... แต่ ณ วันที่โลกยังสดใสด้วยประกายสายรุ้งแห่งความหวังนั้น การฉกฉวยโอกาส การแข่งขันเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการสื่อสิ่งพิมพ์ ทุกคนต้องแข่งกันเองและแข่งแม้กับตัวเอง
การวัดประสิทธิภาพของงานด้วยการขึ้นเงินเดือนทุกๆ ๓ เดือน และมีโปรโมชั่นเลื่อนขั้นตำแหน่งจากนักข่าวธรรมดา เป็นรองหัวหน้าโต๊ะข่าว หัวหน้าโต๊ะข่าว ไปจนถึงทีมข่าวหน้าหนึ่งนั้น ล้วนวัดจากการมีผลงานปรากฎบนหน้า ๑ ซึ่งไม่เกี่ยวกันเลยกับ “ความอาวุโส” หรือที่เรียกขานกันในวงการว่า “อายุข่าว” เลย
หนังสือพิมพ์ธุรกิจทั้งรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน แข่งกันเปิดตัวแทบทุกวัน ในขณะเดียวกันเซกชั่นข่าว ใหม่ๆ หน้าข่าวใหม่ๆ ในฉบับก็เกิดขึ้นพวดพราด อันรวมไปถึงโต๊ะข่าวใหม่ๆ ที่เปิดขึ้นเพื่อรองรับข่าวของการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย
ความแปลกใหม่เหล่านี้เกิดขึ้นรวดเร็วจน “คุณลุงศล” นักข่าวต่างประเทศรุ่นเก๋า ผู้ซึ่งคุ้นชินแต่การรายงานข่าวต่างประเทศที่แปลมาจากสำนักข่าวต่างประเทศอันมีชื่อ และมักมีหน้าที่ต้องเสนอที่ประชุมข่าวหน้าหนึ่งด้วยข่าวสงครามอ่าวเปอร์เซีย หรือผลพวงของสงครามเย็น สงครามอินโดจีน... ถึงกับงงงัน
คุณลุงศลมักบ่นมากับอณุภา ซึ่งเป็นนักข่าวหน้าใหม่ แต่กลับชอบใจที่จะได้เข้าไปขอความรู้และพูดคุยกับคนข่าวคนเก่าคนแก่เสมอ ลุงแกชอบมาบ่นให้อณุภาฟังระหว่างมื้อเที่ยงในบางวันด้วยประโยคซ้ำๆ ก่อนที่จะกระดกขวดเบียร์เข้าปากอย่างงงๆ เสมอว่า
“เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็น ข่าวบ้านจัดสรร ข่าวโทรศัพท์ ข่าวคอมพิวเตอร์ เป็นข่าวหน้าหนึ่งได้ทุกวัน เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยวะ...แม่...ม”
ข่าวบ้านจัดสรร ที่ลุงแกว่า ก็หมายถึงข่าวอสังหาริมทรัพย์ ข่าวโทรศัพท์ ก็หมายถึงหน้าโทรคมนาคม ข่าวคอมพิวเตอร์ก็หมายถึง หน้าข่าวไอที นั่นเอง ส่วนอณุภานั่งมองทุกปรากฎการณ์ที่แปลกใหม่นี้ ด้วยความสนใจยิ่งเหมือนกัน ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนไปไกลจากเดิมมาก ข่าวไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะข่าวอาชญากรรม ข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวทหาร ข่าวบันเทิง ข่าวกีฬา ข่าวการศึกษา ข่าวสังคมอีกต่อไปแล้ว
เธอรู้ก็แต่ว่า ตัวเองโชคดีขนาดไหนที่ได้อยู่โต๊ะรีวิว และเป็นลูกน้องของพี่เสือ เพราะความกดดันของโต๊ะรีวิวไม่หนักหนาเท่าโต๊ะข่าวอื่นๆ แม้ในกองบก. นักข่าวทุกคนจะใช้กฎเดียวกัน นั้นคือ ใครปิดเพจเจอร์ต้องถูกตัดเงินเดือน และหากใคร “ตกข่าว” ถือว่าเป็นความผิดขั้นร้ายแรง
การคาดโทษและการสมนาคุณของกองบก.แก่โต๊ะข่าวที่แข่งกันเองนั้น หนักหนาปานกัน โต๊ะข่าวไหนหากไม่มีผลงานขึ้นหน้าหนึ่งเลยในสามวัน ถือว่า ต้องพิจารณาตัวเอง และหากโต๊ะข่าวไหนได้ขึ้นหน้าหนึ่งทุกวันก็ถือว่าได้รับความดีความชอบมากมาย
บางโต๊ะข่าวจึงกำหนดกฎขึ้นในโต๊ะกันเองอย่างเคร่งเครียด เอาเป็นเอาตาย ...ที่ทำไปก็เพื่อแย่งพื้นที่ข่าวหน้าหนึ่งมาเป็นของโต๊ะตัวเองให้ได้ ข่าวโต๊ะไหน ข่าวใครได้ขึ้นหน้าหนึ่งทุกวัน ทั้งหัวหน้าโต๊ะ รองหัวหน้า คนทำข่าวก็หน้าบานแข่งกันแบบปิดไม่มิดเลยล่ะ
ส่วนการบริหารข่าวแต่ละวัน ก็ขึ้นอยู่กับบรรณาธิการบริหารกับรองฯ ทั้ง ๔ คน และหัวหน้าโต๊ะข่าวแต่ละสายอีกกว่าสิบคน แต่ละเช้าหลังการเช็คข่าวแล้ว ระดับหัวหน้าเหล่านี้ก็จะประชุมข่าว เพื่อเช็คดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีอะไรที่ไหนหรือมีประเด็นอะไรที่น่าตาม
หลังจากนั้นบรรดาหัวหน้าโต๊ะข่าว ก็จะมากระจายงานให้กับรองหัวหน้า เพื่อที่จะได้กระจายการทำงานให้กับน้องๆ นักข่าวในสายของตัวเอง ให้ไปวิ่งตามหาข่าวมาส่งให้ทันเวลาประชุมข่าวครั้งต่อไป หรือให้ทันเวลาปิดข่าวหน้าหนึ่งในแต่ละวันให้ได้
ในเมื่อหัวใจของการทำงานคือ ข่าว วิธีไหนก็ตามที่ให้ได้ข่าวมาอย่างฉับไว ถูกต้อง แม่นยำ เพื่อแข่งกันกับเวลาและแข่งกับฉบับอื่นๆ เท่านั้น อะไรอย่างอื่นก็เลยกลายดูเป็นเรื่องรองไปสิ้น
ทุกคนที่นี่ ...เฉพาะในกองบรรณาธิการที่มีนักข่าวกว่าหกสิบชีวิต ต่างคนจึงต่างทำงาน ต่างรับผิดชอบงานข่าวของตัวเอง มีบ้างที่ว้ากเพ้ยเอะอะเอ็ดตะโรใส่กัน เพราะงานข่าวคือการแข่งขัน ซึ่งมันคืองานเครียดล้วนๆ มีบ้างที่ทุ่มเถียงทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดง แต่พอหลังเวลางานก็เหมือนเป็นพี่เหมือนน้อง เล่นหัว หยอกเย้ากันได้ตลอดเวลา
อณุภาจึงทำงานที่นี่อย่างมีความสุข แม้จะอยู่ท่ามกลางความกดดันนานา แต่ในเมื่อทุกคนรู้หน้าที่ของตนงานก็ดำเนินไปด้วยดี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอณุภารักและเคารพ “พี่เสือ” ของเธอยิ่งนัก เธอจึงทำงานด้วยความมั่นใจมาก
ผู้ชายอาวุโสคนนี้ สำหรับอณุภาแล้วเขาเป็นยิ่งกว่าหัวหน้างาน เขาเป็นเหมือนพี่ เหมือนครูและเหมือนพ่ออีกคนของเธอเลยทีเดียว...
--โอเค การมาออกงานภาคสนามครั้งแรกในชีวิต ที่ไกลถึงเวียงจันทน์นี้ งานเต้นจะต้องได้ลงหน้าหนึ่ง พี่เสือจะต้องไม่ผิดหวังในตัวเต้นแน่นอนเลยค่ะ---
หญิงสาวหมายมาดไว้ในใจ พลางก้มหน้าก้มตาจดยิกๆ เขียนติดกันเป็นพรืด แทบไม่ยกปลายปากกาขึ้นเลย หากใครชะโงกมาเห็นก็คงต้องพูดเหมือนกันทุกคนว่า เป็นลายมือที่ยิ่งกว่าไก่เขี่ย และคงไม่มีใครอ่านออกได้เลย แม้กระทั่งคนเขียนในบางครั้งเองก็เถอะ...
