เคฟคอร์ทยาร์ด โฮมสเตย์
โฮมสเตย์แห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตหลินถง ใกล้สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ มีอาคารย้อนยุคก่อสร้างตามอาคารบ้านเรือนในยุคสมัยราชวงศ์ถัง ทุกอาคารมีชั้นเดียวและถ่ายเทอากาศได้ดี ท่ามกลางสวนหย่อมจัดวางตามลักษณะฮวงจุ้ยได้อย่างลงตัวและสวยงาม
“องค์ชาย! องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!!!” เสียงเรียกขานเอ็ดอึงเต็มไปด้วยความโกลาหลขึ้นมาอีกครา
ขนตางามงอนยาวเป็นแพสวยเริ่มกระเพื่อมขึ้นลงติดต่อกัน เมื่อหูของเธอได้ยินเสียงเรียกขานดังกล่าวอย่างชัดเจน ในยามนี้จางเพ่ยอัน กำลังนอนพักผ่อนในโฮมสเตย์ดังกล่าวซึ่งใกล้สถานที่ขุดพบสุสานแห่งใหม่เป็นการชั่วคราว ก่อนจะเดินทางเข้าไปในพื้นที่
เธอและทีมงานจากศูนย์วิจัยเดินทางมาถึงบริเวณที่ขุดพบสุสานก็ปาเข้าไปเย็นย่ำแล้ว จึงต้องแวะพักผ่อนเอาแรงในเขตเมืองของซีอานเพื่อเตรียมตัวเดินทางออกนอกเมืองลุยงานในวันรุ่งขึ้น
ใบหน้าส่ายไปมาเมื่อเสียงเอ็ดอึงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าอยู่ใกล้เพียงแค่ห้องพักติดกันนี่เอง
พรึบ! เปลือกตาที่ปิดสนิทเปิดขึ้นมาทันใด
ดวงตาจ้องเพดานด้านบนเขม็งอยู่เพียงครู่ พร้อมกับร่างอรชรค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งพลางเงี่ยหูฟังเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เธอได้ยินเป็นอะไรกันแน่ หูฝาดไปหรือเกิดขึ้นจริงๆ
“รีบไปตามหมอใกล้ที่สุดมารักษาพระอาการขององค์ชายเร็วๆ เข้า” เสียงตะโกนสั่งการได้ยินเพียงแผ่วเบาราวเสียงกระซิบแผ่วพาดผ่านมากับสายลมก็ว่าได้
“องค์ชายอย่างนั้นเหรอ!” หญิงสาวรำพึงออกมาทันที ครั้นหูของเธอได้ยินเสียงดังกล่าวมาจากสถานที่อันไกลโพ้น เหตุใดหนอจางเพ่ยอันจึงได้ยินเสียงเหล่านั้นได้
ร่างระหงลุกขึ้นจากเตียงนอนทันใด พลางเดินตรงไปทางประตูกระจกซึ่งถูกปิดด้วยผ้าม่าน เมื่อเปิดออกจะเป็นระเบียงด้านนอกที่อยู่ในห้องพักของเธอ หญิงสาวเดินออกไปหยุดยืนอยู่ตรงระเบียงพลางทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า มองเห็นทิวเขารำไรของเมืองซีอาน ทั่วพื้นที่ในมณฑลส่านซีล้วนเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ในยุคโบราณอันยาวนานที่เคยรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีตกาล
ภาพเหตุการณ์ในวันที่กลุ่มอันธพาลไล่ยิงคู่อริจนสนั่นเมืองโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายของประเทศแต่อย่างใด ช่วงเสี้ยววินาทีที่เธอกำลังหนีตายอย่างสุดชีวิต จางเพ่ยอันเห็นบุรุษในชุดเกราะโบราณยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันขาวที่เหล่าอันธพาลโยนระเบิดควันเข้าใส่กัน และหญิงสาววิ่งไปขอความช่วยเหลือจากเขาก่อนจะถูกลูกหลงเมื่อกระสุนปืนเจาะถูกด้านหลังจนล้มลงอยู่ในอ้อมกอดของชายคนดังกล่าว
ท่ามกลางเสียงร้องโวยวายที่ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ จางเพ่ยอันจดจำถ้อยคำที่ชายคนดังกล่าวถามเธอได้เป็นอย่างดีและไม่มีวันลืมเลือน
“แม่นาง! เจ้าเป็นเช่นไร” เสียงนั้นบ่งบอกว่าเขาตกใจอยู่มิใช่น้อยที่เห็นเธอเป็นเช่นนั้น ก่อนจะได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกนัดพร้อมร่างใหญ่ทรุดลงนั่งกอดหญิงสาวเอาไว้แนบอก
“ตกลงวันที่เราถูกยิงผู้ชายที่สวมชุดเกราะคือความจริงหรือความฝันกันแน่ ทำไมคล้ายวิญญาณเจ้าของปิ่นหยกที่ขุดพบในสุสานมาทวงของคืนในศูนย์วิจัยเลยนะ แถมสวมชุดเกราะและหน้ากากสีเงินเหมือนกันซะด้วย ท่าทางจะต้องเป็นผีตัวเดียวกันแน่ๆ เลย” จางเพ่ยอันยืนรำพึงรำพันพลางยกมือขึ้นกอดอก ตั้งใจฟังเสียงที่เธอเพิ่งได้ยินอีกครา
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูติดต่อกันดังแทรกขึ้นมาทันที
หญิงสาวหันกลับมามองประตูห้องพักพลางหันกลับไปดูนาฬิกาที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงของโรงแรม
“จะเที่ยงคืนแล้ว ดึกขนาดนี้ใครมาเคาะประตูห้องว้า” แม่สาวน้อยยืนพึมพำก่อนจะได้ยินเสียงแขกผู้มาเยือน
“อันอัน! นอนหรือยัง” เสียงหัวหน้างานของเธอดังขึ้น
“อ้าว! หัวหน้าหลิวอย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวกล่าวออกมาทันทีด้วยความแปลกใจ ร่างระหงรีบก้าวเข้าไปภายในห้องพร้อมเปิดประตูต้อนรับอย่างรวดเร็ว
และทันทีที่ประตูเปิดออก กล่องไม้ขนาดกะทัดรัดทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสพร้อมแฟ้มเอกสารยื่นส่งให้เธอทันใด
“เธอลืมของสำคัญทิ้งไว้ในรถ” หัวหน้างานสาวใหญ่บอกกลับมา
ดวงตาคู่สวยมองกล่องไม้และแฟ้มเอกสารตรงหน้าด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอจดจำได้อย่างแม่นยำว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในขณะนี้คือ ปิ่นหยกโบราณและผลสรุปการค้นคว้าประวัติความเป็นมาของวัตถุโบราณชิ้นล่าสุด
“หัวหน้าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ นี่คือวัตถุโบราณชิ้นล่าสุดที่สั่งให้อันอัน ค้นคว้าประวัติความเป็นมาและสรุปอายุว่ามาจากสมัยใด ทุกอย่างรายงานอยู่ในแฟ้มและเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว อีกอย่างงานชิ้นนี้หนูส่งให้ตรวจสอบก่อนจะเดินทางมาที่ซีอานไม่ได้หลงลืมทิ้งไว้บนรถเลยนะคะ” หญิงสาวพยายามอธิบายกลับไป
“เก็บเอาไว้! มันเป็นของเจ้า!” หัวหน้างานของหญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่ถ้อยคำที่กล่าวออกมานั้นช่างโบราณเสียนี่กระไร ดวงตาเฝ้าจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของจางเพ่ยอันอยู่ตลอดเวลาก่อนจะยิ้มน้อยๆ พร้อมหันหลังกลับเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีกเลย
ทันใดนั้นเอง
เงาวูบวาบคล้ายดวงวิญญาณหันกลับมามองจางเพ่ยอันพร้อมส่งยิ้มหวานให้อย่างเป็นมิตร ท่ามกลางความตกตะลึงของหญิงสาวเมื่อพบเห็นดวงวิญญาณของผู้หญิงซ้อนทับในร่างหัวหน้างานของเธอ และที่สำคัญดวงวิญญาณนั้นมีใบหน้าที่งดงามอย่างยิ่งยวด จนสะกดหญิงสาวยืนนิ่งไม่ขยับกายแต่อย่างใด
“อัยยะ!” หญิงสาวอุทานออกมาโดยพลันครั้นได้เห็นเช่นนั้น ก่อนจะรีบก้าวถอยหลังกลับเข้าไปในห้องพร้อมรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว
ร่างระหงยืนกอดแฟ้มเอกสารและกล่องไม้บรรจุปิ่นหยกโบราณไว้แนบอก ดวงตากลอกกลิ้งไปมามองรอบๆ ห้องพักก่อนจะปิดเปลือกตาลงพลางสะบัดศีรษะติดๆ กัน
“นอกจากฉันจะมีสัมผัสพิเศษเห็นอดีตและอนาคตของคนอื่นๆ ได้แล้ว ยังสามารถมองเห็นดวงวิญญาณของภูตผีปีศาจได้อีกอย่างนั้นด้วยเหรอ เป็นไปได้ยังไงกัน เห็นผีในชุดเกราะแม่ทัพยังไม่พอ ยังเห็นดวงวิญญาณผีสาวส่งยิ้มหวานมาให้อีกด้วย ให้ตายสิจางเพ่ยอัน! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่!” หญิงสาวบ่นเป็นหมีกินผึ้งเลยทีเดียว ก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างช้าๆ
ดวงตาคู่สวยก้มลงมองกล่องไม้ที่เธอกอดเอาไว้แนบอกอยู่ในขณะนี้ พลางเฝ้าครุ่นคิดทบทวน ร่างระหงเดินผละออกจากประตูห้องพักก่อนจะนำแฟ้มเอกสารไปวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง มีเพียงกล่องไม้ที่ถือติดมือเดินกลับไปเตียงนอนก่อนจะทรุดกายลงนั่งพร้อมเลื่อนฝากล่องเปิดออก หยิบปิ่นหยกโบราณออกมาพิจารณาใกล้ๆ
“ท่าทางปิ่นหยกอันนี้เจ้าของต้องหวงมากแน่ๆ เขาคงต้องการให้เอากลับไปคืนที่เดิม หาไม่แล้วจะมาปรากฏดวงวิญญาณให้เราเห็นทำไม ขนาดมาเองไม่ได้ยังทำภาพหลอนให้เห็นได้ด้วย แถมยังให้ได้ยินอะไรเป็นตุเป็นตะไปทั่ว ใหญ่โตมิใช่เล่นเสียด้วยเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ เชื่ออีตาผีแม่ทัพนี่จริงๆ ว่าแต่ทำไมต้องเป็นเราด้วยว้า” จางเพ่ยอันบ่นพึมพำออกมาเป็นการใหญ่ ภายในใจเฝ้าครุ่นคิดหาวิธีแก้ไขผีแม่ทัพที่หวงปิ่นหยกของตนอยู่ตลอดเวลา
ทว่าไม่ว่าจะเฝ้าครุ่นคิดหาวิธีเช่นไร แต่ก็แลดูเหมือนสมองของเธอในยามนี้ช่างตีบตันเสียนี่กระไร มือเรียวสวยค่อยๆ บรรจงวางปิ่นหยกโบราณลงบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะล้มตัวลงนอนเมื่อเปลือกตาของเธอจู่ๆ ก็เริ่มหนักอึ้งอย่างมิรู้สาเหตุเสียขึ้นมาดื้อๆ
หาวววว!!! เสียงหาวนอนดังออกมาเบาๆ
“โอ๊ย! ไม่ไหวแล้ว… ง่วง! นอนดีกว่า พรุ่งนี้ยังต้องเข้าไปภายในบริเวณสุสานอีก เดี๋ยวค่อยคิดหาทางใหม่ก็แล้วกัน ราตรีสวัสดิ์นะท่านแม่ทัพ ฉัน... จางเพ่ยอันขอตัวนอนพักผ่อนเอาแรงก่อนแล้ว เดี๋ยวจะพยายามหาวิธีให้คุณได้ของรักของหวงกลับคืนไปจะได้ไม่ต้องมาคอยตามตอแยฉันอีก… โอเคนะ… อือ” หญิงสาวพูดเองตอบเองอยู่คนเดียวพร้อมล้มตัวลงนอนก่อนจะผล็อยหลับสนิทภายในเวลาอันรวดเร็ว