ในขณะเดียวกัน
ช่วงเวลานี้ราชวงศ์โจวซึ่งเคยปกครองแคว้นต่างๆ มากมายเริ่มเสื่อมถอย ไร้สิ้นอำนาจปกครองแคว้นน้อยใหญ่ในเวลานี้ได้แต่อย่างใด หลังจากกษัตริย์โจวผิงหวางย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ลั่วอี้ (ลั่วหยาง) ดินแดนทางทิศตะวันตกทั้งหมดตกเป็นของแคว้นฉิน ซึ่งได้ผนวกแคว้นหรือดินแดนชนเผ่าหรงจู่ซึ่งอยู่ชายแดนราชวงศ์โจวกลายเป็นมหาอำนาจทางตะวันตก
ในขณะที่ดินแดนซานซีเป็นของแคว้นจิ้น ดินแดนซานตงเป็นของแคว้นฉู่และแคว้นหลู่ ดินแดนหูเป่ยเป็นของแคว้นฉู่ ดินแดนเป่ยจิงและหูเป่ยตอนเหนือเป็นของแคว้นเยี้ยน ต่อมาดินแดนทางตอนใต้แม่น้ำฉางเจียง (แม่น้ำแยงซีเกียง) เป็นของแคว้นอู๋และแคว้นเย่วและแคว้นอื่นๆ
หลังจากแคว้นใหญ่ๆ ทั้งหมดผนวกเอาแคว้นเล็กๆ ในราชวงศ์โจวมาเป็นดินแดนของตน ทำให้เริ่มมีอำนาจมากขึ้นเปลี่ยนเป็นแคว้นใหญ่ และเริ่มต้นเปิดฉากที่มาของสงครามแห่งการแย่งชิง เต็มไปด้วยความโหดร้ายของการแก่งแย่งอำนาจกันของแคว้นใหญ่ๆ เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่
ซึ่งในเวลานี้แคว้นใหญ่ที่มีอำนาจและแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วหล้ามีด้วยกันสิบแคว้น อันได้แก่ แคว้นฉู่ แคว้นฉี แคว้นจิ้น แคว้นเอี้ยน แคว้นเยี่ยน แคว้นเยว่ แคว้นเจิ้ง แคว้นอู๋ แคว้นหลู่และแคว้นฉิน ซึ่งไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าในเวลาต่อมาจากสิบแคว้นใหญ่จะเหลือเพียงเจ็ดแคว้นเท่านั้น
และในกาลต่อมาแคว้นจิ้นได้ล่มสลายลงและแยกออกเป็น แคว้นจ้าว แคว้นเว่ยและแคว้นหาน ที่มีอิทธิพลและอำนาจแข็งแกร่งจนต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์กลายเป็นเจ็ดแคว้นใหญ่เต็มไปด้วยอำนาจและมีอิทธิพลในยุคจ้านกว๋อ ซึ่งต่อมาก็คือ แคว้นฉู่ แคว้นฉี แคว้นหาน แคว้นจ้าว แคว้นเว่ย แคว้นเยี่ยนและแคว้นฉิน
หากแต่กาลเวลาขณะนี้แคว้นฉินยุคนี้คือหนึ่งในแคว้นใหญ่ ซึ่งช่วงระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมาแผ่ขยายอาณาเขตและยึดดินแดนมาได้อย่างมากมายจนผนึกดินแดนแคว้นเล็กๆ มาอยู่ใต้การปกครองและในขณะนี้ แคว้นฉินกำลังมีพระราชพิธีสำคัญที่ถูกจัดขึ้น นอกจากพระราชพิธีฝังพระศพอดีตเจ้าผู้ครองแคว้นแล้ว กำลังจะมีพิธีสถาปนาฮองเฮาพระองค์ใหม่เคียงคู่กับฉินรุ่ยกง ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นองค์ปัจจุบัน
เมืองผิงหยาง
จวนสกุลจาง
จวนขนาดใหญ่ของอัครเสนาบดีจางฟง ตั้งอยู่ในเมืองผิงหยาง ซึ่งในครั้งอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของแคว้นฉินมานานเกือบสองร้อยปี ก่อนจะย้ายเมืองหลวงมาที่เมืองหยง ซึ่งเป็นเมืองหลวงปัจจุบันของแคว้นฉินได้ประมาณร้อยปี สกุลจางเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนักฉินสืบต่อมาหลายชั่วอายุคน เพราะบรรพบุรุษต้นตระกูลสืบทอดมาจากเชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์ซาง และสืบทอดต่อๆ กันมากลายเป็นสกุลจางอยู่ในขณะนี้
ซึ่งจวนสกุลจางนอกจากจะอยู่ที่เมืองผิงหยางด้วยแล้ว ยังมีอยู่ที่เมืองหยงด้วยเช่นกัน ซึ่งจางฟงและฮูหยินเจียงรวมไปถึงบุตรชายคนโตที่มีตำแหน่งขุนนางในราชสำนักฉินเช่นเดียวกันกับบิดา พำนักอยู่ที่จวนในเมืองหลวงหยง ส่วนบุตรชายคนที่สองจนถึงคนที่สี่รวมไปถึงบุตรสาวเพียงคนเดียวพำนักอยู่ที่จวนสกุลจางในเมืองผิงหยาง เนื่องจากต้องเข้าศึกษาในสำนักหยู ซึ่งบุรุษชนชั้นสูงและมีฐานะดีจะเข้ารับการศึกษาในสำนักแห่งนี้ที่มีมาแต่โบราณ
และสตรีสาวที่ได้รับการคัดเลือกให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮา หามีเชื้อสายราชวงศ์แต่เป็นเชื้อสายของขุนนางใหญ่ที่มีอำนาจมากที่สุดในราชสำนักฉินขณะนี้ จางเจี๋ยอี้ธิดาเพียงหนึ่งเดียวของอัครเสนาบดีของจางฟง ผู้ถูกเลือกให้เป็นฮองเฮาและพิธีสถาปนาจะมีขึ้นภายหลังเสร็จสิ้นพิธีฝังพระศพอดีตเจ้าผู้ครองแคว้นนับไปอีกสิบวันก็จะเป็นฤกษ์มงคล
ขบวนเสด็จจากราชสำนักฉินกำลังตั้งแถวยาวเหยียดเพื่อรอรับว่าที่ฮองเฮาพระองค์ใหม่อยู่บริเวณหน้าจวนสกุลจาง เพื่อนำเข้าวังหลวงเตรียมความพร้อมสำหรับพิธีสถาปนาที่จะมีขึ้นในอีกสิบวันข้างหน้า ผู้คนมากมายต่างมายืนออกันอย่างเนืองแน่นบริเวณหน้าจวนเพื่อรอยลโฉม จางเจี๋ยอี้ ซึ่งเล่าลือกันปากต่อปากมาว่า รูปโฉมของนางล่มแคว้นบ้านเมือง
แต่แล้วผู้คนกลับต้องผิดหวัง เมื่อแม่นางงามล่มเมืองปรากฏกายออกมาพร้อมผ้าปิดบังใบหน้า เผยให้เห็นแค่เพียงดวงตากลมโตเท่านั้น ร่างอรชรสวมอาภรณ์สีดำสลับแดง ซึ่งเป็นสีประจำของราชสำนักฉินและเป็นสีประจำแคว้น สีดำหมายถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ สีแดงคือบารมีมากล้นเหลือทั้งสองสีถือเป็นสีมงคลของแคว้นฉินที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในขณะนั้น
ธิดาจากสกุลจางก้าวออกจากประตูจวนโดยมีสายตาของคนเป็นแม่ ฮูหยินเจียงซึ่งอุตส่าห์มาจากเมืองหลวงเดินตามหลังเพื่อส่งบุตรีของนางขึ้นรถม้าของทางราชสำนักฉิน เดินทางเข้าวังหลวง ด้วยความเป็นห่วงและรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่านางจะได้เห็นธิดาเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เป็นครั้งสุดท้ายในจำนวนบุตรทั้งห้าคน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุรุษด้วยกันทั้งสิ้น
หากแต่ฮูหยินเจียงและอัครเสนาบดีจางฟง มิได้มีเพียงจางเจี๋ยอี้ เป็นธิดาเพียงคนเดียว แต่เคยมีด้วยกันสองคน ด้วยเพราะทั้งคู่มีลูกสาวฝาแฝดนั่นเอง ทว่าฝาแฝดคนน้องได้หายสาบสูญไปเพราะสาเหตุพลัดตกลงไปในแม่น้ำเมื่อตอนอายุหกขวบ และถูกกระแสน้ำพัดหายไปจนไร้ร่องรอย
จากวันนั้นจนถึงวันนี้มิเคยปรากฏข่าวคราวและร่องรอยสามารถสืบเสาะค้นหาได้อย่างใดและทั้งสองต่างทำใจได้แล้วว่า ลูกสาวฝาแฝดอีกคนได้ตายไปแล้ว จึงทำให้จางเจี๋ยอี้ กลายเป็นธิดาเพียงหนึ่งเดียวของอัครเสนาบดีใหญ่จางฟง
“อี้เอ๋อร์!” เสียงของฮูหยินจางเรียกรั้งบุตรีเอาไว้ในขณะที่กำลังก้าวจะขึ้นรถม้า
ใบหน้าที่ถูกปิดด้วยผ้าผืนบางสีขาวขุ่นปักลายเป็นรูปดอกไม้เล็กๆ หันกลับมามองมารดาผู้ให้กำเนิด พลางส่งยิ้มหวานกลับไปเมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของนาง
“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลรักษาเนื้อรักษาตัวเองให้เป็นอย่างดี หากแม้นมีโอกาสจะกลับมาเยี่ยมท่านพ่อและท่านแม่ หรือไม่ก็จะให้ทางวังหลวงนำท่านเข้าไปพบข้า” แม่นางคนงามตอบมารดากลับไป
ในขณะที่คนเป็นแม่ได้แต่ยิ้มออกมาบางๆ หากแต่แฝงเร้นความเศร้าครั้นได้ยินเช่นนั้น
“ชีวิตในวังแตกต่างจากด้านนอกยิ่งนัก จงระวังให้จงหนัก ตำแหน่งฮองเฮาของเจ้าที่ได้รับการแต่งตั้งในครั้งนี้ หาได้เกิดจากความรักที่เจ้าผู้ครองแคว้นพึงพอใจตัวเจ้าแต่อย่างใด แต่มันเกิดขึ้นเพราะต้องการอำนาจของท่านพ่อเจ้าให้มาอยู่เป็นฐานกำลังสำคัญในราชสำนัก ชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขได้เยี่ยงไร” นางเฝ้ารำพึงรำพัน
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงดงามยิ้มเจื่อนๆ ด้วยนางมีความรู้สึกไม่ต่างไปจากที่มารดาได้กล่าวออกมาแม้แต่น้อย แต่ถ้าปฏิเสธตำแหน่งฮองเฮาอย่างไม่ใยดี มีหรือจะทำไม่ได้ แต่นางจะต้องเห็นแก่ตระกูลเป็นใหญ่มากกว่าตนเอง เพราะอำนาจในราชสำนักที่อยู่ในกำมือของนางขณะนี้ มิได้มาง่ายๆ จะให้พังทลายลง เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับคนอกตัญญู
“ชีวิตของข้าเป็นสุขแล้วท่านแม่ที่ได้เกิดมาแทนคุณตระกูลและท่านพ่อท่านแม่ ส่วนจะเกิดอะไรขึ้นนับจากนี้ไป นั่นก็คือชะตาฟ้าลิขิตที่ข้าต้องเผชิญ สบายใจเถิดอย่างไรเสียข้าจะกลับมาเยี่ยมท่านบ่อยๆ เท่าที่จะทำได้”
เสียงหวานบอกกลับไปพลางตรงเข้าสวมกอดร่างอวบของมารดาอย่างแนบแน่น ก่อนจะตัดใจก้าวขึ้นรถม้าพร้อมหญิงรับใช้คนสนิทติดตามเข้าไปวังหลวงพร้อมกัน
ขบวนรถม้าจากราชสำนักค่อยๆ เคลื่อนออกจากหน้าจวนสกุลจางไปอย่างช้าๆ มุ่งหน้าเดินทางไปยังเมืองหยงซึ่งพระราชวังหลวงแห่งแคว้นฉินอยู่ที่นั่น โดยมีทหารอารักขาคอยคุ้มกันอย่างหนาแน่นไปตลอดทาง ด้วยต้องใช้เวลาเดินทางจากเมืองผิงหยางจนถึงเมืองหลวงไม่ต่ำกว่าสามวันจึงจะถึงที่หมาย
ทว่าขบวนถวายอารักขาที่เฝ้าถวายความปลอดภัยของว่าที่ฮองเฮาพระองค์ใหม่กันอย่างหนาแน่นในขณะนี้ หาใช่ขบวนองครักษ์จากทางวังหลวงเสียทั้งหมด ด้วยภายในขบวนดังกล่าวกลับมีองครักษ์ฝีมือดีที่ถูกองค์ชายอิ๋งเฟิ่งส่งมาปะปนเพื่อลอบสังหารธิดาจากสกุลจางให้พบกับจุดจบก่อนจะก้าวเข้าสู่พระราชวังหลวงซึ่งมีด้วยกันจำนวนหกนาย
และทั้งหมดต่างส่งสัญญาณเพื่อลงมือตามแผนที่ได้วางเอาไว้ครั้นถึงสถานที่สำหรับใช้ลงมือสังหารจางเจี๋ยอี้ ว่าที่ฮองเฮาของแคว้นฉิน
บริเวณชายป่า
ขบวนเสด็จของว่าที่ฮองเฮาบัดนี้ได้ตั้งกระโจมที่ประทับบริเวณเขตชายป่าดงดิบของเมืองผิงหยาง โดยเลือกตั้งกระโจมใกล้กับลำธารเพื่อสามารถใช้เป็นสถานที่อาบน้ำชำระล้างกายและกักเก็บน้ำสะอาดไว้ใช้ดื่มในระหว่างการเดินทาง ด้วยต้องใช้เวลาอีกสองวันก็จะถึงเมืองหยงซึ่งเป็นเมืองหลวง ด้วยอาณาเขตพื้นที่ของเมืองผิงหยางกว้างใหญ่พอๆ กับเมืองหยง จึงต้องใช้เวลาในการเดินทางพอสมควร อีกทั้งเส้นทางหลักเกิดดินถล่มทำให้ไม่สามารถผ่านไปได้ จำเป็นต้องใช้เส้นทางอ้อมขุนเขาจึงจะเข้าสู่เขตเมืองหยง
ท่ามกลางป่าดงดิบและสัตว์ป่าที่ออกมาหาอาหาร ต่างเดินมาให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ กวางตัวขนาดใหญ่ถูกล่ามาทำเป็นอาหารในค่ำคืนนี้ โดยทีมล่าคือองครักษ์ทั้งหกนายขององค์ชายสามอิ๋งเฟิ่ง เริ่มลงมือตามแผนที่วางเอาไว้เพื่อลอบสังหารจางเจี๋ยอี้ ว่าที่ฮองเฮาพระองค์ใหม่ในค่ำคืนนี้
กวางเลิศรสถูกย่างจนเกรียมส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ถูกตัดแบ่งแจกจ่ายให้กับทุกคนอย่างทั่วถึงโดยหารู้ไม่ว่าในเนื้อกวางดังกล่าวได้วางยาทำให้หลับอย่างแรงซึ่งได้มาจากแคว้นเอี้ยนของพระชายารองซึ่งเป็นองค์หญิงแห่งแคว้น และพระนางเพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นพระสนมเอกของเจ้าผู้ครองแคว้น ฉินรุ่ยกง
แต่ตำแหน่งดังกล่าวหาใช่สิ่งที่พระนางต้องการเพราะตำแหน่งฮองเฮาคือสิ่งที่ทรงหมายปอง และสังหารสตรีทุกนางที่ขวางทางการเข้าขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ และพระชายาเอกของฉินรุ่ยกง สมัยยังเป็นองค์รัชทายาท ก็ทรงสิ้นพระชนม์ในขณะที่มีพระประสูติกาลพระราชธิดาด้วยฝีพระหัตถ์ขององค์หญิงแคว้นเอี้ยน
ท่ามกลางเปลวเพลิงจากองไฟที่กำลังลุกโชน บรรดาทหารอารักขาและองครักษ์จากวังหลวงซึ่งคอยเดินตรวจเวรยามไปทั่วบริเวณที่ตั้งค่าย จู่ๆ ร่างร่วงหล่นลงไปทันใด
ตุบ! ตุบ! ตุบ! ทหารอารักขาเริ่มพากันหมดสติอย่างพร้อมเพรียงกัน ภายในบริเวณดังกล่าวจากที่มีเสียงพูดคุย และปรึกษาหารือเกี่ยวกับแผนถวายความปลอดภัยให้แก่ฮองเฮาพระองค์ใหม่ กลับเงียบงันลงไปทันใดไร้สิ้นเสียงไปนานกว่าครึ่งก้านธูปเลยทีเดียว
สวบ! สวบ! สวบ! ท่ามกลางความเงียบงัน องครักษ์ทั้งหกนายในชุดสีดำปกปิดใบหน้าอย่างมิดชิด ค่อยๆ เดินออกมาจากทิศทางที่จะต้องไปยังลำธารซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากกระโจมที่ประทับ ก่อนจะสำรวจให้แน่ใจว่าทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นหมดสติกันหมดทุกคน
องครักษ์ทั้งหกแยกย้ายกันทำหน้าที่ของตนทันที คอยดูต้นทางและเตรียมแผนขั้นต่อไป พร้อมองครักษ์สามนายรีบรุดเข้าไปในกระโจมของว่าที่ฮองเฮา ซึ่งโฉมงามล่มเมืองอยู่ภายในนั้น
ทันทีที่เข้าไปภายในกระโจมองครักษ์ในชุดดำต่างกวาดสายตาไปทั่วบริเวณอย่างรวดเร็ว ร่างสาวใช้คนสนิทฟุบลงอยู่กับโต๊ะอาหารซึ่งมีเนื้อกวางอยู่ในสำรับอาหารเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ทว่ากลับไม่พบธิดาสกุลจางอยู่ภายในนั้น
“บัดซบสิ้นดี! นางหายไปได้ยังไง มิได้ถูกวางยาดั่งเช่นคนอื่นๆ อย่างนั้นหรอกรึ!” องครักษ์หนึ่งในนั้นสบถออกมา
“หากนางไม่กินอาหารจะอยู่ได้เยี่ยงไร ตลอดการเดินทางข้าก็ไม่เห็นนางกินอะไรเลยนอกจากน้ำเท่านั้น” หนึ่งในนั้นเอ่ยออกมาพร้อมมองหาสำรับอาหารค่ำที่นำมาให้ธิดาสกุลจาง
“นางไม่แตะต้องเนื้อกวางเลยพวกเจ้าดูสิ มีแต่ผลไม้เท่านั้นที่หมดไปกว่าครึ่งและกินขนมกุ้ยฮวาไปบางชิ้นเพียงเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่า” กล่าวได้เพียงเท่านั้นทั้งสามรีบรุดออกจากกระโจมอย่างรวดเร็ว
“แยกย้ายค้นให้ทั่ว! ธิดาสกุลจางไม่ได้แตะต้องอาหาร!” องครักษ์ซึ่งเป็นหัวหน้าตะโกนบอกคนที่เหลือทันที ก่อนจะแยกย้ายค้นหาโดยมิรอช้า
บริเวณริมลำธาร
ในขณะที่ทั่วทั้งกระโจมและบริเวณด้านนอกกำลังถูกรื้อค้น ร่างอรชรของธิดาสกุลจางกำลังวิ่งตรงไปยังริมลำธารเพื่อหลบหนีการไล่ล่าของผู้ประสงค์ร้าย ทันทีที่นางเห็นร่างของสาวรับใช้คนสนิทจู่ๆ ก็ฟุบลงคาโต๊ะอาหาร ก่อนจะพบว่าบรรดาทหารที่คอยอารักขาอยู่ด้านนอกเริ่มทยอยหมดสติไปทีละคนสองคน
โฉมงามล่มเมืองล่วงรู้โดยพลันว่ามีผู้ปองร้ายเอาชีวิต นางเล็ดลอดออกมาโดยการมุดหนีออกจากกระโจม ทันทีที่ชายชุดดำทั้งหกปรากฏกายพร้อมวิ่งหนีออกจากบริเวณดังกล่าวมาอย่างไม่คิดชีวิต ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงริมธารมองสายน้ำเชี่ยวกรากไหลผ่านหน้าไป
“ข้าจะหนีไปทิศทางใดได้เล่าในเวลากลางคืนเช่นนี้ ไม่ว่าจะมองไปแห่งหนใดมีแต่ความมืดมิด จะร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ใดได้ ที่มีอยู่ก็หมายปองชีวิตหาได้ช่วยเหลือให้อยู่รอดปลอดภัย จะข้ามแม่น้ำก็คงไม่พ้นต้องจมน้ำตาย เป็นผีเฝ้าก้นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกรากเช่นนี้” โฉมงามยืนรำพึงพลางมองสายน้ำเบื้องหน้ามิรู้จะทำเช่นไรต่อไปดี
ทันใดนั้นเอง
“เจ้าคิดจะข้ามแม่น้ำไปอย่างนั้นหรอกรึคุณหนู” เสียงบุรุษดังกระหึ่มอยู่ด้านหลัง
ชายชุดดำค่อยๆ ก้าวออกมาจากชายป่าก่อนจะทยอยมาจนครบ ยืนเรียงหน้ากระดานมองโฉมงามล่มเมืองด้วยสายตาเย็นยะเยียบ พร้อมสาดอาวุธไปที่ร่างงามทันที
ฉึก! ฉึก! ฉึก! เข็มเงินถูกอาบยาพิษร้ายแรงวิ่งตรงเข้าเจาะหน้าอกช่วงบนและช่วงลำคอฝังแน่นเข้าไปที่ร่างโฉมสะคราญอย่างไม่ปรานี จนนางทรุดฮวบลงกับพื้นพร้อมยกมือขึ้นจับเข็มเงินอาบยาพิษที่ฝังอยู่ในร่าง และเริ่มสำแดงเดชออกมาทันใด
โลหิตเริ่มไหลรินออกจากปาก จมูก หูและตาทั้งสองข้าง ทวารทั้งเจ็ดถูกทำลายด้วยยาพิษจากแคว้นเอี้ยน ซึ่งถูกนำมาใช้ในการสังหารว่าที่ฮองเฮาในครั้งนี้
“ท่านสาดเข็มเงินอาบยาพิษทำไม! เก็บนางเงียบๆ ก็เพียงพอแล้ว หากมีคนมาพบศพนางก็ล่วงรู้พอดีว่าถูกลอบสังหารเพราะยาพิษ แทนที่จะทำให้นางจมน้ำตาย” หนึ่งในนั้นเอ่ยตำหนิ
“ข้าทำตามพระบัญชาขององค์ชายสาม พระองค์ทรงมีรับสั่งกำชับมาว่าหากเก็บให้เงียบไม่ได้ ก็ไม่ต้องสนใจทำยังไงก็ได้เพื่อให้นางสูญสิ้นชีพไม่ต้องสนใจพิธีการให้มากความ ในเมื่อนางหลบหนีออกมาแบบนี้ จะตายแบบไหนก็มีค่าเท่ากัน ถ้ากังวลกับศพของนางละก็ข้ามีวิธี”
บุรุษชุดดำทั้งหกต่างพยักหน้าขึ้นลงครั้นได้ยินเช่นนั้น สายตาเฝ้าจับจ้องร่างของธิดาสกุลจางกำลังล้มลงฟาดกับพื้นดิน ใบหน้างดงามหันไปทางแม่น้ำที่กำลังไหลเชี่ยวกราก ก่อนจะเห็นเงาเลือนรางของเด็กผู้หญิงค่อยๆ ปรากฏขึ้นในขณะที่ลมหายใจเริ่มติดขัด ร่างน้อยๆ กำลังเดินเล่นอยู่ท่ามกลางสายน้ำตรงหน้า
ครั้นวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึงโฉมงามล่มเมืองเห็นคนที่เฝ้าคิดถึงและสำนึกผิดอยู่ตลอดเวลาว่านางเป็นคนทำให้น้องสาวฝาแฝดตกลงไปในแม่น้ำและหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
“อะ... อัน... อันอัน!!!” จางเจี๋ยอี้รำพึงเรียกชื่อน้องสาวฝาแฝดที่พลัดตกลงไปแม่น้ำเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน ในขณะที่มีอายุเพียงแค่หกปีต่อหน้าต่อตาของนาง
“เจี๋ยเจี๋ย!!!” เสียงน้องสาวฝาแฝดส่งเสียงเรียกนางพร้อมส่งยิ้มให้
“อันอัน!!!” เสียงเรียกชื่อเล่นของน้องสาวฝาแฝดดังออกมาเบาๆ พร้อมลมหายใจสุดท้ายของชีวิตหลุดลอยออกจากร่าง ดวงตากลมโตเบิกค้างมองไปที่แม่น้ำก่อนจะขาดใจตายนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง
ท่ามกลางสายตาของชายชุดดำทั้งหกเฝ้ายืนมองวาระสุดท้ายของชีวิตนางอย่างใจเย็น ครั้นเห็นร่างนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงนานกว่าครึ่งชั่วธูป ทั้งหมดก้าวเข้าไปหาร่างไร้วิญญาณนั้นอย่างไม่ชักช้า
“ถ่วงศพลงก้นแม่น้ำจะได้ไม่ลอยขึ้นมาให้ผู้ใดพบเห็น แต่ถึงจะลอยขึ้นมาได้คิดหรือว่าจะมีผู้ใดจดจำได้” กล่าวพร้อมพากันหัวเราะออกมาเป็นการใหญ่
เวลาเคลื่อนผ่านไปเพียงไม่นาน เรือลำขนาดย่อมสามารถต้านทานกระแสน้ำได้เป็นอย่างดีบัดนี้ปรากฏอยู่กลางแม่น้ำที่กำลังไหลเชี่ยวกรากอยู่ในขณะนั้น ร่างอันไร้วิญญาณของจางเจี๋ยอี้ถูกมัดด้วยเชือกและถ่วงหินขนาดใหญ่ไว้ที่กลางลำตัว โดยมีชายชุดดำยืนจับร่างส่วนหัวและปลายเท้าพลางเหวี่ยงไปมาก่อนจะโยนลงแม่น้ำทันที
ตูม!!! ร่างไร้วิญญาณจมดิ่งลงก้นแม่น้ำตามแรงถ่วงของก้อนหินไปอย่างรวดเร็ว
โฉมงามล่มเมือง จางเจี๋ยอี้ ซึ่งมีความงดงามเป็นที่เลื่องลือกลับพบจุดจบกลายเป็นผีเฝ้าก้นแม่น้ำหามีผู้ใดล่วงรู้ทั้งสิ้น ว่าที่ฮองเฮาพระองค์ใหม่ยังมิทันได้รับการแต่งตั้งกลับไปไม่ถึงตำแหน่งที่สตรีทั่วหล้าหมายปอง เรือลำน้อยค่อยๆ เคลื่อนออกจากกลางแม่น้ำไปอย่างช้าๆ เมื่อแน่ใจแล้วว่างานที่ได้รับมอบหมายครั้งนี้สำเร็จตามแผน