อากัปกิริยาเช่นนี้ของเธอ กำลังถูกจับจ้องจากใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนโซฟาใกล้ๆ กัน ซึ่งเขาคนนี้ได้เขม้นมองเธอนับแต่เธอก้าวเข้ามาในล้อบบี้แล้วนั่งลงตรงหน้านี้ ...คิ้วดกดำบนขอบแว่นตาสีเงินนั้น ขมวดหากันเป็นระยะ นัยน์ตาสีเข้มในกรอบแว่นจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าไม่วางตา ท่าทีของเขาราวกับกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างที่สำคัญยิ่งยวด
ขณะชั่งใจแล้วและตัดสินใจว่าจะทำในสิ่งที่พูด กำลังจะเอ่ยปากอยู่แล้วเชียว...ทว่า
“น้องเต้นคะ ทางนี้ค่ะ”
เสียงหัวหน้าพีอาร์ตะโกนบอกมาแว่วๆ อยู่ประตูทางออก อณุภาไม่หันไปมองให้เสียเวลา แต่รีบเก็บข้าวของลงเป้สะพายหลัง แล้วรีบลุกขึ้นยืนอย่างไวคว้ากระเป๋ากล้องขึ้นมาสะพายบ่า แต่ไม่ทันได้ก้มมองว่าสายกระเป๋ากล้องนั้นกำลังคล้องขาของตนอยู่ ตามประสาคนซุ่มซ่ามที่ไม่เคยสนใจ รอบคอบ ระแวดระวังภัยอะไรกับใครเขาเลย
...ผลก็คือร่างนั้นล้มพรวดไปข้างหน้าอย่างไว
“เฮ้ยย...” หญิงสาวตัวผอมบางร้องได้แค่นั้น กว่าจะรู้ตัว ร่างของเธอพุ่งโถมใส่อีกร่างที่ไม่ทันได้ระวังตัว ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาใกล้กันเสียแล้ว
“อุ้ย โทษค่ะโทษ เจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ โทษทีเต้นนี่ซุ่มซ่ามตลอดเลย ขอโทษค่ะ”
เธอพูดไม่หยุด พร้อมพนมมือไหว้ขอโทษขอโพย เพราะนึกไปว่าคนที่เธอไปล้มทับคงเป็นหนึ่งในคณะที่มาด้วยกันนั่นแหละ จนกระทั่งเขาส่งเสียงโต้ตอบมา ...เธอถึงได้มองหน้าเขาจริงจัง
“คุณโอเคไหม” เขาถามเธอ
“เฮ้ย...” อณุภาคิด ชะงักนิ่งงัน สำเนียงเขาไม่ใช่คนไทยนี่ เขาโบกมือไม้ว่าไม่เป็นไร แล้วก่อนที่ใครจะรีบเดินมาหาที่ตรงนั้น เขาก็รีบโค้งหัวแล้วเดินหายไปในทันทีที่ถูกผู้คนเป็นสิบๆ ในล้อบบี้หันมาจ้องมองคนทั้งคู่ที่ล้มทับกันอยู่กับตรงนั้น
หญิงสาวจึงได้แต่มองตามหลังชายใส่แว่นกรอบเงิน ร่างสูง ไหล่กว้างๆ นั้นก้าวเท้าเดินยาวๆ ออกจากห้องไป
-- ใครน่ะ --
...ท้าวคำวง...
จู่ๆ ชื่อจากในเพจเจอร์นี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที ซึ่งถ้าเพื่อนสาวนั่งอยู่ด้วยกัน ป่านนี้ทั้งคู่คงมองตา ยักคิ้ว ยกไหล่ พยักเพยิดหัวเราะหัวใคร่ ชักชวนกันขำก้ากเหมือนเคยเป็นแน่...
คิดจนขำเองแล้วดังนั้น อณุภาจึงรีบเอามือปิดปาก ปิดเสียงหัวเราะของตัวเองไว้ได้ทันก่อนที่จะปล่อยให้มันดังพรวดออกมา แล้วอาจทำให้ใครที่แลเห็นคิดเห็นว่าเธอนั้น "เพี้ยน"...ก่อนจะวิ่งตื๋อตามคนอื่นๆ เพื่อขึ้นรถบัสไปชมเมือง