บทที่ 5
บังเอิญ
การทำงานท้าทายสภาพร่างกายจบสิ้นลง เมื่อตอนที่เข็มนาฬิกาบ่งบอกว่าเข้าสู่ช่วงสายของวันแล้ว
ฉันหอบพาร่างกายอันแสนหนักอึ้งให้ออกมาจากร้านสะดวกซื้อที่รับหน้าที่เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ในช่วงกะเช้า ระหว่างทางเดินตามฟุตพาทตรงไปยังบ้านก็ใช้มือเล็ก ๆ คอยตบคอยบีบนวดตามบ่าไหล่ไปด้วย ส่วนมืออีกข้างที่ว่างก็กดจิ้มไปยังหน้าจอโทรศัพท์ เพื่อต่อสายโทรหาพี่สาวที่ตอนนี้หลงเหลือเป็นที่พึ่งในชีวิตเพียงคนเดียว
“ฮัลโหลพี่ด้าย ฮัลโหลได้ยินป่านไหม” โทรหาพี่สาวได้ไม่นานก็เห็นว่าปลายสายกดรับ นั่นจึงทำให้ฉันรีบกรอกเสียงออกไปทันที
[ได้ยิน แกโทรมามีอะไรหรือเปล่า]
“ก็พี่ด้ายเล่นหายไปหลายวันแบบนี้ป่านก็ต้องโทรตามสิ นี่พี่อยู่ไหนเนี่ย รู้ไหมว่าป่านโทรหาหลายสายแต่พี่ไม่รับเลย แล้ววันนี้พี่จะกลับบ้านหรือเปล่า พี่ไม่ได้กลับบ้านหลายวันเลยนะ งานยังไม่เสร็จอีกเหรอ”
คนที่กำลังสนทนาด้วยนั่นก็คือพี่สาวแท้ ๆ ของฉันที่ชื่อ ‘เส้นด้าย’ ที่ตอนนี้เดินทางไปทำงานเป็นไกด์ให้กับนักท่องเที่ยวที่ต่างจังหวัด หลังจากที่เราสองคนแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ของตัวเองซึ่งก็คือการทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ จวบจนตอนนี้ก็เข้าวันที่สี่ได้แล้วมั้งที่ฉันไม่ได้พูดคุยกับพี่สาวคนนี้เลย
ความจริงแล้วฉันเองก็ทั้งโทรหาและส่งข้อความไปทุกวันนั่นแหละ แต่พี่ด้ายไม่ตอบกลับอะไรมาเลยสักอย่าง นั่นจึงทำให้ฉันปล่อยคำถามมากมายออกไปกับคนปลายสายแบบนั้น
[พี่ยังทำงานอยู่เลย]
“อีกแล้วเหรอ...” เสียงของฉันอ่อนกำลังลงเมื่อรู้ว่าวันนี้ต้องอยู่บ้านคนเดียวอีกตามเคย
มันคงเป็นความเคยชินไปแล้วที่เราสองคนพี่น้องไม่ได้อยู่ด้วยกัน ด้วยภาระหน้าที่ที่แตกต่าง รวมถึงโชคชะตาที่บีบคั้นให้เราสองคนต้องดิ้นรนสู้ชีวิต หากแต่การได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตามันก็ย่อมดีกว่าการอยู่ตัวคนเดียวแบบนี้
[ทำไม มีอะไรหรือเปล่าป่าน]
“เมื่อวานป่านโชคร้ายมาก ๆ เลยพี่ด้าย ป่านเจอแต่อะไรก็ไม่รู้ นี่ป่านยังคิดเลยว่าถ้าป่านตายไปคงไม่ได้มาคุยโทรศัพท์กับพี่ด้ายแบบนี้” ความสั่นเครือแสดงออกชัดพร้อมกับหยาดน้ำตาที่เริ่มเอ่อคลอ
หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่พบเจอก็ทำให้ฉันหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง ยอมรับเลยว่าสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวสมองตอนนั้นก็คือความตายที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อม
ไหนจะเหตุการณ์ฝ่าดงกระสุนกับคนแปลกหน้า ไหนจะกระบอกปืนที่เตรียมจ่อยิงเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นสายสืบ ทุกอย่างในค่ำคืนล้วนแต่เป็นภาพเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิต
[เกิดอะไรขึ้นป่าน! แกเป็นอะไร บอกพี่มา!]
“เป็นห่วงป่านล่ะสิ คิก ๆ ไม่มีอะไรหรอกพี่ด้าย ป่านก็แค่โชคร้ายเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ควรน่ะ แต่ตอนนี้ก็ปลอดภัยแล้ว ป่านแค่อยากเล่าให้ฟังเฉย ๆ ป่านเหงา” ฉันฉีกยิ้มกว้างก่อนจะพยายามรีบปรับเปลี่ยนน้ำเสียงให้ร่าเริงและเป็นปกติมากที่สุด
ใจจริงอยากจะระบายและงอแงกับพี่สาวให้มากกว่านี้ แต่พอได้ยินน้ำเสียงที่ดูร้อนรนกระวนกระวายก็อดที่จะทำให้ฉันเลือกโกหกไม่ได้
แค่งานที่ต้องรับผิดชอบก็นับว่าหนักมากพอแล้ว ฉันไม่อยากเพิ่มความกังวลให้พี่ด้ายต้องคิดมากเพิ่มไปอีก
[แน่ใจนะ อย่าโกหกพี่นะ]
“แน่ใจสิ แล้วนี่พี่ด้ายว่างอยู่เหรอ หรือป่านโทรมารบกวนอ่า”
[พี่คงต้องวางแล้วล่ะ ยังไงก็อย่าลืมปิดบ้านล็อกบ้านให้ดี ๆ ดูแลตัวเองด้วยนะรู้ไหม]
ฉันพูดคุยกับพี่สาวอีกไม่กี่ประโยคก็วางสายไปเนื่องจากอีกฝ่ายต้องไปจัดการภาระงานของตัวเองต่อ ฉันจึงละโทรศัพท์ออกจากข้างแก้ม หากแต่ในจังหวะนั้นกลับมีสายที่โทรสวนเข้ามาพอดิบพอดี พลันเมื่อดูรายชื่อบุคคลที่โทรเข้ามาแล้วก็ทำให้ฉันฉีกยิ้มและเบิกตากว้าง โดยที่นิ้วมือก็รีบกดรับสายด้วยความร้อนรน
“เจ๊สวย! ป่านคิดถึงเจ๊สวยที่สุดเลย! เหมือนนางฟ้ามาโปรดสุด ๆ ป่านรอสายจากเจ๊ทุกวินาทีเลยนะ!”
[โอ๊ย! หนวกหูมาก! แกช่วยลดเสียงหน่อยได้ไหมยะชะนี แก้วหูฉันแตกหมดแล้วมั้ง!]
“ก็ป่านดีใจอ่า” ฉันลดระดับน้ำเสียงลงตามที่คนปลายสายบอก แต่ก็ยังส่งเสียงขำขันพร้อมกับรอยยิ้มฉีกกว้างที่ปรากฏบนใบหน้าอยู่ไม่หาย
[เจ๊จะพูดเลยนะจะได้ไม่เสียเวลา นี่ก็ต้องโทรหาเด็กอีกหลายคน คืองี้ มันมีงานเปิดตัวรถใหม่...]
เจ๊สวยอธิบายถึงเนื้อหางานที่ฉันจะได้รับรวมไปถึงวันและเวลานัดหมาย ซึ่งแน่นอนว่าฉันเองก็ตอบตกลงไปทันที เพราะอย่างที่บอกไปว่าฉันรอสายจากเจ๊สวยมาตั้งแต่แรก
ฉันพูดคุยกับคนปลายสายในระหว่างที่กำลังเดินกลับบ้าน จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ทางม้าลายสำหรับการข้ามถนน สายตากวาดมองดูรถพร้อมกับสัญญาณไฟ ครั้นเห็นว่าปลอดภัยก็ตัดสินใจก้าวเดินหวังจะเดินข้ามไปยังทางฟุตพาทอีกฝั่ง โดยที่มือก็ยังคงถือโทรศัพท์ให้แนบกับหูไปด้วย
แต่ทว่า...
“ได้เลยค่ะเจ๊ ป่านจะตั้งใจทำงาน ป่านจะ...กรี๊ด!!!”
ปรี๊ด!
การตอบโต้บทสนทนายังไม่ทันจบประโยคมันถูกแทนที่ด้วยเสียงกรีดร้องของฉัน เมื่อพบว่ามีรถยนต์คันหนึ่งกำลังขับแล่นพุ่งตรงมายังจุดที่ฉันยืนอยู่ด้วยความเร็วสูงสุด โดยไม่มีท่าทีว่าจะผ่อนกำลังลงแม้แต่น้อย
ความตกใจโลดแล่นส่งผลให้ขาสองข้างชะงักงันราวกับถูกสาปไปดื้อ ๆ ในหัวขบคิดจินตนาการไปไกลแสนไกลว่าอีกเสี้ยววินาทีต่อจากนี้ ร่างกายของฉันคงไม่เหลือชิ้นดีจากการถูกรถชนประสานอย่างแน่นอน
“ถ้าอยากตายก็ไปตายที่อื่น อย่ามาทำให้คนเขาเดือดร้อน!”
เสียงตะคอกแผดลั่นทำให้สติที่เตลิดกระเจิงกู่กลับเข้าที่ จากดวงตาที่หลับแน่นรอคอยชะตาเป็นต้องที่เปิดออกและหันขวับไปองยังต้นเสียงทันที
ทว่าสิ่งแรกที่เห็นนั้นคือรถตู้สีขาวที่จอดประชิดร่างกายซึ่งมีระยะห่างเพียงไม่ถึงหนึ่งเมตร ครั้นมองถัดไปยังเจ้าของเสียงที่อยู่ในความกรุ่นโกรธเป็นต้องเบิกตากว้างและรีบขยับเท้าหนีไปด้านหลังพัลวัน
“นี่เธอ!”
เสียงเข้มร้องขึ้นพร้อมกับนิ้วที่ชี้มาทางฉันด้วยท่าทางตกใจไม่ต่างกัน ร่างสูงที่ยืนอยู่ฝั่งประตูคนขับกำลังมองฉันด้วยดวงตาวาวโรจน์ ความจริงแล้วไม่น่าจะทำให้ฉันตกใจได้ขนาดนี้เลยถ้าหากเขาคนนั้นไม่ใช่คนที่เอาปืนเค้นถามความจริงจากฉันเมื่อคืน!
“เวรแล้ว!” ฉันสบถคำด่าออกมาสุดเสียงก่อนจะรีบสับฝีเท้าเพื่อหาหนทางหนีจากเขาคนนี้ให้เร็วที่สุด
แต่ก็ดูเหมือนว่าการกระทำของฉันจะช้ากว่ามือใหญ่ของเขาไปมาก เพราะตอนนี้คอเสื้อกำลังถูกกระชากรั้งเอาไว้ ทั้งยังถูกดันร่างกายให้ชิดติดกับตัวรถที่จอดสนิทอีกต่างหาก
“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าเจออีกครั้งเธอจะไม่โชคดีอีกแน่!”
“อึก...มันบังเอิญนะ ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฉันก็ข้ามถนนของฉันมาดี ๆ แต่ทำไม...”
“ใครส่งเธอมาวะ!”
คนตรงหน้าไม่สนใจกับคำอธิบาย ทั้งยังตวาดเสียงคำรามตอกหน้าจนร่างกายของฉันสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น
“ไอ้รุต! ทำอะไรของมึง!”
ทว่าเสียงเข้มทรงพลังที่เอ่ยแทรกขึ้นกลับกลายเป็นเหมือนเสียงจากสรวงสวรรค์ที่เข้ามาช่วยเหลือได้ทันเวลา แรงมือขยุ้มผ่อนคลายลงไปจากเดิมก่อนที่จะปล่อยให้เป็นอิสระ นั่นจึงทำให้ฉันรีบขยับตัวหนีก่อนจะหันสายตาไปมองยังต้นเสียง ซึ่งเป็นคนที่เพิ่งเดินลงมาจากตัวรถคันที่เกือบชนฉันเมื่อครู่
และใช่...เขาคือคุณไตร คนที่ลวนลามและคนที่บาดเจ็บในเหตุการณ์เมื่อคืน!
“นายครับ ผมว่าเธอคนนี้จะต้องเป็นคนของพวกนั้นแน่นอนเลยครับ เมื่อคืนนี้เธออยู่กับนายในที่เกิดเหตุแต่คุณตุลย์สั่งให้ผมปล่อยตัวเธอไป แถมวันนี้ยังมาดักหน้ารถสร้างสถานการณ์อีก”
“บ้าไปกันใหญ่! ฉันไม่ใช่สายสืบ! ฉันกำลังจะเดินกลับบ้าน นี่ก็ข้ามถนนอยู่เนี่ย รถของคุณต่างหากที่ขับไม่ดูสัญญาณไฟ!” ฉันรีบแผดเสียงในระดับที่ค่อนข้างดังพอสมควรตอบกลับไป
พยายามข่มความกลัวให้อยู่ในส่วนลึก เพราะตอนนี้ฉันกำลังถูกกล่าวหาให้ตกอยู่ในสถานะเลวร้ายนั้นอีกครั้ง โดยที่ตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยแม้แต่น้อย
“ให้จับตัวไปเลยไหมครับนาย มันคงไม่บังเอิญติดกันถึงสองครั้งหรอกครับ ผมมั่นใจ!” ผู้ชายคนนั้นไม่ได้สนใจกับคำพูดของฉันเลยสักนิด เขาหันไปถามหาความเห็นจากผู้เป็นนาย โดยที่มือก็คว้าหมับบีบรัดที่ข้อมือของฉันเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะหลบหนี
“เธอคือคนเมื่อคืนสินะ”
“คะ...คุณไตร ฉันไม่ใช่สายสืบอย่างที่ถูกกล่าวหา นี่ฉันกำลังจะเดินกลับบ้านจริง ๆ ส่วนเมื่อคืนคุณเองก็น่าจะรู้ดีว่าฉันเป็นพนักงานที่ร้านของคุณเวย์ ฉันบังเอิญเปิดประตูไปเจอคุณเท่านั้น ทุกอย่างมันคือเรื่องบังเอิญ!”
สายตาคมดุดันกดมองฉันด้วยความเรียบนิ่งโดยไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมา ในขณะนั้นมุมปากของเขาก็หยัดโค้งขึ้น หากแต่ฉันกลับไม่ได้รู้สึกว่ามันคือรอยยิ้มอย่างที่ควรเป็นเลยสักนิด
มันเป็นเหมือนการกระทำที่กำลังเย้ยหยันกันมากกว่า!
“ไปไอ้รุต! อย่าเสียเวลา กูต้องเข้าประชุมสำคัญ”
ทว่าคำสั่งนั้นกลับทำให้ฉันเบิกตากว้างไปพร้อมกับลมหายใจที่ผ่อนออกมาเมื่อรอดพ้นจากสถานการณ์เลวร้าย ถึงสายตาของเขาจะไม่ดูเป็นมิตร แต่การที่ถูกปล่อยตัวอย่างง่ายดายก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับวันแย่ ๆ แบบนี้แล้ว
“แต่นายครับ ผมว่า...”
“ถ้าบังเอิญเจอกันครั้งที่สามมึงก็จัดการยัยนี่ได้เลย ไปได้แล้วกูรีบ!”
SAIPAN’ S PART ; END