บทที่ 4
ร่างบอบบางในชุดฟอร์มพนักงานเสิร์ฟอาหารของร้านเฮียเม้ง กำลังถือถาดที่มีจานอาหารเรียงรายอยู่ในนั้น 2-3 จาน เดินตรงไปยังโต๊ะที่ 14
แต่เอ๊ะ... โต๊ะที่ 14 อยู่ไหนกันล่ะ ปกติหล่อนอยู่แต่หลังร้าน มีวันนี้วันแรกที่ได้มีโอกาสเสนอหน้าออกมา ป้ายบอกโต๊ะก็ตัวเล็กนิดเดียว คนเยอะนั่งบังป้ายกันหมด แต่ด้วยสมองอันชาญฉลาดของบทมากร ที่หล่อนคิดว่าตัวเองฉลาดเกินวัยนั้น ก็ทำการนับโต๊ะจากมุมร้านด้านขวามือเป็นโต๊ะแรก หล่อนคิดว่านั้นคือโต๊ะแรกแน่นอน ก่อนจะไล่นับเรียงตามไปเป็นแนว แหะ ๆ สุดท้ายหล่อนก็เจอโต๊ะเป้าหมาย ต้องใช่แน่ ๆ เพราะเราไม่เคยทำอะไรพลาด คิดแล้วเจ้าตัวก็ถอนหายใจออกมาแรง ๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองทำพลาดเมื่อเดือนที่แล้ว... ป่านนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง เขาจะตามมาล้างแค้น หล่อนดั่งคำที่เขาได้พูดไว้หรือเปล่านะ
“เธอจะต้องชดใช้ให้ฉันด้วยชีวิตของเธอ นังผู้หญิงแพศยา!”
คำพูดของเขายังคงก้องอยู่ในหัว ทั้ง ๆ ที่หล่อนพยายามจะลืมมัน แต่จะพยายามลืมแค่ไหน มันกลับจำได้ไม่มีวันลบเลือน เพราะทั้งแววตาและน้ำเสียงของเขานั้น มันฝังลงไปในหัวใจของหล่อนเสียแล้ว
บทมากรพยายามสลัดความคิดหมกมุ่นนั้นออกไป ก่อนจะพยายามฝืนยิ้มร่าเริงออกมา ใช่..หล่อนต้องยิ้มเข้าไว้ จะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าข้างในหล่อนนั้นอ่อนแอแค่ไหน
“มาแล้วค่ะ อาหารที่สั่ง”
หญิงสาวสาละวนอยู่กับการหยิบจานอาหารในถาดวางบนโต๊ะ เลยไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าและแววตาของชายหนุ่มเจ้าของโต๊ะนั้น ที่มันเต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่อัดแน่น กองไฟหลายร้อยดวงกำลังโหมลุกไหม้อยู่ในดวงตาคู่สีสนิมคู่นั้น
“ต้องการอะไรเพิ่มไหมคะ”
พูดยังไม่ทันจะจบประโยคดี ถาดสแตนเลสใบใหญ่ก็หลุดมือตกลงกระทบกับพื้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เมื่อสายตาของหล่อนประสานเข้ากับดวงตาที่หล่อนคิดว่าตายไปกี่ชาติก็ไม่อาจจะลืมมันได้
หญิงสาวปากคอสั่นเทา ดวงตากลมโตคู่สวยนั้นเบิกกว้าง ริมฝีปากบางอิ่มสีชมพูอ่อน ๆ เป็นธรรมชาติเผยอออกจากกันอยู่ในลักษณะอ้าปากค้าง หล่อนยืนนิ่งสนิทขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้นานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ในความรู้สึกของหล่อนมันนานจนแทบจะขาดใจ เขามาได้ยังไง.. ทำไมโลกมันช่างกลมได้ถึงขนาดนี้
“คะ คุณ.. คุณ..ฉะ ฉัน”
น้ำเสียงที่พยายามจะพูดออกมานั้นติดอยู่แค่ลำคอ เมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงของบุรุษตรงหน้า คำพูดที่จะพยายามอธิบายก็มีอันต้องกลืนหายลงไปในลำคอ
“ฉันไม่คิดว่าจะเจอเธอที่นี่”
บทมากรได้ยินน้ำเสียงเย็นชาราวกับน้ำแข็งขั้วโลกเหนือของเขาก็ทำให้หล่อนหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ ขาเจ้ากรรมก็ไม่ยอมทำตามคำสั่ง ไม่ยอมพาหล่อนไปจากนี่ที่สักที
“งั้นบทเรียนแรกของเธอก็คงมาถึงแล้วซินะ”
เขาหัวเราะหึหึในลำคอ ก่อนจะคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนกลมกลึงของหล่อนอย่างแรง
“นี่คุณปล่อยนะ ปล่อยซิ”
หญิงสาวดิ้นรนจนหน้าเขียวหน้าเหลือง แต่ก็ไม่อาจหลุดรอดออกมาจากกรงเล็บของพญาเหยี่ยวอย่างเขาได้ แถมพอหล่อนดิ้นมาก ๆ เข้าเขาก็ออกแรงกดฝ่ามือลงที่ต้นแขนของหล่อนจนหล่อนเจ็บระบมไปหมด หญิงสาวไม่กล้าที่จะร้องขอความช่วยเหลือ เพราะกลัวลูกค้าคนอื่น ๆ จะแตกตื่น และแน่นอน ถ้าหล่อนทำอย่างนั้นเฮียเม้งเล่นงานหล่อนตายแน่
บทมากรพยายามมองหาคนช่วย แต่เวลานี้ นาทีนี้ ทุกคนกำลังยุ่งกันจนหัวปั่นไปหมด ไม่มีใครมองมาที่หล่อนสักคน มีแต่ลูกค้าโต๊ะใกล้เคียงเท่านั้นที่มองมาอย่างสงสัย แต่พวกเขาก็คงแค่สงสัยแค่นั้น เพราะไม่มีใครสักคนช่วยหล่อนเลย ปล่อยให้ติญญานนท์หิ้วปีกหล่อนออกไปนอกร้านอย่างง่ายดาย
“คุณ... คุณกำลังเข้าใจผิดนะ ฉะ ฉัน... เฮ้ยเรา เราไม่เคยพบกันเลย คุณมาทำป่าเถื่อนอย่างนี้ได้ยังไง ปล่อยฉันนะ คุณคงอกหักจนบ้าไปแล้วแน่ ๆ”
“ไม่เคยรู้จักเหรอ ไม่เคยรู้จัก แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันถูกเจ้าสาวทิ้งจนแทบบ้าอย่างนี้ รู้ได้ยังไง”
ติญญานนท์ระเบิดอารมณ์ใส่ผู้หญิงที่เป็นนางมารร้ายในชีวิตเขาตรงหน้า เขาจับหล่อนกดกระแทกกับรถคันหรูของเขาที่จอดอยู่ในลานจอดรถของร้านอาหารชื่อดังแห่งนี้ ก่อนจะปล่อยมือจากต้นแขนทั้งสองข้างของหล่อน มากุมไว้ที่ลำคอระหงของหล่อนแทน ส่วนอีกมือหนึ่งรั้งเอวบางไว้
บทมากรเหยหน้าด้วยความเจ็บเมื่อศีรษะของหล่อนกระแทกเข้ากับตัวรถ และหล่อนก็ต้องตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อลำคอของหล่อนถูกฝ่ามือใหญ่ของอีกฝ่ายบีบเค้นอย่างแรง หญิงสาวเริ่มหายใจไม่ออก ดิ้นรนต่อสู้ แต่มีหรือผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างหล่อนจะไปสู้ผู้ชายตัวใหญ่โตเท่าตึกอย่างเขาได้
บทมากรดิ้นรนจนอ่อนแรง อากาศที่จำเป็นต่อชีวิตของหล่อนเริ่มขาดหายไปทุกขณะ หล่อนกำลังจะตาย แม่... แม่ แล้วใครจะหาเงินไปรักษาแม่ คิดถึงมารดาแล้ว น้ำตาแห่งความเสียใจก็ไหลรินออกมาเต็มสองตา ก่อนที่สติของหล่อนจะดับวูบไป
ชายหนุ่มมองร่างบางที่ล้มพับลงในอ้อมแขนของเขาอย่างเคียดแค้น หล่อนยังต้องรับกรรมอีกเยอะ ความผิดที่หล่อนได้ก่อไว้บทเรียนแค่นี้ยังไม่สาสมหรอก ติญญานนท์ยิ้มเหี้ยมออกมา ก่อนจะอุ้มร่างบางของบทมากรขึ้นรถ ขับออกไปทันที
ในคฤหาสน์หลังใหญ่สีขาวสุดหรูกลางเมืองกรุง รถยุโรปสีดำแล่นเข้ามาจอด ร่างสูงใหญ่ของบุรุษที่มีหน้าตาราวกับเทพบุตรลงมาจุติก้าวลงมาจากรถ ก่อนจะเดินดุ่ม ๆ ตรงเข้าไปในคฤหาสน์หลังนั้น
“ติญญานนท์ ย่ามีเรื่องจะคุยกับแก”
เสียงแหบแห้งของหญิงชราประมุขของบ้านดังขึ้น ทำให้ร่างสูงใหญ่ของติญญานนท์ชะงัก เขาหันไปมองที่ต้นเสียงนิดหนึ่ง ก่อนจะก้าวเท้าเดินตรงดิ่งขึ้นห้องส่วนตัวไปไม่สนใจคุณย่าของเขาสักนิด เขาทำราวกับในโลกนี้เหลือเขาแค่คนเดียวเท่านั้น
“นายติญญ์ แกมันปีศาจร้ายมาเกิดจริง ๆ”
หญิงชราโกรธหลานชายแทบเป็นลม ที่เขาทำเป็นไม่เห็นใครอยู่ในสายตา แม้กระทั่งหล่อน
ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้นติญญานนท์ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากผู้ชายอ่อนโยนกลับกลายเป็นปีศาจร้ายไปในชั่วพริบตา เขาไม่ข้องแวะกับใคร ไม่เคยพูดกับใคร นอกจากเก็บตัวอยู่แต่ในห้องส่วนตัวของตนเองเท่านั้น คิดแล้วหล่อนก็อดสงสารหลานชายไม่ได้
แต่ถ้าจะให้หล่อนเลือกระหว่างความเจ็บปวดตอนนี้ของหลานชายกับการแต่งงานกับผู้หญิงเลว ๆ อย่างกรนารานั้น หล่อนขอเลือกอย่างแรกดีกว่า เพราะหลานชายของหล่อนไม่มีวันตามผู้หญิงร้อยเล่ห์อย่างนั้นทันหรอก
ร่างสูงนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงกว้าง ดวงตาคู่คมจ้องมองรูปของอดีตเจ้าสาวในมือนิ่ง ความรักที่เคยมีให้หล่อนท่วมท้นใจตอนนี้ก็ยังคงมีให้ไม่เสื่อมคลาย เขาไม่รู้ว่าตอนนี้หล่อนไปอยู่ซะทีไหน แต่สักวันเขาคงได้เจอหล่อน และวันนั้นหล่อนคงเข้าใจเขา..
“ทำไมคุณไม่เชื่อผม คุณทิ้งผมไปทำไม ถ้าวันนั้นคุณเชื่อผม วันนี้ผมกับคุณคงอยู่ด้วยกัน”
ติญญานนท์จุมพิตรูปของกรนาราเบา ๆ อย่างอ่อนโยน หวงแหน
“เพราะนังผู้หญิงแพศยาคนนั้นคนเดียว ผมจะฆ่ามัน”
ดวงตาของเขาวาวโรจน์ ความเคียดแค้นเกาะกินไปทั่วหัวใจ ร่างสูงใหญ่ดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว