ขุดไปนึกไปจนเริ่มเหนื่อยหญิงสาวจึงหยุดนั่งพัก นึกกระหายน้ำยิ่งนักจึงวางกลุ่มมันที่ขุดได้กวาดซ่อนไว้ใกล้ๆพงหญ้า ทำสัญลักษณ์ไว้กันลืมแล้วจึงเดินเรียบชายป่าไปตามกำแพงเมืองจนถึงแม่น้ำสายกลางเมือง
‘ซ่าหยู’เมืองเหนือของแคว้นอากาศไม่ร้อนอบอ้าวเท่าเมืองชายแดนและยังอุดมสมบูรณ์น่าทึ่งยิ่งนัก มีทั้งป่าเขาและแม่น้ำที่กว้างใหญ่ทอดยาวไปทางทิศตะวันออกของแคว้น ผู้คนมีความเป็นอยู่ค่อนข้างจะหรูหราฟู่ฟ่าไม่แร้นแค้น แม้จะยุ่งเหยิงอยู่บ้างแต่ก็น่าอยู่ หากไม่ใช่เพราะเกิดสงครามและนางได้หลุดมาอยู่ในโลกโบราณแห่งนี้โดยไม่ตั้งใจ ก็คงจะไม่มีวันได้มาเห็นธรรมชาติที่แสนงดงามอย่างนี้
‘ในโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่บ้าง’นางนึกพลางก้มลงวักน้ำขึ้นมาดื่ม ได้ลูบหน้าลูบตาเช่นนี้จึงค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย คราวนี้คงต้องถึงเวลาสู้ชีวิตอีกครา ไหนจะฝางฮูหยินที่เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะเพราะตรอมใจจากการสูญเสียสามี อีกทั้งบุตรชายเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ก็ยังไม่รู้ข่าวคราวว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
”แต่เธอไม่ต้องเป็นห่วงแม่สามีของเธอนะ ในเมื่อฉันได้มาอยู่ในร่างของเธอแล้วฉันก็จะทำหน้าที่ดูแลท่านแทนเธอเอง ไปสู่สุขขติเถิด เหลียนเฟย”พูดพลางพนมมืออธิษฐานหวังให้วิญญานของอีกฝ่ายได้รับรู้ความรู้สึกตั้งใจจริงของเธอ
ตั้งท่าหันหลังเดินกลับทางเก่า แต่สายตากลับกวาดมองไปเห็นเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังตั้งหน้าเดินลงแม่น้ำ
“เฮ้ย!คนกำลังจะฆ่าตัวตายนี่ เจ้า!!หยุดก่อนหยุดๆๆ” และกว่าจะช่วยเหลือดึงเอาคนขึ้นมาจากน้ำได้ ก็เล่นเอาเธอหอบจนตัวโยน ก็เพราะเด็กสาวผู้นั้นทั้งดิ้นรนและผลักไสเธอ ปากก็พร่ำร้องบ่นแต่ว่าอยากตายๆๆ
เฮ้อ!นี่ถ้าไม่คิดว่าการช่วยชีวิตคนมันเป็นบุญอันมหาศาลแล้วล่ะก็ เธงก็คงช่วยถีบส่งไปแล้วล่ะ ก็ดูเอาเถิด ขึ้นมาได้ก็ตั้งท่าจะวิ่งลงไปใหม่จนเธอต้องคอยยื้อยุดฉุดกระชากไว้เสียจนเหนื่อยอ่อน
“นี่!ถ้าเจ้ายังไม่หยุดดิ้นรนเช่นนี้ข้าก็จะปล่อยเจ้าแล้วนะ อยากตายนักก็เชิญ เสียทีที่เกิดมาเป็นคน รู้มั้ยว่ากว่าพ่อแม่เจ้าจะเลี้ยงมาให้โตจนป่านนี้ได้น่ะ มันยากลำบากขนาดไหน คิดถึงใจท่านบ้างสิ”เธอตะโกนพลางปล่อยมือแล้วทิ้งตัวลงนั่งมองเด็กสาวที่เริ่มหยุดดิ้นรนแล้วนั่งก้มหน้าร้องไห้
เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนเด็กสาวเริ่มกลั้นสะอื้นทั้งเงยหน้าที่มีเค้าความน่ารักน่าเอ็นดูขึ้นมองมาที่เธอ ที่ตอนนี้ความหนาวสั่นเริ่มมาเยือนจนเธอต้องนั่งกอดเข่าเข้าหาตัว
“เจ้าชื่ออะไร มาจากไหน ทำไมถึงคิดอยากฆ่าตัวตาย รู้ไหมว่ามันเป็นบาป”เธอถามขึ้นขณะประกบมือลูบขึ้นลงพร้อมเป่าลมหายใจใส่ฝ่ามือแก้หนาว
“ข้าชื่อหนี่เหยาเอ๋อร์ มาจากหมู่บ้านเรียบชายแดนฝั่งตะวันตก อพยพหนีสงครามมา”เด็กสาวว่าพลางก้มหน้าลงน้อยๆ
”แล้วเกิดสิ่งใดขึ้นหรือเจ้าถึงได้คิดสั้นเยี่ยงนี้”
“ครอบครัวข้าและคนในหมู่บ้านอพยพหนีสงครามขึ้นมาทางหนือ
แต่ระหว่างทางโชคร้ายปะทะเข้ากับกลุ่มข้าศึกที่เข้ามาปล้นสะดม
ชาวบ้านครอบครัวข้าถูกพวกข้าศึกฆ่าตายหมดแม้กระทั่งน้องชายข้าที่มีอายุเพียง9ขวบ ข้าไม่เหลือใครอีกแล้ว ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว ฮือๆๆ” เด็กสาวตอบพลางสะอึกสะอื้นขึ้นมาอีกครั้ง
”เจ้าใจเย็นแล้วฟังพี่สาวคนนี้ซักหน่อยเถิด ถึงเจ้าจะฆ่าตัวตายลงตรงนี้ ก็ใช่ว่าจะทำให้ชีวิตพ่อแม่และน้องชายของเจ้าฟื้นคืนขึ้นมาได้ กลับกัน พวกเขาอาจต้องตายตาไม่หลับเพราะหากได้รับรู้ว่าพวกเขาคือต้นเหตุที่ทำให้เจ้าคิดสั้น ชีวิตยังมีค่ามากนะ หากหลังจากนี้เจ้าสามารถมีชีวิตที่ดีได้ อีกทั้งยังระลึกถึงและคอยทำบุญทำทานส่งไปให้พวกเขา นั่นต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกที่ควร“
เธอขยับเข้าไปใกล้พร้อมทั้งยกมือขึ้นลูบเบาๆที่ผมของเด็กสาว
“เชื่อข้าเถิดนะ ตัดอกตัดใจเสีย ลืมความโศกเศร้าแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำชีวิตให้ดี เพื่อที่ครอบครัวของเจ้าจะได้หมดห่วง”จูจูนึกเวทนายิ่งนัก ร่างเล็กตรงหน้าดูแล้วน่าจะยังไม่พ้นวัยปักปิ่นด้วยซ้ำกลับต้องมาพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้
เด็กสาวเงยหน้าที่แดงก่ำอย่างคนร้องไห้อย่างหนักขึ้นมองมือที่ลูบเบาๆตรงผม จึงโผเข้ากอดทั้งสะอื้นไห้กับอกหญิงสาวแปลกหน้าที่เป็นผู้ช่วยชีวิตทั้งยังสั่งสอนเตือนสติให้ไม่หลงผิดคิดทำร้ายตัวเอง
หญิงสาวปล่อยให้นางร่ำไห้จนพอใจเมื่อเสียงสะอื้นคลายลงและเด็กสาวขยับกายออกห่างจึงถามขึ้น
“จากนี้ไปเจ้าจะทำอย่างไร มีญาติพี่น้องที่ไหนที่จะไปหาหรือไม่เผื่อข้าพอจะช่วยเจ้าได้บ้าง”
“ข้าไร้ญาติขาดมิตรแล้วเจ้าค่ะ มีเพียงชาวบ้านที่เหลือรอดเดินทางมากับข้า แต่ข้าคงจะไม่ไปอยู่กับพวกเขาเพราะข้าไม่อยากเป็นภาระให้ใคร”
”แล้วเจ้าจะทำอย่างไร เหลือตัวคนเดียวทั้งยังเป็นผู้หญิงอีก จะไปทางใดก็ย่อมมีอันตรายรอบด้าน”
เด็กสาวส่ายหน้าแล้วค่อยๆก้มลงจนคางชิดหน้าอก
“เอาอย่างนี้มั้ยหากเจ้าไม่รังเกียจ คืนนี้ไปพักกับข้าก่อน รุ่งเช้าเมื่อเดินทางเข้าเมืองแล้วค่อยคิดกันอีกที ว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
”ขอบคุณเจ้าค่ะ”เด็กสาวเงยหน้าขึ้นพร้อมทั้งรับคำอย่างหงอยๆ
”แต่ตอนนี้ข้าว่าเรารีบไปยังที่พักของข้าก่อนเถิด ขืนยังอยู่ที่นี่ต่อเราอาจจะเเข็งเป็นหินกันเสียก่อนนะ“
“เจ้าค่ะ”