‘ข้ารักเจ้า’
‘ข้าก็รักเจ้าเช่นกัน’
‘ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ข้าก็จะยังรักเจ้าอยู่แบบนี้ ข้าไม่มีวันที่จะลืมเจ้า แล้วเจ้าล่ะ เมื่อถึงวันนั้น จะลืมข้าหรือไม่’
‘ไม่ ข้าจะรักเจ้าเหมือนกับวันนี้ วันที่ข้ารักเจ้าสุดหัวใจ’
ก๊อกๆๆ!!!
เฮือก!
“โยชิตื่นได้แล้วลูก พ่อจะเข้าไร่แล้ว” เสียงเรียกของพ่อที่ดังอยู่หน้าประตูปลุกผมให้ตื่นจากความฝัน ฝันที่เหมือนความจริงจนน่าใจหาย ความรู้สึกบอกว่าความฝันนั้นอาจเป็นความจริง ทุกอย่างแม้จะลางเลือนแต่ก็คุ้นเคย เหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อน ความฝันที่มีแต่เสียง ไม่อาจรู้ได้ว่าใครเป็นคนพูด มีแค่เสียงแต่ก็เพียงพอให้รู้สึกว่า...คุ้นเคย
ผมสะบัดหัวไล่ความมึนงง ยกมือลูบหน้าลูบตาก่อนจะลุกเดินเข้าห้องน้ำอย่างง่วงงุน ความเคยชินที่ไม่ต้องลืมตาก็สามารถเดินเข้าห้องน้ำถูก ความคุ้นเคยคือสิ่งที่ผมรัก เพราะผมคิดว่าความคุ้นเคยเปรียบได้กับความปลอดภัย
แต่หลังจากนี้มันไม่ใช่ อีกสองวันผมจะต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง บ้านของผมอยู่เชียงใหม่ แต่ที่ต้องย้ายไปเรียนที่กรุงเทพ แถมยังเป็นโรงเรียนเอกชนก็เพราะว่า...ผมได้รับคำเชิญ
เป็นอะไรที่แปลกมาก จู่ๆก็มีจดหมายของทางมหาวิทยาลัยเชิญตัวผมให้ไปเรียนที่นั่นเพราะเห็นว่าผมสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์สาขาสัตววิทยา และด้วยผลการเรียนของผมที่ไม่เคยต่ำกว่าเกรดสี่เลยสักวิชา เขาจึงได้อยากให้ผมไปเรียน โดยมอบทุนการศึกษาให้ฟรีแบบไม่ต้องใช้คืน
แน่นอนว่าไม่ต้องคิดให้มากความ ผมตัดสินใจตกลงคำเชิญทันที เพราะมีแต่ได้กับได้ แม้พี่ยอร์ชจะแซวว่าผมกำลังจะเข้าไปเรียนในฮอควอร์ดก็ตาม แต่นี่มันโลกแห่งความจริง ไม่ใช่ในนิยาย ดังนั้นเรื่องประหลาดแบบนั้นจึงไม่มีทางเกิดขึ้น
สาเหตุที่ผมยอมไปเรียนที่ Arch University ก็เพราะว่าที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยของต่างประเทศที่มาเปิดสาขาในไทย หมายความว่าระบบการศึกษาก็ย่อมต้องดีกว่า แถมยังได้ใช้ภาษาอังกฤษในระหว่างที่เรียนและได้เพื่อนต่างชาติต่างวัฒนธรรม ผมจะได้อะไรที่เขาว่ากันว่าดีที่สุดเท่าที่มหาวิทยาลัยชั้นนำอันดับห้าของโลกพึงมี และขอบอกเลยว่าค่าเทอมที่นี่แพงชนิดที่ขายบ้านเรียนก็อาจไม่จบ
ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องลังเล แทบจะลืมความกลัวที่อาจจะต้องตกอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยที่ผมไม่ชอบเสียสนิท และอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผมจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของที่นั่น แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้วครับ
“พ่อครับ วันนี้มีอะไรกินบ้าง” ผมเดินเข้าไปกอดเอวพ่อไว้ก่อนจะหอมแก้มสองที พ่อลูบหัวผมเบาๆก่อนจะก้มลงหอมแก้มของผมทั้งสองข้างด้วยความรักความห่วงใย เราทำแบบนี้ประจำ บ้านเรามีกันแค่สามคน พ่อกับพี่ยอร์ชดูแลผมอย่างดี เพราะผมมีโรคประจำตัวแบบแปลกๆ ทั้งสองคนเลยค่อนข้างสปอยผมมากพอควร ส่วนแม่ของผมท่านเสียตอนที่คลอดผม...พ่อเล่าให้ผมฟังตอนที่ผมเริ่มจำความได้ ตอนนั้นผมร้องไห้เศร้าโศกอยู่เป็นปีๆ กว่าจะเข้มแข็งได้รู้ตัวอีกทีพ่อกับพี่ยอร์ชก็เลี้ยงดูผมอย่างกับไข่ในหิน
“มีของโปรดเรานั่นแหละไอ้ลูกชาย” พ่อขยี้หัวผมอีกครั้งอย่างหมันเขี้ยว
“พ่อนี่รู้ใจโยจริงๆ” ผมยิ้มกว้างให้พ่อ ถึงจะไม่มีแม่ แต่ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองขาด กลับรู้สึกว่าได้รับความรักมากจนเกินพอดีด้วยซ้ำ แต่เป็นความเกินที่ผมชอบนะ
“ฮ่าๆๆ พ่อต้องเข้าไปในไร่แล้ว มีอะไรก็โทรหาพ่อ อ่อ ของนี่ไม่ต้องเก็บนะ เดี๋ยวพ่อกับยอร์ชกลับมาเก็บให้เอง”
“ครับ” อย่างนี้ทุกที งานหนักหน่อยผมไม่เคยได้แตะ แค่ตอนเด็กๆเคยเป็นหอบ รักษาจนอาการดีขึ้นจนแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง แต่ไม่ว่ายังไงพ่อกับพี่ยอร์ชก็ไม่ค่อยให้ผมทำอะไรที่ต้องลงแรงหนัก เพราะงั้นผมเลยไม่ค่อยได้ไปช่วยงานในไร่
พ่อของผม ‘พ่อศิลา’ เป็นเจ้าของไร่องุ่นที่มีชื่อเสียงอย่างมากในภาคเหนือ โดยมีพี่ยอร์ช พี่ชายสุดหล่อเป็นผู้ช่วยงานทุกอย่างในไร่ น้อยครั้งที่ผมจะได้ออกไปช่วยงาน ส่วนมากคือออกไปเดินเล่นเสียมากกว่า เพราะพ่อและพี่ยอร์ชได้กำชับคนงานทุกคนในไร่แล้วว่า ถ้าผมเข้ามาในไร่ต้องรีบบอกให้ทั้งคู่รู้ทันที และห้ามใครอนุญาตให้ผมทำงานไม่ว่าผมจะอ้อนแค่ไหนก็ตาม ดูเอาเถอะ ทำอย่างกับผมเป็นลูกสาวไปได้ ทั้งๆที่ผมออกจากมาดแมนแฮนด์ซั่ม
“ว่าไงตัวเล็ก ตื่นแล้วเหรอครับ” พี่ยอร์ชที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้านเอ่ยทักผมที่กำลังนั่งทานอาหารเช้าอยู่ พี่ชายนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆแล้วก้มลงหอมแก้มผมสองฟอดใหญ่
“ตื่นแล้วครับ พี่ยอร์ชไปไหนมา” ผมหอมแก้มพี่ชายคืนก่อนจะกลับมากินข้าวต้มที่ส่งกลิ่นหอมเรียกน้ำย่อยตรงหน้าต่อ
“ไปทำธุระข้างนอกมาครับ” ปากตอบมือก็ลูบหัวผมไปด้วย พ่อกับพี่ยอร์ชชอบลูบหัวผมมาก ผมก็ชอบให้ลูบเพราะรู้สึกเพลินและสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนของคนในครอบครัว
“อืม พี่ยอร์ชกินข้าวหรือยัง เดี๋ยวโยชิไปตักให้นะ” ผมกระตือรือร้นลุกไปตักข้าวต้มให้พี่ยอร์ช เดี๋ยวพอผมไปเรียนแล้วก็ไม่ได้ดูแลทั้งสองคนอีก ทั้งพ่อและพี่ยอร์ช ชอบบ้างานจนลืมกินข้าว เป็นผมที่ต้องคอยดูแลเรื่องอาหารการกินให้ทั้งคู่
“พี่เข้าไร่ก่อนนะตัวเล็ก ของพวกนี้ไม่ต้องทำเองนะ ตอนเย็นพี่จะกลับมาเก็บให้”
เหมือนกันเลยพ่อกับพี่ยอร์ช
ลับหลังผมก็ทำตัวเป็นเด็กไม่ดีไม่เชื่อฟังคำสั่งของพ่อกับพี่ยอร์ช จัดการเก็บข้าวของที่จำเป็นใส่กระเป๋าเดินทาง และของใช้บางอย่างที่จะขนเข้าหอของมหาวิทยาลัย เท่าที่หาข้อมูลดู หอพักของอาร์ชยูสวยอย่างกับคอนโดใจกลางเมือง และผมได้อยู่แบบไม่ต้องเสียเงินด้วย งานนี้มีแต่ได้กับได้ คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม
“เฮ้อ กว่าจะเสร็จ” ทันทีที่ยัดรองเท้าคู่สุดท้ายใส่ลงกล่องผมก็ทิ้งตัวลงกับโซฟาในห้องนั่งเล่น ปาดเหงื่อบริเวณหน้าผากและไรผมทิ้ง เอนกายพิงโซฟาเงยหน้ามองเพดาน หลอดไฟกลางหัวเรียกความทรงจำเมื่อคืนให้กลับมา หลังจากที่ได้สติเพราะถูกพ่อเรียกอยู่สักพัก เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่ยอร์ชเปลี่ยนหลอดไฟเสร็จ บ้านทั้งบ้านก็พลันสว่างขึ้น
‘ฟะ ไฟดับ’
‘หลอดไฟขาดน่ะเจ้าตัวเล็ก ดีนะที่เราไม่เข้าไปยุ่ง สายไฟมันขาดได้ไงไม่รู้ พี่เกือบถูกไฟดูดไปแล้ว’
สายไฟขาด?
ไฟดูด? จะบอกว่าเขาโชคดีที่งูตัวนั้นทำให้เขาสลบไปก่อนที่จะถูกไฟดูดงั้นเหรอ บ้าสิ้นดี!
และที่แปลกไปกว่านั้น พ่อบอกว่าผมนอนหลับที่โซฟาไม่ได้นอนอยู่บนพื้น ทั้งๆที่ความจริงผมเป็นลมล้มพับใต้หลอดไฟ เป็นไปไม่ได้ที่จะละเมอไปนอนที่โซฟา
คิดมากๆก็เริ่มฟุ้งซ่าน ผมสะบัดหัวไล่ความคิดงี่เง่าออกจากหัว ใครจะรู้ว่าแวบหนึ่งผมเผลอคิดไปว่า เจ้างูนัยน์ตาน่ากลัวนั่นช่วยชีวิตผมเอาไว้
Three days later
@ Arch University
ถึงเวลาที่ผมต้องจากบ้านจากอ้อมอกของพ่อและพี่ยอร์ชไปใช้ชีวิตเพียงลำพังในเมืองหลวงที่แสนวุ่นวาย รถยนต์คันหรูสีดำมันเงาไปทั้งคันหยุดที่หน้าหอพักนักศึกษา ตามมาด้วยรถกระบะที่ขนของมาเต็มคันรถ
Arch University ตั้งอยู่แทบจะใจกลางกรุงเทพ กินพื้นที่มหาศาลแบบที่เอามหาวิทยาลัยรัฐอันดับต้นๆของประเทศมารวมกันสามแห่งก็ยังมีพื้นที่น้อยกว่าที่นี่เสียอีก เมื่อห้าปีก่อนผมได้ดูข่าวการก่อตั้งอาร์ชยู ทั้งปัญหาการกว้านซื้อที่ดินที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน แต่ต้องยอมรับว่าทางมหาวิทยาลัยมีวิธีแก้ปัญหาที่ค่อนข้างดี จัดหาที่พักให้แก่ผู้ที่เดือดร้อนแทบทุกหลังคาเรือน เงินจำนวนมหาศาลที่ถูกจ่ายไปเพื่อให้ได้พื้นที่ตรงนี้มา ผมก็ไม่รู้ว่าอาร์ชยูไปเอามาจากไหน มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่ผมต้องรู้ เพราะสิ่งที่ผมต้องทำต่อจากนี้ก็คือ ผมจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในมหาวิทยาลัยป่าดงดิบกลางเมืองแห่งนี้ให้ได้
ไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิด ที่อาร์ชยูต้นไม้เยอะมากๆ แม้แต่ตามตึกอาคารเรียนที่แสนจะหรูหราด้วยการออกแบบสไตล์กรีกและโรมันก็ยังมีต้นไม้ขึ้นแซมราวกับโอเอซิส มีทั้งน้ำพุและสระน้ำ นี่ถ้ามีกวางหรือลิงสักหน่อย ผมคงคิดว่าที่นี่เป็นสวนสัตว์แทนสถานศึกษา
“ให้พี่ช่วยจัดของไหม” พี่ยอร์ชยืนเท้าเอวมองไปรอบๆห้องพักก่อนจะหันมาถามผม หลังจากลงทะเบียนเข้าพักเสร็จพ่อก็ให้คนงานที่พามาขนของขึ้นมาให้ ห้องนี้อยู่สองคนแต่รูมเมทของผมยังไม่มา ขอบอกเลยว่าห้องพักของที่นี่ใหญ่มากจนกลายเป็นโอเวอร์ เพราะมันไม่ต่างอะไรกับอยู่คอนโดราคาห้าล้านเป็นอย่างต่ำ เฟอร์นิเจอร์ ข้าวของเครื่องใช้ครบครันแบบที่ไม่ต้องขนมาเลยยกเว้นตัวและเสื้อผ้าก็ยังได้
เวอร์จริงๆ -_-;
“ไม่เป็นไรครับ โยจัดเองได้” ผมยิ้มตาหยี เดินไปที่ระเบียงห้องพัก มองลงไปจะเห็นวิวทั่วมหาวิทยาลัย ดีที่เลือกห้องสูงๆ ถ้าอยู่ต่ำกว่านี้ก็จะไม่เห็นวิวสวยๆในมุมกว้าง
“อยู่ได้นะลูก” พ่อเดินมายืนข้างๆ ลูบหัวผมเบามืออย่างที่มักจะทำเป็นประจำ ผมขยับกอดเอวพ่อออดอ้อน พี่ยอร์ชเองก็กอดผมไว้เช่นกัน
“อยู่ได้สิครับ ลูกพ่อเก่งจะตาย” พูดแล้วก็หัวเราะเอง
“ครับ ลูกพ่อเก่งที่สุด” แววตาของพ่อเต็มไปด้วยความเอ็นดูอยู่เสมอ และตอนนี้ผมก็เห็นความกังวลในแววตาของคนทั้งสอง เป็นห่วงที่ผมต้องอยู่ที่นี่คนเดียว
“มีปัญหาอะไรต้องรีบโทรบอกพ่อกับพี่รู้ไหม” พี่ยอร์ชกำชับเป็นรอบที่สิบเห็นจะได้ตั้งแต่รู้ว่าผมจะต้องมาเรียนที่นี่
“ครับผม รอบที่ร้อยแล้ว” ผมแซวขำๆ เลยได้มะเหงกมาหนึ่งที
“ไปๆ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า เดี๋ยวค่อยขึ้นมาจัดห้อง” พ่อโอบไหล่ผมเดินออกจากห้อง พี่ยอร์ชขับรถพาเราไปหาอะไรกินที่ห้างดัง หลังจากนั้นก็ไปเดินซื้อเสื้อผ้าและข้าวของอีกหลายอย่างก่อนจะพากลับมาส่งที่หอพัก
“ดูแลตัวเองด้วยนะลูก” พ่อกอดผมอีกครั้งก่อนจาก กอดพ่อเสร็จผมก็เดินไปกอดพี่ชายที่ยืนอยู่ใกล้ๆกัน
“ขับรถดีๆนะพี่ยอร์ช”
“ครับ ไหนมาหอมทีสิ” จบคำขอของพี่ชายผมก็เขย่งเท้าจุ๊บแก้มของพี่ยอร์ชตามด้วยหันไปหอมแก้มของพ่อ เมื่อล่ำลากันเรียบร้อยแล้วพี่ยอร์ชก็ออกรถกลับเชียงใหม่ ผมยืนมองรถของพี่ชายที่ขับออกไปจนแสงไฟท้ายรถหายลับไปในที่สุด
ตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้าส่งผลให้รอบด้านมืดลงเรื่อยๆ สายลมยามเย็นพัดอ่อนๆ แม้มหาวิทยาลัยจะตั้งอยู่ในเมืองหลวง หากแต่ภายในปลูกต้นไม้และดอกไม้ไว้เป็นจำนวนมาก กลิ่นลมที่พัดโชยมาจึงหอมกลิ่นดอกไม้ใบหญ้าพาลให้รู้สึกสดชื่น ไร้ซึ่งมลพิษเหมือนได้อยู่ท่ามกลางหุบเขา
ผมหมุนตัวเดินกลับเขาหอ แต่เสี้ยววินาทีที่หมุนตัว หางตากลับแวบเห็นอะไรบางอย่าง
เหมือน...มีคนกำลังจ้องมอง
แต่พอหันไปดูก็ไม่พบใครอยู่ในรัศมีสายตา
“ท่าจะตาฝาด” ผมส่ายหัวให้กับความขี้ระแวงของตัวเองก่อนจะเดินขึ้นห้องไปจัดของ คืนนี้กว่าจะได้นอนก็คงดึก แต่ไหนๆก็ไม่มีอะไรทำ ผมเลยกะจะจัดของให้เสร็จ เตรียมรับการเปิดเรียนที่จะมาถึงในอีกสองวันข้างหน้า
ลับหลังโยชิที่เดินเข้าไปในหอพัก ร่างของผู้ชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นไม่ไกลจากหน้าหอพักมากนัก
“สุดท้ายนายก็มาที่นี่จนได้” น้ำเสียงและแววตาที่ติดจะหวั่นวิตกลอยไปตามลมแล้วก็หายไปในที่สุด
ทุกพื้นที่ในมหาวิทยาลัยในวันนี้เต็มไปด้วยความครื้นเครงทั้งนิสิตนักศึกษาใหม่และเก่าต่างกระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณ เสียงคุยจอแจ เสียงหัวเราะ สีสันของการเปิดภาคเรียนเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความสุข บรรยากาศไม่เหมือนกับการเปิดภาคเรียนแบบไทย ไม่มีการรับน้อง ไม่มีว๊าก แต่มันก็ไม่เลวเลยนะผมว่า
“แกจะยิ้มอีกนานไหมไอ้โย แกจะยิ้มอะไรนักหนา”
‘เติร์ด’ เพื่อนหมายเลขหนึ่งที่ผมเจอเป็นคนแรกถามอย่างไม่เข้าใจในอารมณ์ของผมเลยสักนิด
“ฉันยิ้มเพราะมีความสุข แล้วมันหนักหัวแกหรือไง” ผมเบ้หน้าใส่เพื่อนที่ไม่เข้าใจความสุข ไอ้พวกนี้มันโลกมืดมน ไม่มีทางเข้าใจคนโลกสวยอย่างผมหรอก
เห็นผมเรียบร้อยเวลาอยู่กับพ่อกับพี่ยอร์ช แต่พออยู่กับเพื่อน ผมก็เป็นผู้ชายปกติทั่วไปที่มีเฮ้วบ้างมีซ่าบ้างตามประสา
ตอนนี้เป็นเวลาพักเที่ยง ผมและเพื่อนอีกสองคนมานั่งเล่นที่ร้านค็อฟฟี่ที่อยู่ไม่ไกลจากคณะวิทยาศาสตร์ที่เรียนอยู่มากนัก แต่เป็นจุดที่มองเห็นบรรยากาศรอบด้านได้ดีเพราะเป็นร้านแบบโอเพ้นเฮ้าท์ มองไปทางไหนก็เจอแต่คนต่างชาติ เหมือนไม่ได้อยู่ประเทศไทย
“ไม่หนักหรอก แต่แม่งเหมือนคนบ้าวะ”
“เหอะ! ใครจะไปเหมือนแกไอ้เติร์ด วันๆไม่ทำหน้าหม้อหญิงก็ทำหน้ามึน” ผมกระแทกเสียงใส่เพื่อน
“แหมๆ น้องโยก็พูดเกินไป พี่ทำหน้ามึนตรงไหนครับ” เติร์ดเอื้อมมือมาขยี้หัวทุยๆของผมจนยุ่ง ผมตีหน้าเข้มใส่มัน
“จิ๊! ผมยุ่งหมดไอ้เติร์ด! หมดหล่อกันพอดี” ประโยคท้ายผมพึมพำกับตัวเอง แต่เพื่อนสองคนบนโต๊ะก็ยังได้ยิน แล้วพากันส่ายหน้าเบาๆ
“พูดมาได้ว่าตัวเองหล่อ ส่องกระจกบ้างไหมโยชิ หน้าอย่างแกเขาเรียกว่าน่ารัก!”
“พูดถูกมากนิกกี้ อย่าไปเที่ยวบอกใครว่าตัวเองหล่ออีกล่ะ หน้าแตกกันพอดี ฮ่าๆๆ”
พวกเพื่อนบ้า!!!
“เออนี่ ได้ดูข่าวนั่นไหม...” นิกกี้เพื่อนอีกคนของผมเอ่ยเปลี่ยนเรื่องขึ้นกลางวง แต่ยังไม่ทันพูดอะไรมากกว่านี้ก็ถูกเติร์ดขัดก่อน
“ข่าวอะไรวะ”
“ก็ฟังให้จบได้ไหมไอ้เติร์ดแล้วค่อยถาม”
“เอ้า เล่าสิ” แถวบ้านผมเรียกกวน
“ก็ข่าวที่ว่ามีคนตายไง ช่วงนี้คนตายทุกวัน ตายอย่างน่าประหลาด พวกแกคิดว่าไงวะ” นิกกี้หยิบยกประเด็นร้อนสุดฮอตในตอนนี้ขึ้นมาพูดคุย และแน่นอนว่ามันทำให้ผมและเติร์ดสนใจเป็นอย่างมาก
“ฉันคิดว่าเป็นพวกโรคจิตแน่ๆเลย เหมือนในหนังเรื่องซอว์อะไรแบบนั้น” เติร์ดพูดแล้วก็ลูบแขนตัวเองทำท่าขนลุกกับเรื่องสยองขวัญนั่น
“แต่ทางกองพิสูจน์หลักฐานแล้วก็หมอที่ชันสูตรศพเขาบอกว่าเป็นร่องรอยบาดเจ็บที่ถูกกระทำจากสัตว์” ผมพูดในสิ่งที่ได้ฟังและอ่านจากหนังสือพิมพ์มา เป็นข่าวที่ผมให้ความสนใจมากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ จะไม่สนใจได้ไง ภัยใกล้ตัวขนาดนี้
“มันก็จริงที่เขาบอกแบบนั้นนะเว้ย แต่ไม่คิดบ้างเหรอว่าพวกเสือหรือหมีควายที่ไหนมันจะมาเดินเล่นในกรุงเทพโดยไม่มีใครเห็นมันน่ะ” เติร์ดว่า ซึ่งมันก็จริง
“ช่างมันเถอะ หวังว่ามันจะไม่มาเกิดแถวในมหาวิทยาลัยนะ ไม่งั้นได้ย้ายที่เรียนกลางคันแน่” นิกกี้เอ่ยตัดบท บรรยากาศดีๆในวันเปิดเทอมวันแรกไม่ควรมาเสียไปกับเรื่องไม่จรรโลงใจแบบนี้ ซึ่งเราทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย
ผมทิ้งสายตาจับจ้องไปยังนอกร้าน แต่แล้วก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาบังภาพที่จับจ้องอยู่ กลุ่มชายหญิงจำนวนห้าคนนั่งลงที่โต๊ะด้านนอกร้านตัวหนึ่ง เด่นจนไม่ต้องเสียเวลาพิจารณาให้มากความ
‘หน้าตาดียังกับดาราแหนะ’
ผมคิดในใจหลังจากที่ไล่มองใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้นแล้ว จนมาถึงคนสุดท้าย คนที่เหมือนจะกระชากวิญญาณของผมให้ออกจากร่าง
คนที่...จ้องมองผมอยู่ก่อนแล้ว
รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นผิดปกติจนต้องรีบก้มหน้าลงเป็นการหลบสายตาดุดันที่มองมา...ชั่ววินาทีหนึ่งผมกลัวการเงยหน้าที่จะมองหน้าผู้ชายคนนั้น แววตาที่สะท้อนออกมาเพียงแค่แวบเดียว แต่มันเหมือนตอนที่ผมจ้องตากับงูตัวนั้น ในวันที่ฝนตกหนัก วันที่ผมได้จ้องตากับงูตัวใหญ่ในระยะใกล้แค่มือเอื้อม
จะไม่เหมือนกันก็ตรงที่งูตัวนั้นมีนัยน์ตาสีทอง แต่ผู้ชายคนนี้มีนัยน์ตาสีดำสนิท ดำจนไม่อาจเดาได้ว่ามีอะไรปิดบังซ่อนเร้นอยู่ข้างใน
และผมคิดว่าบางทีผมคงเพ้อพกเกินไปหน่อยที่คิดอะไรแปลกๆไม่ได้ความ แต่ว่า...
ความรู้สึกตอนที่สบตากันนั้นมันเหมือนกันไม่มีผิด
“แกมองอะไรวะโยชิ อ่า...คนห่าอะไรวะ หล่อฉิบหาย” เติร์ดมองตามสายตาผมแล้วก็อุทานอย่างลืมตัว แต่มันพูดไม่ผิดหรอก คนพวกนั้นหล่อมากจริงๆ
“อะไรกัน...อ่อ” นิกกี้มองตามอย่างสนใจก่อนจะครางอุทานเสียงเบา
“เขาเป็นใครเหรอ” ผมเบนสายตาหันหานิกกี้ที่ดูเหมือนตกตะลึงในความหล่อของคนกลุ่มนั้นไปแล้ว ถึงได้นั่งอ้าปากค้างทำตาโตหลังจากที่ได้เห็นว่าใครมานั่งอยู่ไม่ไกล
“แกรู้จักเหรอนิกกี้” เติร์ดถาม
“เอ่อ กลุ่มนั้นน่ะเหรอ ไม่เชิงรู้จักหรอก แต่ก็พอได้ยินข่าวมาบ้างก่อนที่จะมาที่นี่ เห็นเขาว่ากันว่า พวกนี้เป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลในมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้มีกลุ่มเดียวนะ ยังมีอีกสามกลุ่ม แบบว่าพวกเขาทั้งหน้าตาดีและเก่ง ความสามารถเพียบพร้อม ตระกูลสูงศักดิ์อะไรทำนองนั้น ขนาดหอพักของเขายังไม่อยู่รวมกับคนทั่วไปเลย” นิกกี้อธิบายเสียงเบาพลางโน้มตัวไปข้างหน้า ผมและเติร์ดจึงทำตาม กลายเป็นว่าพวกเราสามคนสุมหัวกันเมาท์อย่างลับๆล่อๆจนทำให้ใครหลายคนมองมาอย่างสงสัย
“อ้าว แล้วไปอยู่ไหนล่ะ”
“อยู่ด้านหลังของมหาวิทยาลัยนู่น เห็นว่าเป็นบ้านของพวกเขา ที่นั่นไม่มีใครเคยเห็น ว่ากันว่าเป็นเขตหวงห้าม ทั้งสี่ทิศของมหาวิทยาลัยจะมีบ้านพักของผู้สูงศักดิ์ทั้งสี่ตระกูล” นิกกี้หยุดพูด เหลือบตามองไปนอกร้าน ก่อนจะรีบเบนสายตากลับมาจ้องผม “คนพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติ เห็นใช่ไหม และพวกเขาไม่ธรรมดา บางคนเป็นพวกเชื้อสายราชวงศ์ของต่างประเทศ บ้างก็ลูกประธานาธิบดี ลูกนักธุรกิจอันดับต้นๆของโลก ข้อมูลพวกนี้มีในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยเข้าไปดูได้”
บอกผมทีว่าผมยังอยู่ในเมืองไทย ไม่ได้หลุดออกไปอยู่ต่างประเทศหรือหลุดเข้าไปในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่ มันเกินไปแล้วจริงๆ ยิ่งกว่าคำว่าเหลือเชื่อ เพิ่งรู้ว่าแบบนี้ก็มีอยู่ในเมืองไทยด้วย
“นี่ขนาดไม่ค่อยรู้นะเนี่ย” คำพูดกระแนะกระแหนของเติร์ดทำให้นิกกี้ถลึงตาใส่อย่างไม่พอใจนิดๆ
“ก็บอกว่าอ่านตามข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมา พวกนั้นดังจะตาย หาไม่ยากหรอก ไม่เชื่อก็ลองเสิร์ชหาดูสิ”
“ไม่ละ ฉันไม่มีความจำเป็นต้องใส่ใจเรื่องคนพวกนั้น” เติร์ดทำหน้าไม่แยแส ยกแก้วน้ำดูดทีเดียวหมดแก้ว
ผมเอนตัวพิงเก้าอี้ พลางหันไปมองที่โต๊ะของบุคคลกลุ่มนั้นเพียงแค่กระพริบตาผ่านไม่กล้าที่จะจ้องมองนาน คนพวกนั้นดูมีเสน่ห์แบบแปลกๆ เป็นเสน่ห์ที่แฝงไปด้วยไอของความน่ากลัวไม่ว่าจะเป็นท่าทีที่หน้าเกรงขามของผู้ชาย หรือรังสีความหยิ่งยะโสของผู้หญิง แต่สิ่งเหล่านั้นกลับทำให้พวกเขาดูดีอย่างน่าทึ่ง
“รู้ไหมว่าพวกเขาชื่ออะไร” ผมถามนิกกี้ เธอทำหน้าแปลกใจที่ผมถามก่อนจะพยักหน้า
“ก็พอรู้ คนเสื้อสีน้ำเงินชื่อเวสตัน ส่วนผู้หญิงคนที่นั่งข้างคือแฟนเวสตัน หล่อนชื่อปารีส ส่วนผู้หญิงอีกคนกับผู้ชายผมสีเทาฉันไม่รู้”
“แล้วคนผมสีดำที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ล่ะ” คำถามที่แม้แต่ผมก็ยังแปลกใจว่าทำไมถึงถามออกไป อยู่ๆปากมันก็ไปเอง
“เขาชื่ออาซา ผู้ชายเย็นชาไร้ความรู้สึก หมอนั่นดูดีใช่ไหมล่ะ แต่มนุษย์สัมพันธ์แย่โคตรๆ นอกจากเพื่อนในกลุ่ม ก็ไม่มีใครได้ใกล้ชิดเขาหรอก เหมือนจะเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว พวกโลกส่วนตัวสูง”
“...”พวกมนุษยสัมพันธ์แย่งั้นเหรอ ก็อาจจะจริง เพราะแววตาของอาซาดูแข็งกร้าวและไม่แยแสต่อโลก แม้จะเป็นตอนที่มองมาทางผมก็เถอะ
“ทางที่ดีอยู่ห่างเขาไว้ดีกว่า พวกเขาเป็นตัวอันตราย”
“อืม” ผมเผลอครางรับเบาๆอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพราะทันทีที่อาซาหันมาสบตากับผมอีกครั้ง ร่างทั้งร่างก็ขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง
ตึกๆๆๆๆๆๆ
ทำไม...หัวใจถึงได้เต้นแรงขนาดนี้ มันไม่ได้เต้นแรงอย่างอาการตกหลุมรัก แต่...เต้นแรงเหมือนวันที่ได้สบตากับงูในระยะประชั้นชิด
มีอะไรบางอย่างบอกผมว่าผู้ชายคนนั้นอันตรายมาก อย่าเข้าใกล้
แต่อีกซอกลึกของความรู้สึก ผมกลับอยากที่จะรู้จักผู้ชายคนนั้น
ผู้ชายที่ชื่ออาซา