“แหม...แค่คู่หูคู่ฮาไม่อยู่ด้วย ทำท่าเหมือนจะตายเชียวนะยะ ไอ้เต้น”
“ปล่าวค่ะ เจ้าป้า แหะๆ แหม...เต้นก็แค่คิดอะไรเพลินๆ เอง แล้วนี่เสร็จแล้วเหรอคะ เราจะขึ้นไปเลยมั้ย”
“เออ ไปซิ แต่แม่- -ม เอ้ย ...ที่นี่ไม่มีลิฟท์เหรอเนี่ย”
คนสูงวัยกว่ายืนทำหน้าเลิ่กลั่กอยู่หน้าบันได เดินขึ้นไปพลางแกเอะอะโวยวายตามความเคยชิน ทำเอาผู้อ่อนวัยกว่าที่เดินตามหลังอดจะอมยิ้มตามไม่ได้
อณุภาจำได้ว่า เธอรู้จักหน้า “เจ้าป้า” ผ่านจอทีวีในรายงานข่าวประจำวันนี้ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เพราะใบหน้าอันมีเอกลักษณ์นี้ มักจะลอยเด่นอยู่ใกล้ๆ กับคนสำคัญที่กำลังถูกสัมภาษณ์เสมอ ท่ามกลางไมโครโฟนและเทปที่ชูสลอน แบบไม่มีสะทกสะท้านหลบกล้อง เจ้าป้าคนเก่งไม่มีขวยอาย ...ไม่มีเสียละที่หลบกล้อง เพราะสำหรับหญิงแกร่งแล้ว หน้าที่คอยป้อนคำถามเพื่อจะเอาคำตอบย่อมสำคัญกว่ามามัวเหนียม
แล้วพออณุภาได้มาฝึกงานพร้อมๆ กับได้งานข่าวที่ไทยธุรกิจทำทันที แบบสายฟ้าแลบ โดยไม่ทันตั้งเนื้อตั้งตัว อณุภาก็ได้เห็น “เจ้าป้า” ตัวจริงเสียงจริงวิ่งวนไปกับการทำงานข่าวไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“ไอ้งามน่ะ มันขาลุย มันจับประเด็นข่าวเก่งมากๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ร่ำเรียนมาทางนี้ แถมภาษาอังกฤษงี้พ่นเป็นไฟเชียว คนรุ่นพี่รุ่นมันเนี่ย ถ้าอายุข่าวขนาดนี้ เขาไปเป็นบก. เป็นใหญ่เป็นโตกันแล้ว แต่ไอ้นี่มันก็สมัครใจที่จะวิ่งตามข่าวอยู่ข้างนอกแบบนี้ล่ะ มันว่า อินดิเพนเด้นท์ดี”
พี่เสือ มักเล่าเรื่องสมัยที่แกยังหนุ่มและวิ่งทำงานข่าวในรุ่นราวคราวเดียวกันกับเจ้าป้าให้เด็กๆ ในโต๊ะฟังเสมอ แล้วเมื่อเธอได้ประจันหน้าเจ้าป้า แล้วได้เห็นการทำงานของผู้หญิงคนนี้เข้า อณุภาก็รู้สึก “ทึ่ง” คนอะไรเก่งและแปลกไปเสียทุกด้าน
ดูที่การแต่งตัวซิ...
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมนักข่าวและแหล่งข่าวทุกคนถึงเรียกผู้หญิงคนนี้ว่า “เจ้าป้า” เพราะหญิงวัยกลางคนที่วิ่งทำงานล่กๆ อยู่ท่ามกลางหมู่กล้องทีวีและคนใหญ่คนโตของประเทศคนนี้ เธอมักจะปรากฎตัวในชุดผ้าซิ่นที่ตัดดัดแปลงมาให้เป็นกระโปรงยาวกรอมเท้า เสื้อที่ใส่ก็ผ้าไหมบ้าง ผ้าฝ้ายบ้าง ดูเอาเถอะช่างออกแบบและตัดเป็นเสื้อใส่ได้สวย เหมาะกับกาละเทศะการงาน และยังเข้ากับบุคคลิกอันคล่องแคล่วด้วย
ยังไม่นับปะวะหล่ำกำไล เครื่องเงินที่ประดับพราวทั้งตัว อ้อ ...” เจ้าป้า” ขนานแท้แน่นอนต้องเกล้าผมมุ่นเป็นมวย ปักด้วยปิ่นเงินเท่านั้น และสวมกำไลเงินวงเก๋วงนั้น เท่านั้น
“แกมีเชื้อสายพวกเจ้าทางเหนือรึไง ถึงได้แต่งองค์ประหลาดได้ขนาดนี้ แต่ก็เท่ดีนะ”
“ก็ดูชื่อแกซิ ออกจะสวยคลาสสิค แต่ดั๊นเป็นพวกหญิงรักหญิงซะได้”
“เออ...แกชื่ออะไรล่ะ ได้ยินแต่คนเรียกเจ้าป้าๆ”
“แกชื่อ งามแสงเดือน”
หา... เสียงพึมพำฮือฮามักจะดังเช่นนี้ทุกครา เวลาที่ในวงสนทนายกเรื่อง “เจ้าป้า” มาเป็นปุจฉา อันที่จริงเรื่องการแต่งตัวนั้น คนที่ไทยธุรกิจแต่ละคนก็ใช่ย่อย เพราะคนที่นี่มักจะประดับตัวด้วยเครื่องแต่งองค์ทรงเครื่องที่แสดงความเป็น “ตัวตน” ของมาอย่างชัดเจน แต่ละคนมีสไตล์ที่ใหม่แปลกแหวกแนวกันถ้วนหน้า
...แต่เรื่องความเป็น “หญิงรักหญิง” ของเจ้าป้า หรือคุณงามแสงเดือนนี่ ยังไม่มีใครยืนยัน แต่ที่คิดกันแบบนั้นก็คงเพราะสันนิษฐานเอาจากการครองตัวเป็นโสดมายาวนาน และการมีบุคลิกแปลกๆ ของเธอ รวมถึงการไปไหนมาไหนกับมุกมณีเสมอๆ
การแต่งตัวที่เด่นและเท่ ทว่าท่าทีการแสดงออกนั้นกลับดูห้าวหาญทะมัดทแมงแถมปากคอก็คมกริบ ช่างขัดกับการนุ่งผ้าซิ่นและมุ่นมวยผมอันแสนเรียบร้อยเสียยิ่ง ดูเอาเถอะ...
“มองอะไรไอ้เต้น”
“อุ้ย ปละ เปล่าคะ”
คนถูกตวาดสะดุ้งโหยง เพราะยังไม่ทันได้ตั้งตัว อณุภามัวแต่เผลอไผลมองอากัปกิริยาและท่วงทีของผู้อาวุโสกว่าจัดแจงหยิบชุดผ้าซิ่นและเสื้อผ้าไหมออกมาใส่ไม้แขวนเรียงไว้ในตู้ หลังจากที่อาบน้ำเสร็จและแต่งองค์ทรงเครื่องชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว อณุภาจึงอดตื่นเต้นไม่ได้ที่ผู้หญิงน่าทึ่งคนนี้ จะมาเป็นเพื่อนร่วมห้องเธอในคืนนี้
“เต้น เต้นก็แค่ชอบกำไลเจ้าป้านะคะ สวยแปลกดี ซื้อจากที่ไหนเหรอคะ”
หญิงสาวตะกุกตะกักพยายามหาคำตอบแล้วเสมองไปที่ข้อแขนขวาของงามแสงเดือน ซึ่งใส่กำไลเงินเดี่ยวหน้าตามันดูประหลาดๆ แล้วก็เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ...อณุภาไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงไปเอ่ยถึงกำไลวงนั้นได้
“ชอบเครื่องเงินด้วยเหรอเราน่ะ วงที่ฉันใส่นี้มันมีประวัตินะเธอ เอาไว้อารมณ์ดีๆ จะเล่าให้ฟัง”
คนพูดจับกำไลหมุนไปมาเหมือนใช้ความคิดนิ่งลึก แล้วคนฟังก็อดไม่ได้ที่จะชวนคุย เอาใจคน ตามนิสัยที่ชอบใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นของเธอ
“เมื่อวานพี่มุกบอกว่าที่นี่มีร้านขายเครื่องเงินเก่าเยอะเลย แบบของเจ้าป้าก็น่าจะมี น่าไปเดินดูเหมือนกันนะคะ”
“ใครบอกหล่อนละยะว่าของนี้มันหาได้ง่าย เฉพาะของๆ ฉันนี่ ทั้งโลกนี้มีอยู่อันเดียว รู้ไว้ซะด้วย”
เจ้าป้าทำเสียงเข้ม
“อุ๋ย... เอ้อ เหรอคะ งั้นเต้น อ่า...งั้น เต้นขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ”
คนชอบใส่ใจคนอื่นหรือที่นุ้ยมักเรียกตรงๆ ว่า “สาระแน” จึงต้องผลุบเข้าห้องน้ำเสียแต่โดยไว ...ทว่าหางตายังทันได้แลเห็นแววตาขุ่นขึ้งเขียวปั้ดของผู้อาวุโสกว่าแห่งกรุงเทพ ไทม์ได้
หลังอาบน้ำสระสรงจนสบายเนื้อสบายตัวแล้ว อณุภาจึงค่อยๆ ย่องออกจากห้องน้ำทำท่าเหมือนแมวขโมย เพราะไม่แน่ใจในสถานการณ์ของตัวเองกับนักข่าวหญิงอาวุโสผู้มีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ คนนี้สักเท่าไรนัก คงเป็นทั้งความเกรงขามในกิตติศัพท์อันมีแต่เดิม ปนเปกันกับการเป็นคนขี้เกรงใจคนอื่นอยู่บ้าง รวมทั้งการที่ถูกเพื่อนร่วมห้องเอ็ดมาหลายรอบ จนทำให้ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลกลายมาเป็นความเกรงกลัวอย่างช่วยไม่ได้
ทั้งๆ ที่หญิงสาวค่อนข้างแน่ใจว่า ไม่เคยกลัวอะไรเลย แต่ครั้นพอได้อยู่ร่วมห้องกับเจ้าป้าหรือนักข่าวหญิงอาวุโสนามว่า งามแสงเดือน คนนี้ ยังไม่ทันถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ ทั้งห้องเหมือนกับมีรังสีอะไรบางอย่างห่มคลุมเอาไว้
- -รังสีอำมหิตไงแก- -
อณุภาเหมือนได้ยินเสียงเจ้านุ้ยเพื่อนรักกระซิบกระซาบอยู่ข้างหู เธอจึงอมยิ้มแทบสำลักก่อนจะพยายามทำตัวลีบเล็กเข้าไว้ เพราะเมื่อหันไปดูก็เห็นเพื่อนร่วมห้องนั่งขัดสามาธิหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง การที่งามแสงเดือนหลับตานิ่งแบบนั้น ใครหน้าไหนจะกล้ามาการันตีได้ว่า หญิงผู้อาวุโสกว่าจะไม่เห็นเธอถูกแอบมองผ่านกระจก โดยทำท่าเหมือนลิงหลอกเจ้าอยู่
- -โอ แล้วดูนั่น...เจ้าป้าทำปากขมุบขมิบเหมือนบริกรรมคาถาอะไรอยู่อีกแน่ะ โอ๋ยโย๋ ไม่ใช่แค่บุคลิกของเจ้าป้าที่แปลกแต่เพียงอย่างเดียวนะเนี่ย การใช้ชีวิตก็ยังแปลกอีกด้วย - -
อณุภานึกพลางทำคอย่น ...แล้วก็ค่อยๆ นั่งเช็ดหัวและสางผมอันยาวเฟื้อยของตัวเองอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างเงียบเชียบ แต่แล้วเสียงโทรศัพท์หัวเตียงก็ทำเอาเธอสะดุ้งเฮือก พอมันดังมาหนึ่งกริ๊งแล้วอณุภาก็รีบถลาไปคว้าหมับได้ทันก่อนที่กริ๊งที่สองจะตามมา ด้วยประหวั่นพรั่นพรึงว่าอาจจะถูกคนที่นั่งหลับตาบริกรรมคาถาเอ็ดเอาได้ หญิงสาวเกาหัวยิกๆ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเด็กเล็กเข้าไปทุกที เมื่อต้องอยู่ร่วมห้องกับคนที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียงคนนั้น
มุกมณี หัวหน้าพีอาร์นั่นเองที่โทรมา...
เธอโทรมาให้อณุภาเขียนโน้ตทิ้งไว้ให้เจ้าป้าว่าอีกสองชั่วโมง เธอถึงจะมาเคาะเรียกที่ห้องแล้วให้เจ้าป้าออกไปตามนัดหมายกันไว้ ...จึงเป็นอันสบายใจได้ว่า บัดนี้หญิงสาวไม่ต้องหาญกล้าไปเรียกนักข่าวหญิงอาวุโสของกรุงเทพ ไทม์ให้ลงไปที่ล้อบบี้ ตามกำหนดการที่คณะจะพานั่งรถชมเมืองในบ่ายวันนี้ ก่อนที่จะมีงานเลี้ยงต้อนรับที่โรงแรมตอนหัวค่ำแล้ว