‘ซือจื่อ’ เป็นชื่อรองของเขา ท่านอาจารย์โจวเป้าตั้งให้เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กชายคึกคะนอง มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ ไม่พอใจผู้ใดเป็นอันได้ลงไม้ลงมือโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ท่านอาจารย์โจวเป้าไม่รับศิษย์มากนัก คราวนั้นมีเพียงสามคน เขาไม่ถนัดทั้งบุ๋นและบู๊ แต่ชื่นชอบการแพทย์ จึงมีน้อยคนนักที่จะรู้ชื่อรองของเขา แต่นั่นเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว นานจนเขาเกือบลืมเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว
ไม่มีใครเรียกชื่อนี้นานแล้วจริงๆ
ตะกร้าของเซียวเหรินมีเห็ดและสมุนไพรอื่นๆ ที่นับว่ามีค่ายิ่ง เขาสะพายขึ้นหลังแล้วเดินกลับไปที่กระท่อมหลังน้อยของตนที่อยู่ตีนเขาเป่ยหมาง หากคนปกติทั่วไปเดินเท้าใช้เวลาราวสองชั่วยาม แต่เซียวเหรินใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็มาถึงที่หมาย เขาอยู่อย่างสันโดษ ไม่มีผู้ติดตามหรือบ่าวรับใช้ เขาไม่อนุญาตให้คนเจ็บคนป่วยพักอยู่ในเรือนของเขา แต่กระนั้นกระท่อมของเขาก็ไม่ไกลหมู่บ้านนัก แม้เรือนของเขาไม่ต้อนรับคนเจ็บคนป่วย แต่คนเหล่านั้นก็อาศัยขอแบ่งปันห้องพักจากชาวบ้านเพื่อรอให้เขารักษา แต่ครั้งนี้เขากลับละเมิดกฎของตนเอง เพราะหญิงสาวในชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล
เพียงเข้าไปในรั้วบ้าน ดวงตาของเขาเห็น ‘ติงชุ่ย’ หญิงสาวในหมู่บ้านที่มักเข้ามาดูแลความเป็นอยู่ของเขา ทั้งที่ปฏิเสธนางไปหลายครั้ง แต่นางก็ยังมาช่วยซักเสื้อผ้าทำความสะอาดบ้านให้เขา
“ท่านเซียว”
เนื่องจากเขาไม่ชอบให้ผู้อื่นเรียกว่า ‘หมอ’ นางจึงเรียกเขาว่า ‘ท่านเซียว’ หญิงสาวท่าทางโผงผางยิ้มเจื่อนแล้วขยับตัวออกห่างจากบานประตูที่ปิดสนิท
เซียวเหรินเพียงถอนหายใจหนักๆ เช่นทุกครั้ง เขาเดินเข้าไปแล้ววางตะกร้าสมุนไพรลง ติงชุ่ยกุลีกุจอรินน้ำชาส่งได้ แต่สายตายังพะวักพะวนที่หลังบานประตูนั้น
“เจ้ามาก็ดีแล้ว” เซียวเหรินจิบน้ำชาชุ่มคอแล้วเอ่ย “มีคนเจ็บอยู่
ข้างใน ข้าอยากให้เจ้าช่วยหาเสื้อผ้าสตรีให้สักชุดสองชุด”
“สตรี!” ติงชุ่ยหลุดปากพูดเสียงดัง “มะ...มีสตรีอยู่ที่บ้านท่าน!”
“นางได้รับบาดเจ็บต่อหน้าข้า” เซียวเหรินทำเป็นไม่เห็นสีหน้าตกใจของติงชุ่ย ขณะที่กำลังจะผลักบานประตูเข้าไปด้านใน เขาก็รับรู้ได้ว่ามีชายอีกคนเดินแบกฟืนเต็มบ่าเข้ามา
“ท่านเซียว ข้าเอาฟืนมาเพิ่มให้ อีกสี่ห้าวันเผาถ่านเสร็จจะเอามาให้ท่านเซียวอีกขอรับ”
หลัววั่งเป็นอีกคนในหมู่บ้านที่แวะเวียนมาบ้านของเซียนเหรินทุกวัน คอยช่วยงานทั่วไป และหากมีใครเจ็บป่วยมาแล้วทำกิริยาไม่ดีต่อท่านเซียว หลัววั่งจะออกหน้าขับไล่และปกป้องเสมอ ภายนอกเซียวเหรินคล้ายไม่สนใจผู้อื่น แท้จริงแล้วกลับห่วงใยยิ่งนัก แม้อยู่คนเดียวอย่างสันโดษ แต่ชาวบ้านผลัดกันแวะเวียนมาดูแล หลัววั่งทำไร่ไถนาดูเป็นคนไม่ค่อยฉลาดนัก แต่มีพละกำลังมหาศาล คนในหมู่บ้านจึงลงความเห็นให้หลัววั่งมาคอยดูแลเซียวเหริน หากมีเรื่องต้องแบกหามคนเจ็บคนป่วย หลัววั่งทำได้อย่างไม่ลำบาก ส่วนติงชุ่ยเป็นลูกสาวผู้ใหญ่บ้าน นางแอบหลงรักเซียวเหรินตั้งแต่ที่ชายผู้นี้มาอยู่ที่กระท่อมเชิงเขาเป่ยหมาง
แต่เดิมไม่มีใครรู้ว่าเซียวเหรินมีความรู้รักษาผู้คนได้ จนกระทั่งวันหนึ่งมีเด็กตกต้นไม้บาดเจ็บสาหัส หมู่บ้านเล็กๆ ไม่มีหมอ แม่ของเด็กน้อยวิ่งมาที่ภูเขาหวังใจจะบนบานกับเทพภูเขา เซียวเหรินอยู่ระหว่างเก็บของป่าได้ยินเข้าจึงติดตามไปดูอาการของเด็กน้อย ราวกับปาฏิหาริย์เด็กน้อยผู้นั้นฟื้นคืนสติ ขาที่บิดพลิกรูปก็ถูกเซียวเหรินพลิกกลับคืนรูปร่างเดิม เด็กน้อยพักฟื้นเพียงสิบกว่าวันก็สามารถวิ่งเล่นได้อีกครั้ง
นับแต่นั้น ยามใดที่คนในหมู่บ้านเจ็บป่วยก็พากันมาให้เซียวเหรินรักษา การรักษาอันล้ำเลิศของเซียวเหรินขจรขจายดุจกลิ่นหอมของดอกไม้ที่สายลมหอบพัดพาไปไกลสุดไกล แต่ด้วยความรักสันโดษของเซียวเหรินจึงไม่ยอมให้ใครมาพักรักษาตัวใกล้ที่พักของเขา กลายเป็นว่าคนที่เดินทางมาไกล จะมาให้เซียวเหรินตรวจวินิจฉัยอาการ แต่เมื่อจำเป็นต้องพักค้างแรม ต้องขอแบ่งปันห้องพักจากชาวบ้านแทน พวกเขาจึงมีรายได้ทางอ้อม และคอยส่งหลัววั่งมารับใช้เซียวเหริน
“ท่านเซียวไปเก็บสมุนไพรแต่เช้ามืด กลับมาเหนื่อยๆ ประเดี๋ยวข้าทำอาหารเช้าเลยนะขอรับ”
ฝีมือการทำอาหารของหลัววั่งไม่นับว่าเลิศรสแต่ก็ไม่เลวร้าย เซียนเหรินพยักหน้ารับ มือใหญ่ทาบไปที่บานประตู ยังไม่ทันผลักบานประตูให้เปิดออก เสียงหวีดร้องตกใจดังขึ้นจากข้างใน หลัววั่งหน้าตาแตกตื่น ติงชุ่ยแทบจะเป็นฝ่ายพุ่งเข้าไปดูหน้าสตรีที่เซียนเหรินยอมให้พักในบ้านเดียวกับเขา แม้คนที่ประกาศตัวมิให้ผู้อื่นเรียก ‘หมอ’ แต่ด้วยมโนธรรมที่มีอยู่ ชายหนุ่มรีบเปิดประตูเข้าไปทันที
หญิงสาวผมยาวสลวยเส้นผมดุจหมึกดำนั่งบนพื้น เสื้อผ้าที่สวมนั้นเป็นของบุรุษทำให้เมื่อร่างไร้เรี่ยวแรงทรุดนั่งลง ไหล่เสื้อเลื่อนลงจนเกือบเห็นเนินอกสล้าง ใบหน้างดงามเงยขึ้นมองผู้ที่ก้าวเข้ามาด้านใน ดวงตาดุจราตรีกาลเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก ริมฝีปากสีชาดเผยอขึ้นเล็กน้อย ผิวกายเนียนละเอียดราวหยกใส รอยบอบช้ำเป็นจ้ำเขียวชวนให้รู้สึกเวทนา หลัววั่งที่ตามเข้ามาถึงกับน้ำลายหนืดกลืนลงคออย่างยากลำบาก ในขณะที่ติงชุ่ยกัดริมฝีปากแน่นไม่ส่งเสียงกรีดร้องโวยวาย นางรู้ดีว่ามีสตรีมากมายที่หวังจะได้ใกล้ชิดเซียนเหริน แต่สตรีเหล่านั้นล้วนถูกนางกีดกันออกไปจนหมดสิ้น ยกเว้น...
เซียวเหรินก้าวเข้าไปใกล้แล้วทรุดลงนั่งเบื้องหน้านาง ยื่นมือไปกระชับเสื้อผ้าของเขาที่สวมคลุมร่างบอบบาง ชุดเจ้าสาวของนางเปียกชื้น ยามนั้นเขาช่วยนางที่หมดสติไปแล้ว จำเป็นต้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกน้ำนี้ออก มิเช่นนั้นนางจะถูกพิษไข้รุมเร้า แต่เพราะเขาอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ไม่มีเสื้อผ้าสตรี เขาจึงเอาเสื้อคลุมตัวยาวของตนให้นางสวมแล้วใช้สายรัดเอวรวบผูกไว้ เขาไม่ได้สนใจผิวกายของนางที่เย้ายวนตา แต่รอยช้ำบนร่างกายเริ่มเด่นชัด เขาจับชีพจรทันทีของหญิงสาว