“บัว... วันนี้วันทำงานวันสุดท้ายของเธอแล้ว พวกเราขอไปเลี้ยงส่งได้ไหม เปลี่ยนใจเถอะนะ”
คำพูดของเพื่อนโต๊ะทำงานข้างๆ ที่เลื่อนโต๊ะมานั่งบีบแขนเธอทำให้บุลลายิ้มเจื่อน... ไมตรีของผองเผื่อนในที่ร่วมงานเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่หล่อนอาลัยที่ทำงานแห่งแรกและแห่งเดียวมาตลอดสองปีหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ถ้าเพียงแต่ชีวิตหล่อนไม่ผกผันคว่ำหงายราวโชคชะตากลั่นแกล้ง หล่อนก็คงร่วมทีมการตลาดของบริษัทอย่างมีความสุข แต่ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน วันหนึ่งมีความสุขความทุกข์ก็เข้ามาเบียดแทรกได้ง่ายๆ โดยไม่อาจก้าวหนีพ้น
“เราขอโทษนะ เราต้องรีบไปต่างจังหวัด เราขอบคุณทุกคนนะ แค่ของขวัญที่ให้มาก่อนเปลี่ยนงานและก็ที่มีงานเลี้ยงเล็กๆ ในบริษัทวันก่อนก็ไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรแล้ว ไม่ต้องเลี้ยงหรอกช่วงนี้ใกล้ปิดไตรมาสทุกคนคงยุ่งกับการปิดยอดเราไม่กวนดีกว่า” เงยหน้ามองเพื่อนๆ รอบโต๊ะทำงานทุกคนด้วยแววตาประกายความขอบคุณ
“ทำไมบัวดูเหมือนไม่มีความสุขที่ได้งานใหม่เลย” ณพล เพื่อนคู่หูในแผนกเปรยคำพูดที่เขาพูดตลอดตั้งแต่หล่อนยื่นใบลาออก
“คนจะเปลี่ยนงานใหม่ มันก็เครียดสารพัดล่ะไอ้พล... ไม่รู้จะดีขึ้นอย่างที่คิดหรือเปล่า” ปานัทเพื่อนอีกคนเอ่ยแก้ต่างให้
“ถ้าบัวมีปัญหาอะไร ไม่สบายใจเรื่องอะไร บอกเราได้เสมอนะถึงไม่ได้ทำงานด้วยกันแล้วก็ยังเป็นเพื่อนกัน ช่วยเหลือกันได้ทุกเรื่องเหมือนเดิม” ณพลบอก
บุษกรยังคงยิ้มเนือยๆ ให้ผองเพื่อนร่วมงานที่กำลังจะกลายเป็นอดีตทันทีหลังห้าโมงเย็นวันนี้
รู้ดีว่าทุกคนเป็นห่วง แต่ปัญหาของเธอมันเป็นปัญหาที่ใครต่อใครฟังแล้วก็คงไม่เข้าใจ และคงไม่มีใครช่วยแก้มันได้... นอกจากตัวหล่อนเอง
ตรงเวลานัดหมาย รถจี๊ปคันใหญ่ทะมึนแล่นเข้ามาจอดหน้ารั้วบ้านเกรียงไกรตระกูล
เพียงมองผ่านลอดรั้วออกไปก้อนแข็งก็จุกอยู่ในลำคอ...
“บัว... อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดายนะลูก ไม่ว่าลูกจะเข้าบ้านนั้นด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทำตัวเป็นเด็กน่ารักว่านอนสอนง่ายอย่างที่แม่บอกนะลูก จำเอาไว้นะว่าคนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้” มือที่กำชับมือของหญิงสาวเอาไว้...
“แม่ดูแลตัวเองดีๆ นะคะ”
“หนูก็ดูแลตัวเองดีๆ นะ ส่งข่าวส่งคราวพ่อกับแม่บ้าง อย่าเงียบหายไปนะลูก”
คนเป็นแม่น้ำตารื้นในตา... บุษกรโผเข้าไปกอดมารดาแน่น ใช้สัมผัสแทนคำอำลาก่อนจะยกมือไหว้อ่อนช้อยแล้วย่อตัวคว้ากระเป๋าเดินออกมาหน้าบ้าน หญิงสาวขอร้องไม่ให้นางจันทร์ดาผู้เป็นมารดาเดินออกมาส่งเพราะไม่อยากร้องไห้ระงมกันทั้งคู่...
น่าแปลกใจที่คนที่เปิดประตูรถให้หล่อนไม่ใช่อยุทธ์ แต่เป็นลูกน้องของเขาที่ชื่อทรัพย์ หญิงสาวพยักหน้าขอบคุณแล้วเดินเข้าไปนั่งที่เบาะหลัง...
“นายให้ผมมารับคุณบัว... ท่านคุยกับคนบ้านคุณบัวแล้วว่าจะมีคนมารับ ไม่เข้ามากราบผู้ใหญ่”
บุษกรพยักหน้าบอกว่าหล่อนเข้าใจดีว่าเขาคงไม่สละเวลาอันมีค่ามารับหล่อนด้วยตัวเองหรอก... กอดกระเป๋าใบเล็กที่หอบหิ้วติดกายและเงียบไปตลอดทาง
ในหัวสมองนึกไปถึงเรื่องราวที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิต...
เดิมทีครอบครัวของบุษกรอยู่กันพร้อมหน้าพ่อแม่และลูกสาว ฐานะทางบ้านระดับปานกลาง พ่อทำงานบริษัทที่มั่นคงแม่เป็นแม่บ้านและทำงานเล็กน้อยหารายได้พิเศษเลี้ยงลูกจนเรียนจบปริญญา
พ่อกับแม่เคยเล่าว่าที่บ้านเคยลำบากมาก ตัวบ้านเกือบจะถูกยึด ข้าวสารไม่มีจะกรอกหม้อเพราะพ่อไปลงทุนเกี่ยวกับการค้าที่ดินและถูกเพื่อนร่วมหุ้นเอาเปรียบทั้งยังโกงเสียยับ
ตอนที่ลำบากไม่มีที่ซุกหัวนอนก็ยังมีคนใจดียื่นมือเข้ามาช่วย เพื่อนพ่อชื่อลุงอินทร์ที่ทำไร่กาแฟอยู่ทางใต้ก็ยื่นมือเข้ามาช่วยไถ่บ้านและให้เงินมาตั้งต้นใหม่ก้อนหนึ่งและได้พูดว่าอยากให้ลูกชายคนเดียวของท่านแต่งงานกับลูกสาวของบ้านเกรียงไกรตระกูล เพราะบุญคุณเพื่อนท่วมหัวบิดาจึงให้คำมั่นสัญญาว่าจะยกลูกสาวให้อีกฝ่ายเป็นการตอบแทน
หลังจากนั้นบิดาของบุษกรตั้งตัวได้และทำงานประจำในบริษัทผู้ผลิตคอนโดมิเนียมยักษ์ใหญ่เกี่ยวกับการจัดสรรจัดหาที่ดินซึ่งเป็นงานถนัดของท่าน ส่งลูกสาวเรียนจนจบตัวท่านเองยังไปมาหาสู่เพื่อนอยู่เสมอแต่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องงานแต่งงานขึ้นอีก จนเดือนก่อนลุงอินทร์เข้ากรุงและมาเจรจากับพ่อเพื่อทวงคำสัญญา
พิธีวิวาห์เล็กๆ เงียบๆ จึงถูกตระเตรียมขึ้นโดยการตกลงของผู้ใหญ่ โดยที่คนที่จะแต่งงานกันนั้นไม่เคยเห็นหน้าค่าตา ไม่เคยรู้จักกันเลยสักนิดเดียว
วันนั้น วันที่ท้องฟ้าอาบสีอ่อนโยนในยามเช้าตรู่ บุษกรตื่นมาพร้อมกับความอ่อนเพลียเพราะเตรียมการเกี่ยวกับงานมงคลที่จะจัดขึ้นในบ้านเกรียงไกรตระกูลมาหลายวัน งบจัดงานที่ไม่ค่อยมากมายทำให้บุลลากับจันทร์ดาช่วยกันเตรียมการ์ดเชิญ จัดของชำร่วย เตรียมงาน เตรียมของทำบุญและของรับไหว้ผู้ใหญ่วันแต่งช่วยกันโดยอาศัยวันหยุดและเวลาหลังเลิกงานของหญิงสาวมาช่วยมารดาหยิบจับเพราะสงสารผู้เป็นแม่ไม่อยากให้เหนื่อยคนเดียว หล่อนไม่คัดค้านเรื่องการแต่งงานเพราะหลังจากที่ลุงอินทร์พูดเรื่องแต่งงานขึ้นมา พ่อกับแม่ก็เข้ามาคุยกับหล่อน
“บัว ช่วยพ่อกับแม่ตอบแทนลุงอินทร์ด้วยนะลูก”
น้ำคำอ้อนวอนเจือสะอื้นของมารดาเพราะเห็นใจหล่อนที่ไม่รู้เรื่องการหมั้นหมายมาก่อนทำให้อึดอัด แต่บุษกรเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายสำหรับพ่อแม่เสมอ ไม่เคยขัดข้องอะไรหากพวกท่านร้องขอ
“เราไม่มีทางออกอื่นแล้วใช่ไหมคะ”
ใบหน้าหนักใจของบิดาและน้ำตาของมารดาทำให้หล่อนได้คำตอบแม้ว่าท่านทั้งสองจะไม่ปริปากพูดอะไร
จากนั้นมาหล่อนก็ยินดีและยอมรับเรื่องแต่งงานอย่างว่าง่ายแม้ในใจจะไม่ใคร่ยินดีนักก็ตาม
.................