คนหัวหมีNC

1940 คำ
คนป่าที่ 3 คนหัวหมี เสียงร้องโอดโอยของสิ่งมีชีวิตยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ความจริงว่านลุ่ยคิดว่าเจ้านั่นเป็นหมีตัวใหญ่ แต่ว่านางก็คิดผิด เพราะหมีที่ไหนจะใช้กระบองไม้! ว่านลุ่ยชมดูสิ่งมีชีวิตน่ากลัวไล่หวดผู้คนอยู่ในกรงขัง นางเห็นเจ้าตัวใหญ่ห่อหุ้มไปด้วยหนังหมี หนวดเคราของมันขึ้นเต็มใบหน้า บนศีรษะก็มีหัวหมีประดับไว้เป็นหมวก ตัดแต่งหนังราวกับชุดคลุมยาว เช่นนี่เองนางจึงเข้าใจว่ามันเป็นหมีตอนแรกพบ ไม่นานหลังจากคนหัวหมีบุก เสียงเฮโลอูก้า อูก้า! ก็ดังตามหลัง นี่กับเหมือนนักเลงหัวไม้ ที่ยกพวกตีกันตามร้านน้ำชาแถวๆ บ้านนาง “อูก้า อูก้า อู อู อู” !!! ช่างเป็นเวลาที่ยาวนานสำหรับว่านลุ่ย หากแต่ความจริงผ่านไปแค่ครู่เดียว ชนเผ่ากินคนเกือบครึ่งร้อยไม่อาจต้านได้ คนหัวหมีร้ายกาจยิ่งนัก พาพวกที่น้อยกว่าอีกฝ่ายบุกทุบตีไปทั่ว ใครหนีไม่ทันก็ถูกฟาดหวดจนตาย สุดทายเพิงพักและกระท่อมน้อยถูกพี่หมีพังลง ทำลายบ้านช่องขับไล่กลุ่มกินคนออกไปจนหมด เหลือเพียงนางและคนอื่นๆ สิบกว่าคนในกรงขัง แล้วเดินจากไปโดยที่ไม่ได้หันมาสนใจพวกนางเลย “เดี๋ยวก่อน ช่วยข้าออกไปหน่อย!” ว่านลุ่ยความจริงก็กลัวคนหัวหมี แต่นางกลัวกรงขังนี่มากกว่า แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่เข้าใจที่นางพูด แต่ก็ยังตะโกนไล่หลังกลุ่มคนที่กำลังจะเดินจากไป “อูก่า อูก้า อู อู!” พี่หมีเดินนำอยู่ด้านหน้าสุด ผู้ติดตามด้านหลังเหมือนจะได้ยินเสียงเรียก แต่ทุกคนไม่กล้าเดินเข้ามาหา ทำเพียงส่งเสียงกุลีกุลู แล้วหันมามองนางที่อยู่ในกรงจากนั้นหันกลับไปมองพี่หมี เป็นเช่นนี้อยู่นานสองนาน ว่านลุ่ยไม่ทราบพวกนั้นสื่อสารยังไง แต่นี่ไม่ใช่ภาษาพูด หากแต่พอนางหันกลับมาดูกรงขังข้างๆ ทุกคนต่างกุมหัวหวาดกลัว ไม่รู้พวกนี่กลัวอะไรกัน “…” เสียงสวบสาบของฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ ว่านลุ่ยจึงหันหน้าไปตามเสียง แต่แล้วนางต้องตกใจสุดขีด เพราะเครื่องเพศใหญ่โตกำลังแกว่งไกวใกล้เข้ามา ใช่แล้ว!คนหัวหมีไม่ได้นุ่งกางเกง พอเค้าเดินมาใกล้นางถึงได้สังเกต เมื่อหันหน้าหนีก็ยังเห็นของผู้อื่นอีก พรรคพวกทั้งหมดก็ไม่มีสิ่งใดปิดบังไว้เช่นกัน! “ดะ! เดี๋ยว! ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ต้องช่วยข้าออกไปก็ได้!” ไม่ทันแล้ว!แม้ว่านลุ่ยจะพูดอะไรออกไปอีก พี่หมีก็ไม่ฟังซักนิด เค้าใช่มือแหวกกรงขังนางออก ท่อนไม้ใหญ่เท่าแขนก็หักอย่างง่ายดาย “อย่านะ!” ว่านลุ่ยทราบแล้วไฉนเจ้าพวกที่อยู่ในกรงข้างๆ ถึงหวาดกลัว ตอนนี้พี่หมีกดศีรษะนางลงกับพื้น มือก็กระชากชุดที่ปกปิดของสงวนกลางหว่างขาออก แทบไม่ได้ใช้แรงกางเกงรัดกุมนางก็ขาดเป็นชิ้น เปิดเผยของลับให้พี่หมีได้ชื่นชม “อย่า! อย่า! อย่า!” หญิงสาวดิ้นรนสุดชีวิต นางอายุไม่น้อยแล้ว รู้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคืออะไร “ใช่แล้ว!” นางกำลังจะถูกขืนใจสินะ กำลังจะถูกคนป่าโสโครกขืนใจอยู่ในกรง ชั่วพริบตาน้ำตาของว่านลุ่ยไหลริน หากแต่เรื่องราวก็ไม่ได้เป็นเช่นนางคิด เพราะพี่หมีเพียงใช้นิ้วแหวกออกดูเครื่องเพศนางเล็กน้อย จากนั้นก็อุ้มตัวนางขึ้นพาดบ่า พาเดินออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ไป “…” ถ้ำแห่งหนึ่ง เสียงกระทบกันของหนันเนื้อปลุกว่านลุ่ยให้ตื่นแต่เช้า แรกๆ ที่ถูกจับมาไว้ในถ้ำนางกลัวมาก แต่หลายวันผ่านไปนางก็ชินเสียแล้ว คนหัวหมีหาได้ข่มขืนตนอย่างที่คิด เค้าหิ้วนางเดินทางสองวันค่อยถึงหุบเขา จากนั้นนำมาทิ้งไว้ในถ้ำที่เป็นเหมือนรังรัก ภายในมีผู้หญิงนอกจากนางอีกหกคนด้วยกัน “อู! อู! อู!” “ตับๆ ตับๆ ตับๆ” หญิงสาวมอมแมมนางหนึ่งร้องครางอย่างเต็มฝืน ผมของอีกฝ่ายถูกคนหัวหมีดึงไว้ เค้าจับให้หญิงผู้นั้นคุกเข่าราวกับสุนัข ตนเองก็ขึ้นขี่อยู่ตรงบั้นท้าย กระแทกแท่งลำใหญ่โตเข้าออกเครื่องเพศอีกฝ่ายอย่างเมามัน ความจริงว่านลุ่ยตื่นนานแล้ว หากแต่นางแกล้งหลับ แม้สองตาจะหรี่แอบมอง และใบหน้าแดงเพราะความเขินอาย สองขาก็บิดไขว้กันไปมา แต่นางก็ไม่อยากยอมรับว่าตนกำลังมีอารมณ์ “…” เมื่อก่อนว่านลุ่ยไม่เคยเป็นเช่นนี้ แม้นางจะใสซื่อแต่ก็ฉลาดเฉลียว เรื่องราวฉันบุรุษสตรีก็เคยได้ฟังได้ยินมามาก แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะได้รับชมอย่างใกล้ชิดด้วยตาตนเอง นับตั้งแต่นางถูกคนหัวหมีแบกกลับมา เดินทางผ่านป่าเขาไม่มีบ้านคนแม้แต่น้อย พอใกล้ถึงถ้ำก็พบกระโจมไม้หลังเล็ก ที่เป็นชาวป่าชนเผ่าใต้อาณัติของคนหัวหมี พวกนั้นไม่ใส่แม้กระทั่งเสื้อผ้า ไม่ว่าบุรุษสตรีล้วนปิดบังตนด้วยหนังสัตว์เล็กน้อยเท่านั้น ตอนมาอยู่วันแรกนางกลัวมาก แต่หญิงสาวที่อยู่ในถ้ำอีกหกคนก็เป็นมิตร แม้จะพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่พวกนางก็มักจะแบ่งเนื้อสัตว์มาให้ ทั้งยังทำท่าสนอกสนใจผู้มาใหม่เช่นนาง พากันส่งเสียง อูก้า อูก้า