ทว่าลึกๆ แล้วปานระพียังคงห่วงเขาไม่เสื่อมคลาย ตั้งแต่ฟื้นคืนสติ และพอที่จะเคลื่อนไหวได้ เธอก็เดินลากสายน้ำเกลือมาเยี่ยมเขาทุกวัน ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในห้องไอซียู ใส่เครื่องช่วยหายใจ ไม่ได้สติ และยังไม่รับรู้อะไร แต่ทุกวันเธอจะใช้เวลาอยู่กับเขานานพอควร บ้างอ่านหนังสือให้เขาฟัง บ้างชวนคุยเหมือนคนบ้า บ้างร้องเพลง แล้วตัวเองก็น้ำตาไหลอยู่คนเดียว ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อชดเชยช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รับรู้อะไร แต่ช่วงเวลาดีๆ เพียงน้อยนิดนั้นจะถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของเธออย่างไม่มีวันลบเลือน
วันนี้ก็เช่นกัน ปานระพีมาเยี่ยมมหรรณพเหมือนเดิม แต่ต่างออกไปคือเขาได้ย้ายออกจากห้องไอซียู เพราะฟื้นคืนสติ และสามารถพูดคุยได้แล้ว หลังจากที่เธอไม่ได้มาเยี่ยมเขาเสียหลายวัน เพราะมัวแต่วุ่นกับการทำเรื่องจบ ซึ่งข่าวดีที่ได้รับรู้ทำให้เธอยิ้มทั้งน้ำตา ดีใจกว่าตอนที่หมออนุญาตให้ตัวเองออกจากโรงพยาบาลเสียอีก
มือที่กำลังผลักประตูห้องผู้ป่วยให้เปิดอ้าออกถึงกับชะงัก เมื่อหูแว่วได้ยินเสียงหัวเราะ
มหรรณพเนี่ยนะหัวเราะ!
ใครกันนะที่ทำให้เขาหัวเราะได้?
ด้วยความใคร่รู้มือเรียวจึงผลักประตูให้เปิดออก แล้วก้าวล่วงเข้าสู่ภายใน หากแต่กลับต้องตะลึงกับภาพที่ได้เห็น สามีของเธอยิ้มหัวอยู่กับผู้หญิงคนอื่น
นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?
ในวินาทีที่ผู้หญิงคนนั้นหันมาหาปานระพีก็ถึงกับนิ่งอึ้ง ตัวชาวาบ และก้าวขาไม่ออก เพราะหล่อนสวยมากๆ สวยไม่พอยังสง่างาม หุ่นดี และดูมีคลาส ซึ่งแน่นอนว่านั่นน่ะสเปกของมหรรณพเต็มๆ
“เอ่อ…สวัสดีค่ะ ฉันมาเยี่ยมคุณหวงค่ะ” ทันทีที่ได้สติปานระพีก็เอ่ยขึ้น
“งั้นควีนขอตัวไปตรวจคนไข้ก่อนนะคะ แล้วจะกลับมาหาในช่วงพักเที่ยง”
สาวงามเอ่ยด้วยท่าทางคล้ายเกรงอกเกรงใจ ก่อนจะยิ้มหวานให้คนป่วย หากแต่มหรรณพกลับรั้งข้อมือเรียวของหล่อนเอาไว้ ท่ามกลางสายตาร้าวรานของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาอย่างเธอ
“ไหนคุณบอกว่าไม่มีตรวจคนไข้แล้วไงครับ อยู่เป็นเพื่อนผมก่อนสิ”
“มันจะดีเหรอคะ”
แพทย์หญิงคณิสรา เครือวัลย์ เอ่ยด้วยท่าทางไม่แน่ใจ ขณะมองหน้าปานระพีด้วยสายตาชนิดหนึ่ง “คุณมีแขกมาเยี่ยม แล้วจะให้ควีนอยู่ด้วยคงไม่เหมาะมั้งคะ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ใช่ไหมปานระพี”
“เอ่อ…ค่ะ ฉันแค่แวะมาเยี่ยมคุณหวง เสร็จแล้วก็จะกลับค่ะ”
ที่จริงเธออยากจะอยู่กับเขานานกว่านั้น อยากมีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกันอีกสักหน่อย แต่ในเมื่อสามีที่ไม่รักผู้กำลังจะกลายเป็นอดีตใช้สายตาบีบบังคับขับไล่ ปานระพีจึงไม่รู้ว่าจะหน้าด้านอยู่ต่อได้ยังไงไหว แต่ก่อนจะไปก็ขอให้ได้ถามไถ่อาการของเขาหน่อยเถอะ อย่างน้อยมันคงทำให้เธอคลายใจได้บ้าง
“คุณหวงเป็นยังไงบ้างคะ ยังเจ็บตรงไหนอยู่ไหม”
“ทำไมไม่มาถามตอนฉันออกจากโรง’บาลเลยล่ะ”
น้ำเสียงเย็นชาประชดทำให้คนฟังหน้าเจื่อน พูดไม่ออก
“ว่าไง…ต้องรอให้ฉันตายก่อนใช่ไหม ถึงจะโผล่หัวมาได้”
แว่บหนึ่งปานระพีเผลอคิดไปว่าคำพูดนั้นมันสื่อได้สองทาง คือรำคาญและน้อยใจ แต่น้อยใจเนี่ยนะ เป็นไปไม่ได้หรอก เขาจะมาน้อยใจเธอได้ยังไง ในเมื่อมหรรณพไม่เคยรู้สึกอะไรกับเธอด้วยซ้ำ อีกอย่างทั้งคู่ก็ไม่ได้สนิทกัน หากไม่มีทะเบียนสมรสก็เปรียบเสมือนคนแปลกหน้า ฉะนั้นจะมาใช้คำว่าน้อยใจไม่ได้
“แพรเองก็ต้องรักษาตัวเหมือนกัน วันนั้นแพร…”
“หวงคะ อย่าไปว่าน้องเขาเลยค่ะ น้องเขาหน้าซีดหมดแล้ว…เห็นไหม”
คณิสราแทรกขึ้นห้ามปรามเสียงหวานหยด แถมยังเรียกชื่อเล่นของมหรรณพบ่งบอกถึงความสนิทสนม ทำให้หัวใจของปานระพีปวดหนึบ
“ถ้าได้ฟังอาการของฉัน แล้วเธอจะไปใช่ไหม” เสียงแข็งๆ โพล่งขึ้น
“ค่ะ แพรจะไป…”
วาจาที่เปล่งออกมานั้นผาดแผ่วเจือสะท้าน หัวตาร้อนผ่าว ภาพที่มหรรณพยังคงกุมมือของผู้หญิงอีกคนต่อหน้าต่อตาช่างบีบคั้นหัวใจของเธอยิ่งนัก
“ดี…งั้นก็จงฟัง แล้วไปซะ”
เขาทำเหมือนรำคาญเสียเต็มประดา แล้วเอ่ยต่อ
“อาการฉันดีขึ้นมากแล้ว อวัยวะภายในลดอาการบอบช้ำเกือบจะทั้งหมด ส่วนไตก็กลับมาใช้งานได้ดังเดิม ต้องขอบคุณหมอควีนเขาที่อุตส่าห์สละไตต่อชีวิตให้ฉัน”
ท้ายประโยคเขาหันไปมองคุณหมอสาวตรงหน้าด้วยสายตาชื่นชม และอ่อนโยนอย่างที่ปานระพีไม่เคยเห็น ทว่าประโยคที่พ่นออกมานั้นกลับทำให้เธออ้าปากค้าง
“ไม่ใช่นะคะ แพรต่างหากที่เป็นคน…”
ปานระพีละล่ำละลักออกมา ทว่ายังไม่ทันจะได้เอ่ยท้วงจนครบถ้วนกระบวนความเสียด้วยซ้ำ คุณหมอสาวผู้ที่เข้ามาชุบมือเปิบว่าเป็นคนสละไตให้มหรรณพก็โพล่งขึ้นเสียก่อน
“น้องจะบอกว่า เป็นคนมาเยี่ยมคุณหวงทุกวันใช่ไหมคะ ช่างเป็นญาติที่น่ารักจริงๆ เลยค่ะ”
“ไม่ใช่นะคะ ฉันไม่ได้จะหมายความว่าอย่างนั้น แต่ฉันจะบอกว่า…”
“หยุดเถอะปานระพี! จะไปไหนก็ไป ฉันไม่อยากฟังอะไรจากเธอทั้งนั้น ออกไปซะ! ฉันจะพักผ่อน!”
“คุณหวงจะไม่ฟังเรื่องที่แพรจะบอกจริงๆ เหรอคะ”
“ไม่!”
“ให้โอกาสแพรได้พูดหน่อยไม่ได้เหรอคะ…นะคะ” ปานระพียังคงวิงวอน อยากจะตื้อให้ถึงที่สุด หากได้พยายามแล้วไม่เป็นผลเธอจะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง
“บอกแล้วไงว่าไม่!”
“โอเคค่ะ แพรเข้าใจแล้ว”
คราวนี้เธอกล้ำกลืนพยักหน้าน้ำตาคลอ เสียใจจนเกินจะบรรยาย แต่ในเมื่อเขาไม่ยอมเปิดใจ เธอก็ไม่จำเป็นต้องลดศักดิ์ศรีขอร้องเขาเป็นหนที่สาม แค่สองครั้งมันก็มากพอแล้ว
“ลาก่อนค่ะ”
ขาดคำร่างอวบก็หันหลังวิ่งออกจากห้อง เธอต้องรีบไปจากที่นี่ ก่อนจะปล่อยโฮออกมา มันหมดเวลาของเธอแล้ว ไม่อยากจะเชื่อว่าเวลาของเธอจะหมดเร็วกว่าที่คิด มันเร็วจนน่าใจหาย และเธอก็ตั้งรับแทบไม่ทัน แต่ในเมื่อเขาไม่ต้องการ ออกปากไล่ แล้วเธอจะไปทวงถามผลของการทำความดีได้ยังไง ทำดีไม่หวังผลตอบแทนน่ะถูกแล้ว เธอเป็นหมอช่วยคนไข้ให้มีชีวิตรอดก็ถูกแล้ว มันถูกแล้วที่ช่วยเขาโดยไม่หวังว่าจะได้รับอะไรกลับคืนมา แต่ที่น่าเศร้าก็คือนอกจากเธอจะเสียสละไตข้างหนึ่งให้เขาเยี่ยงผู้ปิดทองหลังพระแล้ว เธอยังเสียหัวใจให้เขาอย่างไม่มีวันได้กลับคืนมา
เอาเข้าจริงการโดนเฉดหัวทิ้งในวันนั้น ปานระพีไม่ร้องไห้สักแอะ ไม่มีน้ำตาสักหยด ทั้งที่เสียใจจนเกินจะบรรยาย เจ็บหนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ด้วยยึดมั่นถือมั่นว่าเขาเป็นของตัวเองแต่เพียงผู้เดียวมาโดยตลอด และช็อกหนักมาก เพราะนอกจากมหรรณพจะผลักไสเธอออกไปจากชีวิตแล้ว เขายังทำท่าเหมือนว่าจะสานต่อกับผู้หญิงคนนั้น คนที่เข้ามาขโมยเอาความดีความชอบของเธอไปอย่างหน้าตาเฉย โดยที่เธอไม่มีโอกาสได้พูดอะไรเลย
เหตุการณ์หลายอย่างที่ประดังประเดเข้ามาในเวลาเดียวกัน ทำให้ปานระพีแทบทนรับไม่ไหว เจ็บปวดแสนสาหัส ใจสลาย ผิดหวัง รู้สึกเหมือนโดนหักหลัง และเสียศูนย์อย่างหนัก เธอนอนขดกอดตัวเองเหมือนสัตว์บาดเจ็บ ตาลอย ส่วนปากก็ครวญครางออกมาตลอดทั้งคืน ครางโหยหวนด้วยความเจ็บปวดที่อัดแน่นในอก ชนิดที่เพื่อนสนิทอย่างไคลีย์ซึ่งบินตรงจากอังกฤษมาเยี่ยมถึงกับบอกว่าครางเหมือนหมา
จริงๆ แล้วเธอก็ยังคงเป็นปานระพีคนเดิม ที่ทั้งขี้แยและอ่อนแอ แต่แค่ไม่แสดงออกให้ใครได้เห็น ร่างกายน่ะซื่อตรงเวลาเจ็บปวดก็ร้องไห้ออกมา แต่หัวใจน่ะขี้โกหก ทำเป็นหลอกตัวเองว่าเข้มแข็ง หนำซ้ำเวลาเจ็บหนักสุดขีดจนเหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้ก็ยังทำเป็นเฉยชาไม่รู้สึกรู้สาอะไร ไม่มีน้ำตาสักหยด มันจุกอยู่ข้างใน ร้องไห้ไม่ออกเพราะน้ำตาตกใน แต่ทุรนทุรายและอัดอั้นจนต้องระบายออกมาเป็นเสียงครวญคราง ที่น้อยคนนักจะรู้ว่านั่นแหละคือวิธีแสดงออกซึ่งความเจ็บปวดอันแสนสาหัสของคนที่ทำเป็นเข้มแข็ง
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ได้ข่าวว่ามหรรณพคบกับแพทย์หญิงคณิสรา เครือวัลย์ หมอสาวที่คนในโซเซียลต่างยกย่อง ชื่นชม ว่าทั้งสวย รวย เก่ง และใจบุญ จนพากันต่างให้ฉายาว่านางฟ้าชุดกาวน์ เพราะอุตส่าห์สละไตข้างหนึ่งให้มหรรณพ คงมีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ว่าตนถูกชุบมือเปิบเอาความดีความชอบไปอย่างหน้าด้านๆ
แต่เรื่องนี้จะกลายเป็นความลับไปตลอดกาล เพราะปานระพีจะไม่มีวันบอกเขา ส่วนคุณย่านั้นเธอขอร้องท่านว่าอย่าบอกมหรรณพ เพราะคิดว่าถึงบอกไปมันก็ไม่เกิดประโยชน์ สู้ให้เขาไม่รู้เสียยังดีกว่า จะได้ไม่ต้องรู้สึกค้างคาอะไรต่อกันอีก ซึ่งคุณหญิงแม้นมาศก็เห็นด้วย เพราะนึกหมั่นไส้หลานชาย ท่านจึงใช้อิทธิพลที่มีอุดปากทุกคนที่รู้เรื่องนี้ และพอมหรรณพถามว่าช่วงที่เขาป่วยปานระพีเป็นอะไร จำได้ว่าเธอบอกว่าเธอเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล คุณย่าท่านก็ตอบหน้าตายว่าเธอเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ จากนั้นก็เลี่ยงที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้ นอกเสียจากเรื่องรูปคดี ซึ่งน่าเจ็บใจที่จับคนบงการไม่ได้ จับได้แค่ลูกน้องปลายแถวที่ไม่ยอมปริปากพูดอะไร แถมยังชิงฆ่าตัวตายในคุก
ดีที่ช่วงเฮิร์ทหนักๆ เธอยุ่งกับการทำงานใช้ทุน ฉะนั้นจึงไม่ค่อยมีเวลาดราม่ากับความรักอันแสนเจ็บปวดของตัวเองมากนัก ไปๆ มาๆ ปานระพีกับมหรรณพก็กลายเป็นเสมือนคนแปลกหน้า หากเขามาที่บ้านเธอก็จะหาทางเลี่ยงด้วยการออกไปนอนคอนโด เพราะไตร่ตรองแล้วว่า ทุกชีวิตย่อมมีทางเดินของตัวเอง ในเมื่อเขาเลือกที่จะไม่มีเธอในชีวิต เธอก็เคารพในการตัดสินใจของเขา ถอยออกมาอยู่ในจุดของตัวเอง รอเวลาหย่าในอีกสิบปี ไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่ก้าวก่าย และก้าวเดินไปข้างหน้า ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ทำประโยชน์สูงสุดให้แก่สังคม และทำให้คุณย่าภาคภูมิใจ
ปีต่อมาก็ได้ข่าวรักๆ เลิกๆ ของมหรรณพและคณิสรา เพราะฝ่ายหญิงเพิ่งย้ายมาประจำในโรงพยาบาลที่เธอเป็นแพทย์ใช้ทุน (Intern) ฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะไม่ให้เธอได้ยินข่าวคราวความรักของทั้งคู่ แต่ยากยิ่งกว่ากับการเลี่ยงพบหน้ามหรรณพ เขามารับคณิสราที่โรงพยาบาลบ่อยครั้ง มีแวะเข้ามาหาเธอ มาถามสารทุกข์สุกดิบประหนึ่งคนคุ้นเคยทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย บ้างเอาขนมถั่วตัดที่เธอชอบมาให้ โดยอ้างว่าคุณย่าฝากมาให้ บ้างชวนไปทานมื้อกลางวัน แต่ปานระพีก็ปฏิเสธเสียทุกครั้ง กระนั้นเธอยังรู้สึกได้ว่าเหมือนมหรรณพจะวนเวียนอยู่รอบๆ กายอย่างน่าประหลาด และการมาของเขาในแต่ละครั้งก็ทำให้เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย