บทที่5. ห้องคนเจ็บ

1792 คำ
คิ้วหนาของกีวอนขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นร่างบอบบางของไนรา ยืนละล้าละลังอยู่หน้าบานประตูห้องคนเจ็บ ในมือประคองถาดกาแฟ 2 ถ้วยและขนมปังปิ้ง ชายหนุ่มผมสั้นเกรียนอดถอนหายใจหนักๆ ไม่ได้ บ้านหลังนี้มีคนรับใช้มากมายแต่คนหนูคนเดียวของบ้านกลับขี้เกรงใจไม่ยอมเรียกให้คนอื่นมาช่วยทั้งที่งานพวกนี้ไม่ใช่หน้าที่ของเธอเลยสักนิดและนี่...ก็คงจะเปิดประตูไม่ได้ละซิ “หึ...หึ” “คุณกีวอน” ใบหน้าหวานหันมาทางเสียงหัวเราะในลำคอ อยากจะยิ้มที่เห็นเขาเดินเข้ามาใกล้ แต่พอเห็นแววตาที่ขบขันก็ทำเอาเธอค้อนวงใหญ่เข้าให้ ก็ดูสิ! เธอถือของหนักขนาดนี้ยังมายืนหัวเราะเธออีก “อยู่ด้วยกันเป็นเดือนยังทำเป็นจำหน้ากันไม่ได้อีก” เขาเอ่ยเสียงเข้มแต่ก็เอื้อมมือไปเปิดประตูให้ ใจจริงอยากแกล้งคนตัวเล็กอีกหน่อยแต่ก็อดสงสารไม่ได้ “ทะ...ทำ...ทำไมพูดจาแบบนี้ละคะ!” ใบหน้าหวานใสแดงกล่ำขึ้นมาทันที นี่ถ้าใครมาได้ยินเข้าคงเข้าใจผิดคิดว่าเธอกับเขา ‘อยู่ด้วยกัน’ จริงๆ “พูดอะไร?” กีวอนขมวดคิ้วยุ่งลองนึกทบทวนสิ่งที่พูดไปเมื่อสองสามนาทีที่ผ่านมา ก็ได้แต่โคลงศีรษะไปมา แต่เมื่อเห็นผู้เป็นนายที่นั่งหน้ายุ่งบนเก้าอี้ใกล้เตียงคนเจ็บ คิ้วก็แทบจะขมวดผูกกันเป็นเงื่อนตายเลยทีเดียว ‘บอกแล้ว...อย่าอ่านข่าวตอนช้าก็ไม่เชื่อ’ กีวอนบ่นในใจแต่ก็ช่วยไนรายกกาแฟส่งให้คนเจ็บซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดกับหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษสองสามฉบับบนเตียงเหมือนกัน “เกิดสึนามิที่ไหนหรือครับคุณจัสมิน” น้ำเสียงนิ่งขรึมของกีวอนทำให้จัสมินเงยหน้าขึ้นพลางถอดแว่นสายตาออก “ทั่วโลกเลยนะซิ เนี่ยสึนามิทางเศรษฐกิจเลยละ” จัสมินรับถ้วยกาแฟจากไนราขึ้นมาดมกลิ่นหอมละมุน “กาแฟของไนราเนี่ยแค่ได้กลิ่นก็หายเครียดไปเยอะเชียว” ไนราได้แต่ยิ้มอายๆ เป็นการรับคำชมนั้น แต่พอหันไปเจอใบหน้าคมเข้มขององครักษ์หนุ่มใหญ่เธอก็ชักสีหน้าแล้วสะบัดหน้าหนีทันที “ไม่ค่อยเห็นผู้หญิงดื่มกาแฟดำ” ซาคีลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้นหัวเราะ “คุณคิดว่ามันเป็นหนักขนาดนั้นเลยหรือ” “อะไรคะ?” จัสมินเอียงคอถามอย่างน่ารักแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างนึกได้ “อ้อ! แน่นอนฉันเชื่อว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ เมื่อราวๆ สิบห้าปีที่แล้วประเทศทางฝั่งเอเชียก็เคยเกิดภาวะวิกฤตอย่างที่อเมริกาเป็นกัน” “ท่าทางคุณจะหลงใหลประเทศฝั่งเอเชียเสียจริง”นับวันผู้หญิงคนนี้จะมีอะไรให้เขาชื่นชมมากขึ้นเรื่อยๆ “ก็โลกคือสถานที่แห่งการเรียนรู้นี่ค่ะ” จัสมินหัวเราะระรื่น “ฉันหลงใหลคลั่งไคล้ตัวเลขเป็นชีวิตจิตใจเชียวละ ฉันเชื่อว่าพวกมันซื่อสัตย์ที่สุด” “คุณกำลังจะบอกว่าเหมือนจิตใจคนที่ไม่สามารถคาดเดาได้อย่างนั้นหรือ?” ซาคีลย้ำและได้คำตอบจากจัสมินเป็นการพยักหน้ารับ “ก็ตัวเลขมันซื่อสัตย์จริงๆ นี่ เราสามารถหาเหตุผมหรือสูตรการคำนวณมารอบรับความเป็นไปของมันได้ แต่หากเป็นเรื่องปรัชญาแล้ว มันเป็นเรื่องของเหตุและผล ซึ่งแต่ละลัทธิความเชื่อก็จะแตกต่างกันไป” “ผมรู้สึกเหมือนยืนอยู่นอกโลกยังไงก็ไม่รู้” กีวอนเปรยออกมาอย่างเจตนาให้องค์หญิงได้ยิน ทำให้จัสมินหัวเราะเสียงใสออกมา “โอเค ฉันผิดเองแหละ” จัสมินยกมือยอมแพ้ “แล้วคนปกติเค้าคุยอะไรกันละ” “ก็คุยเรื่องข่าวสารบ้านเมืองของเรา หรือไม่ก็ประเทศเพื่อนบ้านอย่างอาเนียไงครับ ทำไมเราต้องพูดถึงแต่พวกอเมริกา หรือยุโรป” “อาเนีย?” จัสมินเลิกคิ้วสูงเป็นการตั้งคำถาม “คุณจัสมินไม่รู้จักประเทศอาเนียหรือคะ” ไนราทำตาโตอย่างไม่เชื่อ และทำให้ซาคีลทำหน้ายุ่งขึ้นมาทันที ก็...ถึงแม้ว่าประเทศของเขาจะเป็นเพียงประเทศเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความมันจะหาไม่เจอบนแผนที่โลกนี่นะ! “ใช่ประเทศเดียวกับอาเนียดาเรหรือเปล่า” จัสมินถามย้ำพลางหยิบขนมปังกรอบขึ้นมากัดกิน “ใช่แล้วครับ แต่พวกเราชาวพื้นเมืองมักเรียกสั้นๆ ว่าอาเนีย” กีวอนถอยหายใจอย่างโล่ง อกที่เจ้านายของตนเองก็ไม่ได้โง่งมขนาดไม่รู้จักประเทศเพื่อนบ้านของตนเอง “ได้ข่าวว่าเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยทหารับจ้างและกองโจรทะเลทรายใช่ไหมนะ” จัสมินหันไปถามกีวอนหวังจะได้พึ่งพาคนของตนเองได้บ้าง “ข่าวว่าเป็นเช่นนั้น” กีวอนก้มศีรษะยอมรับ “และเป็นประเทศที่มาอาณาเขตติดกับบาฮาเนียของเรา” “ไม่มีประเทศไหนส่งทหารเป็นสินค้าส่งออกหรอกนะกีวอน” จัสมินยิ้มที่มุมปาก “ฉันว่ามันเป็นข่าวสร้างภาพมากกว่า” ประโยคของจัสมินทำให้ซาคีลกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาสีควันบุหรี่จับจ้องใบหน้างดงาม แม้จะไร้เครื่องสำอางแต่กลับเปล่งประกายราวน้ำค้างที่กระทบแสงตะวัน “อาเนียดาเรเป็นประเทศที่เพิ่งเปิดตัวต่อสายตาชาวโลกไม่นานนี่เอง แต่ไม่ได้หมายความว่าประเทศนี้เพิ่งงอกขึ้นเสียหน่อย” จัสมินเสยผมยาวที่ลงมาปรกหน้าแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ถึงสายตาสีควันบุหรี่ที่จ้องมอง “เราควรจะถามคนที่เป็นพ่อค้าซึ่งน่าจะรู้ดีเรื่องนี้เป็นที่สุด” กีวอนไม่คอยไว้ใจผู้ชายที่ใช้ชื่อเลโอคนนี้นักหรอก เขารู้สึกถึงบางอย่างที่ผู้ชายคนนี้ช่าง ‘ไม่ธรรมดา’ เลย “ที่คุณพูดก็มีส่วนถูก” ซาคีลในนามแฝงว่าเลโอเอ่ยตอบน้ำเสียงราบเรียบ “แต่สิ่งที่กีวอนพูดมาก็มีส่วนถูกมากกว่า อาเนียดาเรเป็นประเทศที่มีทหารจองโจรเข้มแข็ง แต่ก็เพื่อปกป้องทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน” “คุณพูดเหมือนตัวเองเป็นทหารมากกว่าพ่อค้า” กีวอนดักคอทำให้ซาคีลเผลอยิ้มยอมรับความช่างสังเกตของอีกฝ่าย “คุณค้าขายอะไรคะ” จัสมินหันมาถามอย่างสนใจ “เป็นกองคาราวานเหมือนในหนังหรือเปล่า” “คุณจัสมิน!” กีวอนตบหน้าผากตัวเองไปหนึ่งที ก็ดูองค์หญิงของเขาซิ ทำท่าราวกับหาข้อมูลไปผจญภัย ...ยิ่งเป็นองค์หญิงที่ชอบทำอะไรแผลงๆ อยู่ด้วย แต่อาการของกีวอนทำให้ไนราหัวเราะคิกคักออกมา “ก็ทำนองนั้น เราค้าขายอูฐและม้า” เขาไม่ได้พูดปดก็ในตระกูลดาเรของเขาขึ้นชื่อเรื่องม้าสายพันธุ์เยี่ยมยอดนี่... “น่าสนุกจัง คงเหมือนในเรื่องซินแบดผจญภัย” จัสมินทำท่าตื่นเต้นออกมา เธอช่างเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยเก็บอารมณ์ความรู้สึกของตนเองเลย นี่คงเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของคนที่เติบโตอยู่ในอังกฤษละมัง “ชีวิตจริงมันไม่ใช่ในนิทานนะครับ” กีวอนเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่ถึงอย่างนั้นการค้าขายมนุษย์ก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะบริเวณตะเข็บชายแดนอย่างนี้มันเป็นเรื่องที่เราต้องระวังแม้กระทั่งกับใครใกล้ตัวก็ตาม” ซาคีลยิ้มที่มุมปาก เขาชอบนิสัยขี้ระแวงของกีวอนมากกว่าจะรู้สึกรำคาญที่ถูกประชดประชันบ่อยๆ เพราะนอกจากซายาร์ดลูกพี่ลูกน้องคนสนิทของเขาแล้ว ไม่เคยมีใครที่ทำให้เขาวางใจได้เลย “งั้นเราสมควรพูดเรื่องจริงจังได้แล้วซิ” จัสมินทำเสียงขึ้นจมูกเหมือนเด็กถูกขัดใจ “วันนี้เราต้องไปคุยกับบริษัทที่จะมาสร้างโรงเรียนกับโรงพยาบาลให้ฉันใช่ไหม” “ทำไมเราต้องออกไปพบพวกเขา พวกเขาควรเป็นฝ่ายมาหาเราไม่ใช่หรือครับ” “แบบนั้นก็ได้” จัสมินพยักหน้ารับ “แต่ฉันอยากเห็นหน้าตาบริษัทของพวกเขา ที่สำคัญฉันอยากได้คนในท้องถิ่นมากกว่า จะได้เกิดการจ้างแรงงานในชุมชนเป็นการนำเม็ดเงินลงในระดับชุมชนด้วยไง” “สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล” ซาคีลเคยได้ยินจัสมินพูดบ่อยๆ แต่ไม่คิดว่าหญิงสาวจะจริงจังขนาดนี้ “ใช่ค่ะ คุณจัสมินจะสร้างโรงเรียนกับโรงพยาบาลขนาดเล็กเป็นของขวัญแต่งงานให้องค์...องค์ เอ่อ...” ไนรารีบปิดปากที่รู้ว่าตัวเองพูดเกินไปแล้ว และยิ่งเห็นสายตาดุๆ ขององครักษ์ร่างยักษ์เธอก็รีบก้มหน้างุดทันที “ก็ไม่มีอะไร” จัสมินยักไหล่ “แค่คิดอยากให้ของขวัญที่มีประโยชน์ต่อสังคมเท่านั้นเอง” “ช่างเป็นของขวัญที่ล้ำค่าจริงๆ ” ซาคีลยอมรับและชื่นชมออกมา ไม่บ่อยนักที่เขาจะยอมรับความคิดของผู้หญิงโดยเฉพาะผู้หญิงที่เติบโตมาในวัฒนธรรมของชาวตะวันตก “ฉันจะถือว่านั่นเป็นคำชมนะ” จัสมินระบายยิ้มออกมา “ผมพอมีความรู้ในการออกแบบ...อาจพอจะมีประโยชน์ต่อพวกคุณบ้าง” ซาคีลบอกกับตัวเองว่าเขาไมได้พูดปดอีกนั้นแหละ ก็เขานะสนใจด้านการออกแบบจริงๆ จังๆ เคยร่ำเรียนด้านนี้มาด้วยซ้ำไป “รู้สึกคุณจะเป็นมากกว่าพ่อค้าแล้วนะครับ คุณเลโอ” กีวอนตวัดสายตามองอย่างไม่เกรงใจใคร “ก็ดีซิ ฉันโทรตามสถาปนิกมาจาก เอล บาฮา แต่ยังมาไม่ถึงเสียที ไม่อยากรอเลยกลัวจะไม่ทันตามที่คิดไว้ แต่คุณแข็งแรงพอแล้วหรือคะ” รอยยิ้มเปิดเผยจริงใจของจัสมินทำให้คนที่มองหลงใหลอย่างไม่รู้ตัว “มีคนดูแลใกล้ชิดอย่างนี้ ต้องแข็งแรงขึ้นเป็นธรรมดา” เวลาเขาเจ็บป่วยไม่ค่อยมีใครมาดูแลอย่างนี้เลย แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของประเทศก็ตาม “ถ้ายังไงขอดูโฉนดที่ดินด้วยนะครับ” “ได้ค่ะ กีวอน” “ทราบแล้วครับ” กีวอนเกาศีรษะแกรกๆ ลุกขึ้นเดินออกไปหยิบสิ่งของที่ต้องการ ไนราแอบหัวเราะคิกคัก เพราะนอกจากองค์หญิงจัสมินแล้วไม่มีใครทำให้องครักษ์หน้าเข้มคนนี้ยอมจำนนได้เลยสักคนเดียว แต่ถ้าเป็นคนของหัวใจ เขาจะเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ จู่ๆ ใบหน้าหวานใสของไนราก็แดงขึ้นมา จนเธอต้องแสร้งยกมือไม้ขึ้นปัดไรผมที่ร่วงลงมาเคลียแก้มทันที.
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม