คนป่าที่ 8
ตัวเมียบ้าของหัวหน้าเผ่า
วันรุ่งขึ้น ว่านลุ่ยตื่นนอนแล้วก็รู้สึกกระฉับกระเฉงยิ่งนัก ต่างกับพี่หมีและพี่สาวจอมยั่ว ทั้งสองนอนหมดสภาพขึ้นอืด นางจึงใช้โอกาสนี้ฝนมีดตนเองจนคมเงา จากนั้นจึงชวนน้องสาวตะวันจันทราออกจากถ้ำ จับจูงมือกันไปที่ลำธารเพื่อหาปลา
สองสาวสงสัยยิ่งนัก มีดที่พี่สาวสติไม่ดีถืออยู่แตกต่างจากของพวกตนมาก ว่านลุ่ยเห็นว่าทั้งสองสงสัยก็ไม่หวง ยื่นส่งให้ทั้งคู่พิจารณาดู
มีดปังตอเล็กๆ เท่าฝ่ามือ ว่านลุ่ยพันด้ามด้วยเถาวัลย์ไม้ พอเห็นน้องสาวตะวันจะนำมาปะทะกับมีดหิน นางก็รีบร้องเสียงหลงห้ามไว้ แต่ไม่ทันแล้ว มีทั้งคู่ฟันใส่กันดัง เพร้ง! คุณหนูใหญ่จึงรีบแย่งจากมืออีกฝ่าย ด้วยใบหน้าเหมือนจะอยากหลั่งน้ำตา
“อู กา อูก้า อู อู” !!!
นางไม่เข้าใจที่น้องสาวตะวันพูด แต่เดาได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดี เพราะปังตอสุดที่รักยามนี้บิ่นแล้ว แต่มีหินของนางสาวตะวันกับไม่เป็นอะไร
สามสาวเล่นอยู่ที่ลำธารตั้งแต่เช้า จนเที่ยงก็ขึ้นจากน้ำพร้อมปลาตัวเล็กๆ จำนวนมาก
“อูก้า อูก้า อู อู” !!!
ขณะจะกลับ น้องสาวตะวันก็ต้องส่งเสียงด้วยความแปลกใจ เมื่อพี่สาวเสียสติไม่ยอมตามมาด้วย นางกับนั่งลงบนโขดหิน นำปลาที่หามาได้ใช้มีดตัดหัวออก จากนั้นแล่ผ่าครึ่งแบะเป็นแผ่น สร้างความงุนงงให้สาวชาวป่าจนต้องยืนชมดู
ปกติพวกนางได้ปลามาก็เพียงโยนเข้ากองไฟเท่านั้น รอจนสุกก็เอามากิน ไหนเลยต้องใช้มีดแล่ หากตัวใหญ่หน่อยก็เสียบไม้ วางไว้ข้างๆ กองไฟก็กินได้แล้ว
ยิ่งอย่าว่าแต่ปลาตัวเล็กๆ เช่นนี้ บางครั้งพวกนางก็กินกันสดๆ โยนเข้าปากเคี้ยวๆ ให้ละเอียดก็กลืนลงท้อง ไม่รู้จะเอามีดไปแล่มันเพื่ออะไร
ทั้งสองงุนงงกับการกระทำพี่สาว แต่ก็รอจนกระทั่งนางเล่นเสร็จ จากนั้นจึงพากันเดินกลับถ้ำไป
วันเวลายังคงผ่านไปเรื่อยๆ นางตัวเล็กยิ่งมาอาการยิ่งหนัก บัดเดี๋ยวขุดดินบัดเดี๋ยวเผาหิน เคาะป๋องๆ แป๋งๆ ไปทั่ว จนกระทั่งวันหนึ่งเค้าได้หมูป่าตัวโต นางก็วิ่งไปแล่เอาส่วนที่ผู้อื่นทิ้ง หอบหิ้วกลับถ้ำด้วยความยินดีปรีดา
“มันหมู!” ว่านลุ่ยต้องการมันหมู นางชอบกินอาหารมันๆ เลี่ยนๆ ที่สุด จึงรีบไปแย่งเอามันทั้งหมดของหมูตัวนั้นแต่เพียงผู้เดียว
คุณหนูใหญ่ขณะยินดีก็ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย นางกำลังถูกผู้อื่นเวทนาสงสารในความโง่ มันเป็นส่วนที่ไม่มีชาวป่าผู้ใดต้องการ นำมารับประทานก็ไม่อร่อยเท่าเนื้อ ดังนั้นชนชาวป่าจึงไม่นิยมนำมาย่างกิน “…”
***
หากแต่ ขณะพี่หมีมองนางตัวเล็กแล่มันหมูแผ่นใหญ่ออกเป็นชิ้นเล็กๆ เค้าสังเกตเห็นมีดของนางไม่เหมือนผู้อื่น มีดที่ทั้งบางและเรียบ ดูไม่เหมือนหินที่พวกตนใช้ ด้วยความสงสัย จึงเดินเข้าไปแย่งออกจากมือหญิงสาว นำมาพลิกซ้ายพลิกขวาชมดู
“เอ๊ะ! เอาของข้าคืนมา เอาของข้าคืนมา!”
ว่านลุ่ยเต้นเร้าๆ อยู่ตรงหน้าพี่หมี นางพยายามยื้อแย่งมีดคืนสุดชีวิต แต่อีกฝ่ายกับชูขึ้นสูง เป็นตายก็ไม่ยอมคืนมีดให้นาง
“อย่า! อย่าทำแบบนั้น!” คุณหนูใหญ่ตกใจสุดขีด เมื่อพี่หมีหยิบมีดหินข้างๆ ขึ้นมา เค้าทำท่าจะกะเทาะทั้งสองเข้าด้วยกัน
แต่ก็ผิดคาด เมื่อพี่หมีมิได้หันคมมีดเข้าใส่ เค้ากับใช้ส่วนสันฟาดหวดมีดทั้งสอง สุดท้ายมีดหินเล่มหนาก็หักออกเป็นสองท่อน พร้อมกับสายตางุนงงสงสัยของพี่หมี ที่ยังลูบๆ คลำๆ มีดนาง
ในความสงสัย พี่หมีเห็นนางแล่หนังหมูอย่างง่ายดาย ปกติพวกตนต้องออกแรงไม่น้อย กว่าจะใช้มีดหินตัดให้ขาด นางตัวเล็กกับลงมือคล่องแคล่ว ราวกับไม่ได้ใช้แรงกดแม้แต่หน่อยเดียว
เจ้าแผ่นดำๆ ทั้งบางทั้งหนัก พอลูบดูส่วนที่สะท้อนแสงก็พบว่าคมมาก เค้าไม่เคยเห็นเจ้าสิ่งนี้มาก่อน จึงไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่นางตัวเล็กกับแสดงสีหน้าโกรธแค้นราวกับจะกันกินเนื้อตน พี่หมีจึงรีบส่งมีดประหลาดคืนให้กับนาง “…”
พี่หมีเดินกลับเข้าถ้ำ สายตาที่มองตัวเมียตัวนี้ก็เปลี่ยนไป หากเค้าจำไม่ผิดมีดของนางคงทำมาจากเจ้าก้อนแดงๆ นั่น ก้อนที่นางชอบนำมาทุบตีตอนเช้าๆ สร้างความรำคาญให้เค้ามาตลอดช่วงหลายวัน....
***
จนกระทั่งฟ้ามืด นางตัวเล็กก็ทำให้ตนต้องแปลกใจอีกครั้ง เมื่อนางก่อไฟแล้วนำไอ้แผ่นดำๆ โค้งๆ ขึ้นมาย่าง ไม่ทราบจะทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร
ความคิดของพี่หมีช่างต่างจากว่านลุ่ย ตอนนี้นางแทบร้องไห้แล้ว นี่เป็นอาหารปรุงรสมื้อแรกนับตั้งแต่ตกเรือ เพียงแค่ได้กลิ่นหอมของมันหมูที่นำลงไปเจียว จู่ๆ คุณหนูใหญ่ผู้เข้มแข็งก็หลั่งน้ำตาออกมา
ว่านลุ่ยนำดินเค็มแถวๆ นี้มาคั้นน้ำ จากนั้นนำมาต้มจนกลายเป็นเกลือไว้เยอะแล้ว กระทะก็ตีขึ้นหยาบๆ เตรียมไว้ จนกระทั่งวันนี้ถึงได้มีโอกาสแสดงฝีมือ
ผักป่าถูกเก็บไว้แต่หัวค่ำ ว่านลุ่ยขุดดินเผาไหหลายใบลงไปฝังไว้ ไหหนึ่งหมักปลาผสมเกลือ อีกไหกะว่าจะเจียวเอาน้ำมันหมูไปใส่ แต่ก็ทนความหิวไม่ไหว สุดท้ายเลยลงมือผัดหมูจนส่งกลิ่นหอม ส่งเสียงซู่ซ่ายามกระทะสัมผัสกับส่วนผสมเครื่องปรุง
ภายในถ้ำ กลิ่นบางอย่างลอยเข้าไปเตะจมูกทุกคน แม้แต่พี่สาวราตรีที่ตาบอดก็สูดจมูกฟุดฟิด! ใช้มือลูบคลำทางเดินติดตามกลิ่นหอมออกมา
“อูก้า อูก้า อู อู ก้า ก้า” !!!
หน้าปากถ้ำ ไม่ไกลจากชะง่อนหิน พี่หมีและคนอื่นๆ เดินมายังเขตแดนของหญิงเสียสติ ทุกคนต่างทราบว่านางชอบเล่นอยู่ตรงนี้ ดังนั้นพี่หมีจึงยึดถือว่าบริเวณนี้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของนาง
ว่านลุ่ยเห็นพวกเค้าส่งเสียงทำท่าสนใจ หญิงสาวก็ใจดีไม่หวง เมื่อผัดจนผักและเนื้อสุกเข้ากันได้ที่ นางก็ใช้ทับพีไม้ตักผัดหมูในกระทะใส่ชามดินเผา ยื่นส่งให้พี่หมีเป็นคนแรกอย่างรู้งาน
“เหอ! เหอ! คนหัวหมีเจ้ากินของข้าแล้วต้องลืมไม่ลงไปชั่วชีวิตแน่นอน!” คุณหนูใหญ่นึกกระหยิ่มในใจ นางแอบดูถูกพี่หมี เค้าคงไม่รู้จักอาหารเลิศรส ด้วยฝีมือเถ้าแก่เนี๊ยที่มีร้านอาหารสิบกว่าร้านเช่นตน ต่อให้มีเครื่องปรุงเพียงน้อยนิด ก็ยังมั่นใจว่ารสชาติต้องไม่ต่ำทรามแน่นอน
จริงดังคาด คราแรกพี่หมีหยิบใสปาก เค้าทำท่าจะคายทิ้ง แต่พอความร้อนหายไปก็เริ่มรับรู้รสชาติ จากนั้นว่านลุ่ยเห็นเค้ายกชามขึ้นซด เคี้ยวตุ้ยๆ แล้วกลืนหมดภายในคำเดียว
นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มใช้ชาม เค้าทำตามสัญชาตญาณล้วนๆ พอกินของที่อยู่ภายในจนหมด ก็ยกขึ้นสำรวจพลิกคว่ำพลิกหงาย สงสัยว่าทำไมของที่อยู่ภายในรสไม่เหมือนเนื้อและผักที่ตนเคยกิน
ในความเข้าใจ ชายหนุ่มไม่รู้จักการปรุง เค้าเพียงคิดไปว่านางตัวเล็กพอนำเนื้อกับผักใส่ไว้ รสชาติอาหารก็เปลี่ยนไป ดังนั้นจึงรีบวิ่งกลับเข้าถ้ำ นำเนื้อย่างใส่ลงไปบ้าง จากนั้นก็ยกซดอีกครั้ง แต่พอกลืนลงท้องก็ต้องแสดงสีหน้าเหยเก “…”
“อูก้า อูก้า อู อู อู” !!!
ว่านลุ่ยเห็นการกระทำพี่หมีก็เข้าใจทันที นางหัวเราะคิกคิกลงไปฟุบกับพื้น จนพี่น้องคนอื่นๆ ส่งเสียงกุลีกุลู หญิงสาวค่อยแบ่งส่วนที่เหลือให้พวกนางบ้าง...
คืนนั้น ชาวเผ่าที่อยู่ด้านล่างได้ยินเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หากทุกคนจำไม่ผิด นี่เป็นเสียงตัวเมียตัวเล็กของหัวหน้าเผ่า ได้ยินว่านางเป็นบ้า แต่ก็ไม่คิดว่าจะบ้าได้ถึงขั้นนี้เลยจริงๆ!
จู่ๆ ชนชาวป่าทั้งหมดก็ออกมาจากกระโจม เงยหน้ามองไปทางถ้ำของหัวหน้าเผ่าที่อยู่บนโนนสูง คิดในใจเช่นเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย “…”
***
รุ่งเช้า
ว่านลุ่ยนึกถึงเหตุการณ์ที่พี่หมีและคนอื่นๆ เอาเนื้อใส่ชาม นางก็อยากจะหัวเราะอีกครั้ง แต่ว่าก็เกิดเรื่องไม่คาดคิด เมื่อตื่นมาก็ไม่มีใครย่างเนื้อกิน ทุกคนต่างรุมล้อมนาง ส่งเสียงกุลีกุลู!
คุณหนูใหญ่ยามนี้ค่อยได้รู้ว่า อะไรคือการทุ่มก้อนหินใส่หลังเท้าตนเอง ทุกคนต่างบีบบังคับให้นางทำอาหารเช้า โดยที่นางหารู้ไม่ว่า นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายในชีวิต ทำให้ตนต้องตกเป็นทาสรับใช้ของคนทั้งหมด ไม่ต่างจากบ่าวไพร่รับใช้ในเรือน “…”
วันเวลายังคงผ่านไปเรื่อยๆ เพียงแต่สำหรับว่านลุ่ยไม่ได้เรียบง่ายอีกแล้ว อย่างเช่นตอนนี้ ทั้งต้องผัดอาหารทั้งต้องรองรับอารมณ์ ถูกกระแทกทิ่มแทงบั้นท้ายรัวๆ
หน้าเตาไฟที่ก่อจากดินเหนียว ว่านลุ่ยได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่ในถ้ำ นางจึงก่อส่วนหนึ่งเป็นครัวบริเวณด้านหน้า จะได้กันลมกันฝน ไม่ลำบากตอนทำอาหารให้ทุกคนได้กิน
เตาไฟแบบต้าเว่ยสูงเกือบถึงเอว หญิงสาวใช้มือข้างหนึ่งค้ำยันขอบเตาไว้ มืออีกข้างถือตะหลิวไม้ ยืนเขย่งปลายเท้า โก่งสะโพกรับแรงกระแทก โดยที่พี่หมีกอดเอวนางแน่น ร่อนเอวขึ้นลงเนิบนาบ หอบหายใจฟึดฟัดอยู่ด้านหลังนาง
“ซีดดด...อู อู อู” ! ว่านลุ่ยสูดปากซีดซาด ร้องอูอูด้วยความเคยชิน นางเสียวยิ่งนัก แม้จะจุกแต่ก็เสียว อดไม่ได้ต้องส่ายวนบั้นท้าย บดอัดกลีบเนื้อให้มากกว่าเดิม
วันนี้นางกำลังทำผัดกระดูกอ่อน ข่าวลือเรื่องความบ้าของนางยิ่งมายิ่งมาก เมื่อวันก่อนตอนแบ่งหมูป่าที่ล่ามาได้ นางถึงกับไม่เอาเนื้อ นำกลับไปแต่กระดูก จนทุกคนซุบซิบนินทากันว่า ตัวเมียหัวหน้าเผ่าโง่บ้าแบบนี้ก็ดี พวกตนจะได้ส่วนแบ่งมากขึ้น กับกลายเป็นที่ยินดีปรีดาของประชากรทุกคน
คำร่ำลือยังไม่จบเพียงเท่านี้ อีกสามวันต่อมา ขณะที่สาวๆ ชาวป่าเล่นกันอยู่แถวลำธาร พวกนางก็เห็นตัวเมียบ้าของหัวหน้าเผ่า ยืนเหม่อมองสายน้ำ บัดเดี๋ยวเดินหน้าถอยหลัง ก้มๆ เงยๆ ไม่ทราบนางกำลังทำอะไร กับเดินไปมาระหว่างถ้ำของตน ขึ้นลงเที่ยวแล้วเที่ยวเล่า เดินไปๆ กลับๆ เป็นสิบรอบ ทั้งไม่ได้หยิบอะไรไปด้วย และไม่ได้ถืออะไรกลับมา ทุกคนต่างซุบซิบกันว่า หญิงบ้าผู้นี้กำลังทำอะไร?
เสียง อูก้า อูก้า ดังแผ่วเบา ว่านลุ่ยแม้ไม่อยากสนใจแต่ก็ยังได้ยิน อดสงสัยไม่ได้ว่าไฉนพวกนั้นจ้องมองตนเองหนอ นางแค่กำลังเดินนับจำนวนก้าวเท่านั้น จะได้รู้จำนวนไม้ไผ่ที่ต้องใช้สอย เพื่อนำมาทำกังหันทดน้ำไปใช้สอยในถ้ำตนเอง “…”
***