวกมันสองคน เป็นเขาต่างหากที่ต้องถามว่าพวกมันเป็นใครถึงได้มายุ่งกับคนของเขา ช่างไม่รู้จุดยืนตัวเองเสียจริง
"ไปกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อย" ทว่ามาร์คิสกลับไม่สนใจ เขาหันไปสบตากับหญิงสาวแล้วเอ่ยชวนเธอไปทานข้าวด้วยกันอีกครั้ง คนที่ชวนเธอก่อนคือเขาไม่ใช่มัน ฉะนั้นเธอควรไปกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
"ฉันไม่ค่อยสะดวกค่ะ" ใช่ว่าเธอปฏิเสธเขาเพื่อจะไปกับมาวิน แต่เธอจะไม่ไปกับใครทั้งนั้น
"ฉันหิวข้าว และมีเรื่องจะคุยกับเธอด้วย เกี่ยวกับเรื่องงาน" ในเมื่อเธอไม่ยอมไปดี ๆ เขาคงต้องใช้ลูกเล่นเพื่อหลอกล่อให้เธอไปด้วย ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นหญิงสาวถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่เธอจะตอบตกลง อย่าลืมว่าเขาเป็นถึงประธานบริษัท เธอจะปีกกล้าขาแข็งใส่เขามากไม่ได้ ถึงแม้จะรู้สึกตะหงิดใจนิดหน่อยก็ตาม
"พี่มาวิน.."
"ไปด้วยกัน" แล้วคิดว่าคนอย่างมาวินจะยอมไหม คนอย่างเขาไม่มีทางยอมแพ้ใครเด็ดขาด ช่วงนี้เขากำลังทำคะแนนกับหญิงสาว จะปล่อยให้เธอใกล้ชิดผู้ชายคนอื่นมากไม่ได้ เขายังไม่ได้เก็บแต้มเลย
"แต่ว่า.."
"ไม่ต้อง ถ้าอยากไปก็เชิญ" ถ้ามันอยากไปนักเขาก็จะไม่ขัด
คนตัวเล็กถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ เธอเลือกอะไรไม่ได้แล้วใช่ไหม ไม่มีใครรอให้เธอได้พูดจบสักคน ทุกคนเอาแต่แทรกอย่างเดียว สุดท้ายแล้วเธอคงต้องยอมไปกับพวกเขาสินะ รู้งี้ไม่น่าออกจากบ้านเลย ไม่รู้ว่าตัวเองก้าวขาข้างไหนออกจากบ้านถึงได้ซวยแบบนี้
"ทำไมไม่เรียกตามที่ฉันบอก" แล้วจู่ ๆ มาร์คิสก็พูดขึ้น เขานี่เป็นผู้ชายนึกอยากจะพูดอะไรก็พูดเลยสินะ
"เฮ้อ"
"ถอนหายใจทำไม" ทำไมเธอต้องถอนหายใจเหมือนรำคาญเขาด้วย
"เปล่าค่ะ"
"แต่เมื่อกี้เธอถอนหายใจ"
"ท่านประธานจะทานอะไรเหรอคะ" หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง ในเมื่อหนีไม่ได้งั้นก็ต้องไป ว่าแต่ท่านประธานของเธอต้องการไปทานอาหารร้านไหน เขาคงไม่ให้เธอเลือกเองหรอกใช่ไหม
"เธออยากกินอะไร" นั่นไง ว่าแล้วเชียว
"ท่านประธานเลือกมาเลยค่ะ"
"เธอเป็นคนเลือก"
"น้องฟิลลิให้พี่เลือกให้ไหม" นาวินที่เงียบอยู่นานแทรกขึ้น เขารู้ว่าหญิงสาวชอบกินหรือไม่ชอบกินอะไร เขาน่าจะเป็นคนที่รู้ใจเธอที่สุดในตอนนี้
"งั้นก็ไปร้านโปรดเธอ" แต่ทันใดนั้นเอง มาร์คิสเห็นอีกคนเสนอหน้าออกตัวแทน เขาจึงรีบเสนอร้านโปรดของเธอ ที่ไม่ว่าจะมาห้างเมื่อไหร่เธอต้องได้ทานทุกครั้ง แล้วไม่ต้องถามว่าทำไมเขาถึงรู้ ข้อมูลแค่นี้ไม่พ้นน้ำมือคนอย่างเขาได้หรอก ดีไม่ดีเขาอาจรู้จักหญิงสาวมากกว่าไอ้เวรนี่ก็ได้
"เรียบร้อยแล้วครับนาย" นทีที่พึ่งจัดการเรื่องของเสร็จเดินเข้ามา เขามองคนทั้งสามที่ยืนจ้องหน้ากันอยู่ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองเพื่อนตัวเองเป็นเชิงตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น
"ไปกันเถอะ" มาร์คิสผายมือให้คนตัวเล็กเดินนำหน้าไป จากนั้นเขาก็เดินตามเธอไปติด ๆ คนทั้งห้ามุ่งหน้าไปยังร้านอาหารซึ่งเป็นร้านโปรดของคนตัวเล็กโดยที่ไม่มีใครพูดหรือถามอะไรสักคำ พวกเขาใช้เวลาอยู่ในร้านอาหารราวเกือบสามชั่วโมงก่อนจะแยกย้ายกันกลับ
"ไปสืบข้อมูลมันมา" มาร์คิสสั่งลูกน้องเสียงเหี้ยมทันทีเมื่อขึ้นมานั่งบนรถ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าไอ้หน้าจืดที่เจอวันนี้มันเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ดูแล้วมันเองก็ไม่ธรรมดาอยู่เหมือนกัน ตอนที่นั่งทานข้าวมันพยายามเอาใจใส่คนตัวเล็ก ทำให้เขาเห็นว่าผู้หญิงคนนี้เป็นของมัน แต่แล้วยังไง? สถานะของเธอกับมันเป็นแค่คนคุยกันไม่ใช่หรือไง ทำไมเขาต้องยอมถอยด้วยล่ะ เมื่อเราเจอของที่ถูกใจ และของสิ่งนั้นยังไม่มีเจ้าของ เราก็ต้องสู้เพื่อให้ได้มันมา
"ส่วนของจัดการส่งไปที่บ้านเธอ" ส่วนพวกเสื้อผ้าที่เขาเหมาวันนี้ มาร์คิสสั่งให้ลูกน้องนำเสื้อผ้าทั้งหมดไปส่งที่บ้านคนตัวเล็ก ถือว่าเป็นของขวัญต้อนรับที่ได้มาทำงานในบริษัทของเขา
"รับทราบครับ" จากนั้นรถยนต์คันหรูก็เคลื่อนตัวออกจากห้างสรรพสินค้า มาร์คิสต้องกลับเข้าบริษัทต่อ ความจริงเขาตั้งใจแวะมาดูเสื้อผ้านิดหน่อย แต่ไม่คิดว่าจะบังเอิญมาเจอหญิงสาว วันนี้เขามัวแต่สนใจเธอจนไม่ได้ดูเสื้อผ้าของตัวเอง แต่ไม่เป็นไร แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มมากแล้ว ของตัวเองไว้มาดูวันหลังก็ได้
บ้านไกรวิชญ์
"ทำอะไรกันอยู่เหรอคะ" ฉันกลับมาจากห้างถึงบ้านในช่วงเกือบเย็นเห็นพ่อกับแม่กำลังยืนดูอะไรกันสักอย่าง แล้วดูพ่อฉันขมวดคิ้วสิ เหมือนเจอเรื่องเครียดอย่างไรอย่างนั้นแหละ
หลังจากแยกกันที่ห้าง ฉันก็แวะไปทำธุระนิดหน่อยเลยทำให้กลับช้า ส่วนเรื่องพี่มาวินตอนแรกพี่เขาจะมาส่งฉันแหละ แต่ฉันปฏิเสธไปพี่เขาจึงกลับไปก่อน พอกลับมาก็เจอพ่อกับแม่ยืนขมวดคิ้วอยู่ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า
"ทำไมลูกซื้อเสื้อผ้ามาเยอะจัง" พ่อฉันหันมาถาม อะไร? เสื้อผ้าอะไร ฉันซื้อมาแค่สามชุดเอง ไม่เห็นจะเยอะตรงไหนเลย
"ก็นี่ไง" ท่านทั้งสองหลีกทางให้ฉัน แล้วฉันต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับกองเสื้อผ้ามากมายที่วางเรียงรายกันอยู่ นี่มันฝีมือใครกัน ใครเป็นคนทำ แต่เดี๋ยวนะ ถุงแบรนด์นี้ นี่มันร้านเดียวกับที่ฉันเข้าไปดูตอนแรกแต่ไม่ได้ซื้อเพราะผู้ชายคนนั้นเขาเหมาไปหมด แล้วมันมากองอยู่ที่นี่ได้ยังไง อย่าบอกนะว่า..
"ใครมาส่งเหรอคะ" ฉันมั่นใจว่าต้องเป็นฝีมือของผู้ชายคนนั้น แต่ที่ฉันไม่เข้าใจคือเขาให้มาทำไม ฉันยังไม่ได้ทำอะไรให้เขาเลยนะ
"พ่อต้องถามเรามากกว่าว่าผู้ชายพวกนั้นเป็นใคร"
"เขาบอกคุณมาร์คิสส่งมา"
มาร์คิส
"เป็นเขาจริงด้วย" เขาคือคนที่ส่งเสื้อผ้ามาให้ฉัน ทำไมเขาถึงให้ฉันล่ะ เราไม่ได้รู้จักหรือสนิทกันเป็นการส่วนตัว ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าที่เขาทำอยู่เขาต้องการอะไรกันแน่
Line Line
ในขณะที่ฉันกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์มือถือฉันก็ดังขึ้น ฉันหยิบขึ้นมาดูก่อนจะเห็นเป็นข้อความแจ้งเตือนไลน์จากใครบางคน ซึ่งพอเห็นชื่อฉันก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร
Marquis: ของขวัญต้อนรับการทำงาน
Philly: คุณได้ไลน์ฉันมาจากไหน
Marquis: สนใจทำไม
Philly: ช่างเถอะ ว่าแต่คุณส่งชุดพวกนี้มาทำไม
Marquis: ย้อนขึ้นไปอ่าน
"อ่า.." เขาก็บอกอยู่ว่าของขวัญ ฉันยังโง่ไปถามอีก
"สรุปแล้วยังไงฟิลลิ" ฉันละสายตาจากโทรศัพท์มือถือเงยหน้าไปสบตากับพ่อ และเหมือนว่าท่านกำลังจับผิดฉันอยู่
"เป็นของขวัญจากทางบริษัท" ฉันไปตามที่เขาบอกมา ก็เขาบอกเองว่าเป็นของขวัญต้อนรับการทำงาน ก็เท่ากับว่านี่เป็นของขวัญจากทางบริษัทที่มีให้แก่พนักงานใหม่ เอาเป็นว่าฉันจะรับไว้ก็แล้วกัน ไม่รู้ว่าเขาจะมาดีหรือมาร้าย แต่คงไม่ร้ายหรอกมั้ง เขาเองก็เป็นถึงประธานบริษัทคงไม่เอาชื่อเสียงตัวเองมาเสี่ยงทำอะไรแบบนี้หรอก
"แล้วทำไมถึงให้เยอะขนาดนี้" ดูเหมือนพ่อฉันจะยังไม่คลายความสงสัย เพราะยังเอาแต่ถามไม่หยุด ถ้าขืนเป็นแบบนี้ฉันต้องหลุดโป๊ะแน่ เพราะตัวฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงส่งมาให้ ถ้าจะบอกว่าเป็นเพียงของขวัญต้อนรับมันก็ยังไงไม่รู้ เอาเป็นว่ามันคือของขวัญนั่นแหละ ตามที่เขาพูดมาเลย
"เห็นบอกว่าได้ทุกคน"
"ไม่ได้โกหกพ่อใช่ไหม"
"ฟิลเคยโกหกพ่อหรือไง"
"ถ้าไม่ก็แล้วไป เอาขึ้นไปเก็บไว้บนห้อง" พี่แม่บ้านสองคนมาช่วยกันขนของขึ้นไปไว้บนห้องฉัน เมื่อเห็นว่าพ่อเลิกถามแล้วฉันจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
"ไปก่อนนะคะ"
"อืม"
"คุณเลิกมองลูกได้แล้ว" ด้านผู้เป็นพ่อเอาแต่มองตามแผ่นหลังลูกไม่ละสายตา ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจเรื่องเสื้อผ้าแล้ว แต่สิ่งที่ดึงความสนใจในตอนนี้คือเรื่องชายชุดดำสองคน ดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นลูกน้องของพวกมีอิทธิพล หรือไม่ก็เป็นพวกมาเฟีย ถ้าเป็นอย่างหลัง ลูกสาวเขาไปรู้จักกับคนพวกนั้นได้ยังไง แล้วไปเจอกันที่ไหน นั่นคือสิ่งที่เขาสงสัยที่สุด
"ถ้าคนพวกนั้นมาที่บ้านอีกให้บอกผมทันที"
"มีอะไรหรือเปล่าคุณ"
"...." เขาแค่อยากรู้บางอย่างเกี่ยวกับคนพวกนั้น และต้องรู้ให้ได้ว่าเป็นใครมาจากไหน เขาจะไม่ยอมให้ลูกสาวไปพัวพันกับสิ่งที่ตัวเองเกลียด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ฟิลลิต้องไม่มีความสัมพันธ์กับคนพวกนั้นเด็ดขาด
บนห้องนอน
ครืน ครืน
ในขณะที่คนตัวเล็กกำลังดูแม่บ้านเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนเตียงก็มีสายเข้า เท้าเล็กก้าวไปหยิบขึ้นมาดู ซึ่งเบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์แปลก แล้วเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่รอช้าที่จะกดรับสาย
ติ๊ด!
"สวัสดีค่ะ"
(ถูกใจไหม)
"ใครคะ"
(เสื้อผ้าที่ฉันส่งไปให้ถูกใจเธอไหม)
"...." อ่า.. ท่านประธานนี่เอง เธอไม่สงสัยหรอกว่าทำไมเขาถึงได้เบอร์มา เพราะตอนที่เราสมัครงาน ทั้งเบอร์และไลน์เธอใส่ลงไปในนั้นหมด ตอนแรกก็แอบตกใจแต่ตอนนี้เธอจำได้แล้วว่าเขาได้มันมายังไง
(ตอบสิ)
"ทำไมถึงส่งมาเยอะนักล่ะคะ"
(ฉันรวย)
"ฉันลืมไปว่าคุณเป็นถึงเจ้าของบริษัท เงินคงเหลือมากเลยสินะคะ"
(ก็เลี้ยงใครบางคนได้ตลอดชีวิต)
"...." ทำไมเธอถึงรู้สึกใจหวิวกับประโยคเมื่อครู่ มันเหมือนว่าเขาต้องการให้เธอรู้ และอยากให้เธอเข้าใจว่าที่ทำไปทั้งหมดทำไปเพื่ออะไร
(ไม่ถามเหรอว่าคนนั้นคือใคร)
"ไม่ได้อยากรู้ค่ะ"
(หึ~) ฝีปากใช้ได้เลยทีเดียว ชักอยากรู้จักมากกว่านี้แล้วสิ
"ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอวางสายนะคะ"
(ฉันบอกให้ทำตัวให้สบายเวลาคุยกับฉัน) เธอยังเอาแต่แทนตัวเองว่าฉันกับคุณอยู่นั่นแหละ ทีกับไอ้หน้าจืดนั่นยังเรียกพี่เลย
"คุณเป็นถึงประธานบริษัทจะให้ฉันไปพูดด้วยเหมือนเพื่อนเล่นก็คงไม่ได้หรอกค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ"
(....)
"ถ้างั้นฉันขอวางสะ.."
(คืนนี้โทรหาได้ไหม)
"เกรงว่าจะไม่ได้"
(สี่ทุ่มเดี๋ยวโทรไป)
"เดี๋ยวสิ ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าจะรับสาย"
(การกดรับสายฉันคงไม่ทำให้มือเธอขาดหรอกใช่ไหม)
"เหอะ!"
(แค่นี้แหละ)
"เหลือจะเชื่อเลยผู้ชายคนนี้" นี่คือวิธีเข้าหาผู้หญิงของเขาใช่ไหม เธอไม่รู้หรอกนะว่าเขามาไม้ไหน แต่ถ้าการที่เขาเข้ามาเพื่อจีบ อยากบอกว่าเป็นวิธีจีบที่แปลกใหม่มากเลยล่ะ เพราะไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนทำแบบนี้มาก่อน เขาเป็นคนแรกเลยก็ว่าได้ น่าตลกชะมัด