ห้อมล้อมว่านลุ่ยด้วยความยินดี สตรีในถ้ำหนาตามอมแมมมาก พวกนางผมเผ้าทองแดง มีหนังสัตว์ปกปิดส่วนสงวนเล็กน้อย ยามเดินเหินก็เปิดอ้าออก ไม่อาจปิดบังความอุจาดของตนได้แม้แต่นิด แต่พวกนางก็ไม่อับอาย ยังคงเดินเข้าออกถ้ำเป็นว่าเล่น ทั้งยังยินยอมให้คนหัวหมีเสพสมด้วยทุกที่ ไม่เว้นแม้แต่ต่อหน้าสายตาบุรุษผู้อื่นที่ย่างก้าวเข้ามา อย่างเช่นตอนนี้ “อู อู อู อูก้า อูก้า” !!!! ขณะที่คนหัวหมีกำลังเสพสมกับสตรีใต้ร่างในท่าสุนัข บุรุษร่างใหญ่สี่ห้าคนพลันเดินเข้ามาในถ้ำ พวกเค้ายืนอยู่ห่างเพียงหนึ่งช่วงตัว ส่งเสียงกุลีกุลู ถือหอกไม้อยู่ข้างๆ มองคนทั้งสองเสพสมกันโดยไม่ได้รู้สึกอะไร ครู่ใหญ่ ชายทั้งหมดเดินจากไป คนหัวหมีก็เร่งจังหวะกระแทกเต็มที่ หญิงใต้ร่างก็ร้องโหยหวนราวจะขาดใจ จากนั้นก็เป็นเสียงคำรามราวสัตว์ป่า ตามมาด้วยเสียงหอบหายใจหนักหน่วงของทั้งสองคน “อู อู อู” !!! ชายร่างยักษ์ปล่อยบั้นท้ายหญิงมอมแมมเป็นอิสระนานแล้ว แต่ว่านลุ่ยยังเห็นนางขดตัวสั่นกระตุก ทั้งห้อปากส่งเสียง อู อู อู หอบหายใจ ราวกับว่านางกำลังจะขาดใจตายเสียตรงนั้นเลย “…” พี่หมีจากไปแล้ว ว่านลุ่ยเมื่อเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นนั่ง นางอยู่มาหลายวันจึงเริ่มปรับตัวได้ ทั้งยังตั้งชื่อเรียกสมาชิกในถ้ำทั้งเจ็ดตามใจตนเองอีกด้วย ก่อนอื่นนางเริ่มจากคนหัวหมี เค้าเป็นบุรุษสูงใหญ่หนวดเคราครึ้ม ทั้งร่างเพียงห่อหุ้มด้วยหนังหมีเป็นเสื้อคลุม ส่วนหัวไม่ตัดทิ้งกับนำมาเป็นหมวก หากมองจากด้านหลังก็ไม่ต่างอะไรกับหมีตัวโต ดังนั้นนางจึงเรียกเค้าว่าพี่หมี เพื่อให้สมกับชุดคลุมที่เค้าประดิษฐ์ขึ้นมา “…” คนที่สองเป็นน้องสาวที่ถูกขี่เมื่อครู่ แม้อีกฝ่ายจะสูงกว่านางมาก แต่ดูก็รู้ว่าอายุยังน้อย ว่านลุ่ยเห็นนางชอบถูกควบขับยามเช้า จึงเรียกอีกฝ่ายในใจว่าน้องสาวอรุณ “…” ต่อมาเป็นพี่สาวที่สาม อีกฝ่ายเลี้ยงแมวดำตัวโตไว้ด้วย ยามนอนก็มักจะเอาเจ้านั่นมากอด ว่านลุ่ยจึงเรียกหาเป็นพี่สาวแมว สมาชิกที่สี่ดูมีอายุที่สุด นางรูปร่างอวบอัดเต่งตึง เครื่องเพศงดงามมาก แม้แต่นางที่เป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ยังอับอาย เพราะอีกฝ่ายไม่มีแม้แต่เส้นขนตรงนั้น ทั้งยังอวบอูมราวกับของเด็กสาวแรกแย้ม ว่านลุ่ยจึงเรียกนางว่าพี่สาวจอมยั่วยวน คนที่ห้าเป็นน้องสาวผู้หนึ่ง ยามค่ำคืนนางมักจะแหงนหน้ามองดวงจันทร์ ว่านลุ่ยจึงตั้งชื่อนางว่าน้องสาวจันทราคู่กับน้องสาวตะวันคนที่หก