บทที่ 18
มือปืน
ความเงียบและความอึดอัดปกคลุมตลอดการเดินทางมาตั้งแต่ที่ร่างกายของฉันขึ้นนั่งบนเบาะรถยนต์คันหรู ซึ่งตอนนี้ยานพาหนะก็กำลังขับแล่นไปตามท้องถนนที่ฉันเองก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าจุดหมายปลายทางนั้นคือที่ใด
เพราะตั้งแต่ขึ้นมาบนรถมันก็มีเพียงความเงียบเท่านั้น ทั้งฉันและคุณรุตเองก็ไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมา หากคาดการณ์เวลาแล้วก็น่าจะผ่านไปสิบนาทีได้ที่ฉันขึ้นมาอยู่บนรถคันนี้
“ผมไม่พาคุณไปฆ่าหรอกครับ” เสียงเข้มของคนหลังพวงมาลัยเอ่ยขึ้นทำให้ฉันหันไปมอง กระทั่งพบว่าคุณมารุตใช้สายตามองฉันผ่านกระจก เช่นเดียวกับมุมปากที่หยัดโค้งคล้ายรอยยิ้ม
“แล้วจะไปไหนคะ” ฉันถามเสียงเบาเหมือนกับเป็นการบ่นพึมพำไปกับตัวเองเสียมากกว่า
“โรงพยาบาลไงครับ ผมโทรแจ้งหมอรินไว้แล้ว”
“คะ? คุณหมอคนนั้นน่ะเหรอ ไม่นะคะ ฉันไม่ไป ฉันทำแผลเองได้ พาฉันกลับไปที่บริษัทเถอะ” ทว่าชื่อที่ได้ยินทำให้ฉันเบิกตากว้าง แค่คิดถึงสีหน้าของคุณหมอคนนั้นก็ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
หากฉันไปเจอหน้าเขาอีกมีหวังโดนด่าซ้ำ ดีไม่ดีก็อาจจะถูกราดด้วยแอลกอฮอล์ก็เป็นได้!
“ทำไมล่ะครับ หมอรินใจดีนะ สวยด้วย”
“ใจดีแค่กับพวกคุณแหละค่ะ คุณหมอเขาเกลียดฉัน อย่าพาไปที่นั่นเลยนะคะ ขอร้องล่ะ”
“แต่นายสั่งให้ผมพาคุณมาทำแผล ผมไม่สามารถขัดคำสั่งของเจ้านายผมได้”
“งั้นก็ช่วยจอดแวะร้านสะดวกซื้อให้ทีค่ะ ฉันจะซื้อยามาทำแผลเอง คงไม่มีปัญหานะคะ” ฉันตัดสินใจเสร็จสรรพ แต่ก่อนหน้านั้นก็ถอนหายใจยาวเหยียดให้กับความซื่อตรงของคนคนนี้เกินร้อย
กระทั่งรถยนต์คันหรูขับเทียบมาจอดที่ร้านสะดวกซื้อข้างทาง เป็นคุณรุตนี่แหละที่เดินลงไปซื้ออุปกรณ์ทำแผลมาให้ เขาเดินออกมาพร้อมกับถุงพลาสติกที่มีข้าวของอยู่ในนั้นจนเต็มถุงใหญ่ พอลองหยิบออกมาดูถึงได้พบว่าเขาแทบจะเหมามาทั้งหมดเลยก็ว่าได้
ไหนจะสำลีแพ็กใหญ่ น้ำเกลือสามขวด ปลาสเตอร์สิบชิ้น แอลกอฮอล์ขวดเบิ้ม ผ้าก๊อซแปดซอง แถมยังมีใบเสร็จทิ้งไว้ในถุงให้ดูต่างหน้าอีกด้วยว่าข้าวของทั้งหมดในถุงนี้ราคาเก้าร้อยเจ็ดสิบสี่บาท!
“คุณรุต! นี่คุณเหมามาหมดทั้งชั้นเลยหรือไงเนี่ย!” ฉันหยิบยกของทั้งหมดให้คุณรุตเพื่ออยากย้ำชัดให้เขาได้รู้ว่ามันมากเกินความจำเป็นจริง ๆ
“ก็ในเมื่อคุณไม่ไปโรงพยาบาลผมก็ต้องซื้อมา ไม่ถูกเหรอครับ”
คำตอบที่ได้รับทำเอาฉันถึงกับอ้าปากค้าง ไม่มีคำใดจะพูดออกมา เฉกเช่นเดียวกับเขาที่หันไปจดจ่อกับหนทางตรงหน้า โดยไม่มีทีท่าจะสะทกสะท้านกับของที่ตัวเองซื้อมาเลยสักนิด
ซื้ออุปกรณ์ทำแผลมาเกือบพัน ราคาแบบนี้ไปโรงพยาบาลให้หมอทำแผลสบาย ๆ ไม่ดีกว่าหรือไง!
“ทำแผลสิครับ หรือว่าอยู่บนรถแล้วไม่สะดวก” เขาปรายสายตามองฉันผ่านกระจกอีกครั้ง
“สะดวกค่ะ แต่ช่วยขับช้ากว่านี้ได้ไหมคะ ฉันกลัวว่าจะทำมันเปื้อนเบาะรถคุณ ฉันไม่มีปัญญาชดใช้ให้หรอกนะ” ปากก็พูดขมุบขมิบที่มันเต็มไปด้วยความหมั่นไส้สุดขีด แต่ในมือก็หยิบหยูกยาและสำลีออกมาเพื่อทำแผลของตัวเองให้เรียบร้อยสักที
“แล้วขับวนกลับไปทำไมคะ จะไปไหนเหรอ” ฉันถามทั้งที่ยังคงงุ่นง่วนกับการทำแผลตัวเอง หากแต่สายตาดันเห็นว่าเมื่อครู่นี้เขาวนรถกลับไปตามเส้นทางเดิมที่จากมา
“กลับไปรับคุณไตรครับ”
“คะ?”
“เจ้านายผมคุยกับคุณนุ้ยเสร็จแล้วครับ”
คราวนี้ฉันยิ่งงุนงงไปมากกว่าเดิม ก้มหน้ามองนาฬิกาในข้อมือก็พบว่ามันเพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น การที่พี่นุ้ยนัดพบกับลูกค้าแต่ละครั้งก็ใช้เวลาพูดคุยกันไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง แล้วทำไม...
“ช่วยมานั่งข้างหน้าข้างผมด้วยนะครับ คุณไม่ควรเทียบตัวกับเจ้านายผม” คุณรุตเอ่ยบอกเสียงเข้ม และเพียงไม่กี่นาทีตัวรถก็ขับมาถึงจุดหมายซึ่งก็คือหน้าร้านกาแฟที่ใช้เป็นสถานที่นัดคุย
ความงุนงงเหลอหลายังคงปรากฏอยู่ กระทั่งประตูถูกเปิดออกนี่แหละฉันถึงได้สติสะดุ้งโหยง รู้ตัวว่าคุณไตรได้ขึ้นมานั่งบนรถซึ่งเป็นเบาะที่อยู่ข้างกายของฉันแล้วเรียบร้อย
“ลงมาครับ” คุณมารุตเอี้ยวตัวแล้วหันมาหาฉันเพื่อเป็นการย้ำคำพูดของตัวเองเมื่อครู่
“เอ่อ...ค่ะ ๆ สักครู่นะคะ” ฉันตอบเสียงลนลาน มือสองข้างก็รีบหยิบจับอุปกรณ์ทำแผลให้เข้าไปอยู่ในถุงก่อนจะขยับตัวเพื่อลงไปจากรถ
“ไม่ต้อง”
ทว่าเป็นเสียงของคุณไตรที่ดังขึ้น ฉันจึงต้องหันไปมองถึงได้เห็นว่าตอนนี้คุณมารุตได้หันกลับไปแล้ว ส่วนคุณไตรเองก็หันใบหน้าออกไปทางนอกกระจก มันจึงทำให้ฉันเลือกที่จะนั่งตัวติดชิดกับประตู กระทั่งตัวรถขับเคลื่อนออกไปตามทางนั่นแหละถึงได้กล้าผ่อนหายใจเบา ๆ เพราะกลัวว่าคนข้างกายจะได้ยิน
“นายครับ สิบห้านาฬิกา” เสียงของคุณรุตเอ่ยขึ้นกับผู้เป็นนาย หากแต่คนฟังอย่างฉันเองก็ยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาเช่นกัน แต่ก็พบว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาตามที่เขาบอก
“คนเดิมหรือเปล่า”
“ไม่แน่ใจครับ แต่มันขับตามมาตั้งแต่ที่นายขึ้นรถครับ”
ประโยคนี้ทำเอาฉันถึงกับหันขวับไปมองยังระดับสายตาของคุณไตร ที่ตอนนี้เขากำลังมองไปยังรถเก๋งสีดำที่กำลังขับเทียบใกล้ขนานกันอยู่ข้าง ๆ
หากมองผ่าน ๆ ฉันก็คิดว่ามันคงเป็นรถยนต์ที่ขับร่วมกันตามท้องถนนธรรมดา แต่กระจกฝั่งข้างคนขับที่ลดระดับลงแล้วมีกระบอกปืนสีดำจ่อเล็งนี่แหละที่ทำให้ฉันมั่นใจว่าตอนนี้ถึงคราวซวยของตัวเองแล้ว!
“เกิดอะไรขึ้นคะ!” ฉันโพล่งออกมาทันทีเมื่อเห็นปืนจากรถคันข้าง ๆ
“มึงรีบขับไป อย่าให้มันตามทัน!”
ไม่ได้รับคำตอบ แถมร่างกายยังเสียงการทรงตัวเอนพิงไปกับเบาะหนัง เนื่องจากตัวรถยนต์คันหรูได้เร่งระดับความเร็วไปจากเดิม อุปกรณ์ทำแผลต่าง ๆ ก็ได้ร่วงหล่นไปอยู่ที่เท้า ครั้นจะก้มลงไปเก็บก็เห็นว่าคุณไตรโน้มตัวไปหยิบกระบอกปืนที่ซุกซ่อนอยู่ใต้เบาะฝั่งคนขับ
สิ่งนั้นทำให้ฉันเบิกตากว้าง ร่างกายนั่งนิ่งแข็งจนแทบไม่กล้าขยับตัว หากแต่ลึก ๆ ก็ได้แต่ภาวนาขอให้ชีวิตตัวเองอยู่รอดปลอดภัยจากเหตุอันตรายที่กำลังเผชิญ
“นายจะยิงสู้มันเหรอครับ มันเสี่ยงมากนะนาย” คุณมารุตถามพลางลอบมองคนเป็นนายผ่านกระจก ซึ่งมันก็เป็นจังหวะที่คุณไตรลดระดับกระจกและกางแขนจ่อกระบอกปืนพอดิบพอดี
“อึก...นี่มันอะไรกันคะ! เกิดอะไรขึ้น!”
ปัง!
ปัง!
“กรี๊ด!!!” คำตอบที่ได้รับก็คือเสียงกรีดร้องของตัวเอง
เพราะหลังจากที่ฉันเอ่ยถาม เสียงปืนก็ดังสนั่นมาพร้อมกับกระสุนจากรถฝังตรงข้ามที่เฉียดผ่านกระจกไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร ทันทีที่คุณไตรลดระดับกระจกลง รถอีกคันก็เร่งความเร็วขับเทียบก่อนจะลั่นไก โดยที่คุณไตรเองก็ยิงสวนกลับไปเช่นกัน
ฉันรีบดึงสายเข็มขัดมาคาด พร้อมกับการเกาะที่เบาะด้านหน้าเพื่อยึดร่างกายของตัวเองเนื่องจากกลัวอันตราย ไหนจะมือปืนที่จ่อเล็งหวังเอาชีวิต ไหนจะความเร็วที่คุณมารุตขับทะลุสองร้อย ฉันไม่อาจคิดเข้าข้างตัวเองได้เลยว่าชีวิตของฉันในวันนี้จะอยู่รอดพ้นไปได้อีกหรือไม่!
“แม่งเอ๊ย! มึงขับไปที่โกดังใหญ่ เดี๋ยวกูจะยิงสกัดมันเอง!” คนข้างกายเอี้ยวตัวกลับมาพลางหยิบกระสุนที่เก็บซ่อนอยู่ในกล่องข้างรถมาเติมใส่กระบอกปืนของตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็โน้มตัวออกไปอีกครั้ง
ฉันได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกราว ๆ สามสี่นัด ครั้นหันมองก็พบว่าจุดหมายที่คุณไตรลั่นไกนั้นคือล้อรถทั้งสี่ของอีกฝ่าย กระทั่งตัวรถเสียหลักขับไปต่อไม่ได้นั่นแหละเขาถึงได้พาตัวเองกลับเข้ามา
“มือปืนคนเดิมครับนาย ผมจำรูปร่างมันได้” ทันทีคุณไตรกลับเข้ามา เสียงของคุณรุตก็เอ่ยขึ้น เฉกเช่นเดียวกับความเร็วของตัวรถที่ค่อย ๆ ไต่ระดับลงไปจากเดิม
“มึงแน่ใจใช่ไหม”
“ถึงมันจะคลุมใบหน้าเอาไว้แต่ผมจำได้ครับนาย ตัวมันจะเล็ก ๆ แต่ฝีมือมันไม่ธรรมดา”
ฉันหอบลมหายใจเข้าปอดหนัก ๆ พลางหันซ้ายหันขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีรถคันไหนขับตามมา
บอกตามตรงว่าตอนนี้สติของตัวเองหลุดล่องลอยไปถึงไหนต่อไหน คำถามมีมากมายนับร้อยนับพัน แต่ด้วยความตกใจกลับทำให้ฉันไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้เลยด้วยซ้ำ
เป็นอีกครั้งสินะที่ฉันต้องมาเสี่ยงตายเพราะเขาคนนี้!
SAIPAN’S PART ; END