เพราะรายนั้นหาจุดเด่นอะไรไม่ได้เลย “…” สุดท้ายเป็นเป็นหญิงงามนางหนึ่ง หากแต่ดวงตานางกับมองไม่เห็น ยามอยู่ในถ้ำพี่สาวน้องสาวที่เหลือต้องช่วยดูแลนาง ว่านลุ่ยจึงตั้งชื่อให้อีกฝ่ายว่าพี่สาวราตรี หญิงชาวป่าคนนี้พิเศษมาก นางมีผมสีเงินแซมขาว ดวงหน้ามอมแมมแต่กับแฝงไปด้วยความงามแบบเจียงหนาน ราวกับเป็นสตรีจากดินแดนที่นางจากมา “อูก้า อูก้า อู อู อู” !!! เสียงเรียกของน้องสาวจันทราทำให้ว่านลุ่ยถึงกับสะดุ้ง อีกฝ่ายรีบเดินเข้ามาจับจูงมือหญิงสาว ไม่ทราบว่าต้องการจะพานางไปไหน แต่ว่านลุ่ยยังคงติดตามออกไปอย่างว่าง่าย แม้จะอับอายที่ตนไม่ได้สวมใส่กางเกงชั้นในติดตัว “…” ริมแม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่ง นี่เป็นธารน้ำตกที่ไหลลงมาจากภูเขา ความสูงของระดับเพียงแค่เข่าเท่านั้น เมื่อมาถึงก็เห็นสตรีชาวป่าจำนวนมาก กำลังใช้ตะกร้าที่สานจากเถาวัลย์ไม้ ชอนปลาตัวเล็กๆ มากมายที่กำลังว่ายไปมา ว่านลุ่ยเข้าใจเรื่องราวแล้ว นางเห็นพี่สาวจอมยั่วกับน้องสาวตะวันย่ำอยู่ในน้ำ ทั้งสองต่างถือตะกร้าใบเล็ก กวนอยู่ในน้ำเพื่อตักเอาปลา “อูก้า อูก้า อู อู” !!! ตะกร้าใบหนึ่งถูกยัดใส่มือว่านลุ่ย นางเข้าใจความหมายที่น้องสาวจันทราบอกแล้ว ดังนั้นจึงเดินลงไปหาพี่สาวจอมยั่ว ช่วยกันตักเอาปลาตัวเล็กๆ จำนวนมากขึ้นมา ลืมความทุกข์ของช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดทั้งมวล จนกระทั่งตะวันคล้อยบ่าย ว่านลุ่ยและเหล่าสาวชาวป่าเล่นกันสนุกสนานมาก เมื่อพี่สาวจอมยั่วส่งสัญญาณให้กลับถ้ำ ว่านลุ่ยก็ขึ้นจากน้ำ เนื้อตัวมอมแมมของพวกนางต่างก็สะอาด แต่ละคนถึงได้แสดงความงามที่ตนมีออกมา เพียงแต่ระหว่างสลัดผมให้แห้ง พี่สาวจอมยั่วก็นำดินโคลนมาป้ายไปตามใบหน้าและลำตัวนาง คราแรกว่านลุ่ยตกใจมาก แต่เพียงครู่เดียวก็เข้าใจความหมาย จึงปล่อยให้อีกฝ่ายละเลงฝุ่นผงและดินโคลนจนเนื้อตัวนางมอมแมม น้องสาวตะวันจันทราก็เช่นกัน พวกนางก็ใช้วิธีเช่นนี้ ต่างก็หยิบเศษดินเศษไม้ ปัดป่ายไปตามร่างกายของกันและกัน หลังจากกลับมาถึงถ้ำ ขณะเดินทางว่านลุ่ยแปลกใจมาก แม้นางและคนอื่นๆ จะไม่สวมใส่เสื้อผ้า แต่บุรุษในหมู่บ้านก็ไม่ได้สนใจมองดูพวกนางซักนิด นางเลยคิดในใจว่า การเป็นคนไร้อารยธรรมช่างดีแท้ ต่อให้ท่านไม่ต้องเสียเงินซื้อเครื่องนุ่งห่ม ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ “…” ***
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม