ณ จวนหลังใหญ่กลางเมืองเยื้องออกมาทางทิศใต้ของวังหลวง บ่าวไพร่เดินกันขวักไขว่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขัน เนื่องจากวันนี้มีคนสำคัญมาเยี่ยมเยือนนายท่านอาวุโสของจวน บ่าวคนใดที่ไม่มีหน้าที่ประจำห้องโถงใหญ่มีคำสั่งห้ามเข้าหรือออก บ่าวไพร่จัดเตรียมของว่างรับแขกอย่างคล่องแคล่วเมื่อเสร็จก็พากันหลบลี้หนีห่าง ทหารยามร่างกายกำยำพร้อมนางกำนัลเข้ามาประจำที่หน้าห้องโถง คอยสอดส่องไม่ให้มีคำพูดหรือสิ่งใดเล็ดรอดออกไปจากที่แห่งนี้ได้
"เชิญพระสนมเอก พะย่ะค่ะ"’จู่ชิงเหวิน’หรือนายท่านผู้เฒ่าสกุลจู่ อดีตราชครูผู้สั่งสอนเหล่าเชื้อพระวงศ์ค้อมตัวลงพร้อมผายมือเชื้อเชิญ
"ท่านพ่อบุญธรรมอย่าได้เกรงใจ เชิญ” น้ำเสียงหวานไม่แตกต่างจากรูปลักษณ์อันอ่อนช้อยกอปรกับรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ยามเคลื่อนไหวเยื้องย่างราวกับเทพธิดาร่ายรำ ความงามเหนือหญิงใดของ’จู่เหมยฮัว’สนมเอกแห่งแคว้นหนาน นางยิ้มกว้างขณะเดินนำอดีตราชครูเฒ่าไปยังเก้าอี้ประธานของห้อง
”ไม่ทราบว่าท่านมีสิ่งใดเร่งด่วนหรือเจ้าคะ ถึงได้ให้คนไปแจ้งให้ข้ามาพบ”
“ขอพระสนมทรงอภัย ข้าเพียงแต่ร้อนใจ ในเมื่อ’ปลาตอดเหยื่อ’เข้าไปนานแล้วใยจึงไม่กระตุกเบ็ดเสียที ข้าเกรงว่าหากชักช้าจะมีมือดีมาปลดปลาออกจากเหยื่อเสียก่อนนะพะย่ะค่ะ”
“ท่านอย่าได้กังวลไป ครั้งนี้ข้าลงมือเองอีกทั้งเหยื่อที่ข้าใช้นั้นก็แข็งแกร่งยิ่งนัก’ปลา’ย่อมไม่สามารถหลุดออกไปได้ง่ายอย่างแน่นอน ท่านจงวางใจเถิด อีกอย่าง องค์ชายของข้าก็เริ่มเติบใหญ่ แต่ฮองเฮากลับประสูติแต่องค์หญิงทั้งสองพระองค์ อย่างนี้ท่านจะกังวลไปใย มิสู้กำชับให้’เช่อเช่อ’คอยกระตุ้นเหยื่อ”ให้ข้ามิดีกว่าหรือ”
”หากพระสนมทรงมั่นพระทัยเยี่ยงนี้แล้ว ข้ากระหม่อมก็วางใจพะย่ะค่ะ ส่วนเรื่องกระตุ้นเหยื่อนั้น เช่อเอ๋อร์ก็เพียรหมั่นกระทำอยู่ เพียงแต่ตอนนี้การเข้าใกล้ปลานั้นค่อนข้างจะติดขัดอยู่ซักหน่อย”
”มิเป็นไร อย่างไรเสียปลาของท่านก็ไม่สามารถดิ้นรอดออกจากเบ็ดของข้าได้อย่างแน่นอน”
“พะย่ะค่ะ”
หลังจากจิบชาและสนทนาพาทีกับราชครูเฒ่าจนกระทั่งสายพระสนมเอกผู้งดงามดั่งเทพธิดาจึงได้เสด็จกลับ จู่ชิงเหวินมองตามหลังเกี้ยวอันทรงเกียรติค่อยๆหายลับไปจึงได้หันหลังกลับเข้าจวน ชายชราเดินตรงเข้าห้องหนังสือพลางร้องสั่งบ่าวไพร่เฝ้าอยู่ด้านหน้าห้ามใครรบกวน เมื่อแน่ใจว่าปิดประตูแน่นหนาดีแล้ว จึงเดินผ่านหายเข้าไปหลังชั้นหนังสือ กวาดมือคว้าในเงามืดอย่างเคยชิน จนได้ตะเกียงดวงเล็กจุดขึ้นแล้วจึงเดินตามทางแคบๆลงไปด้านล่างจนถึงโถงกว้างที่มีพื้นยกสูงอยู่ตรงกลางห้อง บนพื้นที่ยกสูงนั้นมีป้ายวิญญาณวางอยู่พร้อมเครื่องเซ่นต่างๆอย่างครบครัน เขาตรงเข้าไปจุดธูปพร้อมคุกเข่าลงตรงหน้าป้ายค้อมตัวลงคำนับก่อนจะปักธูปลงในกระถาง เงยหน้ามองตรงไปยังป้ายที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะยกมือที่มีร่องรอยเหี่ยวย่นบ่งบอกถึงความแพ้พ่ายของร่างกายต่อกาลเวลากุมเอาป้ายวิญญาณนั้นมากอดแนบอก สองตาเริ่มชื้นน้ำ ชายชราทิ้งตัวลงกับพื้นเย็นเฉียบเอ่ยเสียงสั่นเครือ
”เพ่ยเอ๋อร์ เจ้ารออีกนิดนะ วันที่เรารอคอยใกล้จะมาถึงแล้ว สกุลซื่อจะต้องพังพินาศพวกมันจะต้องชดใช้ให้เจ้า ตอนนี้อ๋องสามมันถูกพิษที่ยากจะรักษา หากวันใดที่มันสิ้นชีพ ต่อไปก็จะถึงคราวของเจ้าฮ่องเต้ชั่ว’ซื่อหลงจ้าว’ ข้าจะให้พวกมันทั้งหมดชดใช้ให้เจ้า ฮือๆๆ เพ่ยเอ๋อร์ รอข้าอีกนิด แล้วข้าจะตามเจ้าไป รอข้านะ ฮือๆ”
เมื่อถึงเวลาที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ว่าหญิงสาวจะลองเข้าไปดูอาการของอ๋องสาม ตามคำร้องขอขององครักษ์หนุ่มเผื่อว่าจะมีทางใดที่พอจะรักษาได้ เกาฉางเย่ที่ยามนี้ร่างกายแข็งแรงดีจนเกือบจะหายเป็นปกติแล้วมาพร้อมกับรถม้าหลังขนาดกลางเพื่อรับสองสาวไปยังจวนอ๋อง เนื่องด้วยจวนที่ว่านั้นอยู่ติดภูเขาเยื้องไปทางนอกเมือง หากเดินเท้าเกรงว่าจะทำให้ล่าช้ากว่าปกติ หม่าเหลียนเฟยพร้อมด้วยหนี่เหยาเอ๋อร์นั่งรถม้าผ่านเส้นทางลัดสู่ทางออกนอกเมืองที่มีผู้คนผ่านไปมาบางตานัก
หญิงสาวนั่งฟังอาการของอ๋องสามเพิ่มเติมจากองค์รักษ์หนุ่มที่บอกเล่าอย่างกระตือรือร้น จนได้รู้ว่าตอนนี้พิษได้กำเริบหนักขึ้นเรื่อยๆ แม้จะสามารถสกัดจุดไม่ให้พิษแล่นเข้าสู่หัวใจได้ แต่ส่วนอื่นๆของร่างกายล้วนแต่เต็มไปด้วยร่องรอยของบาดแผลที่เกิดจากการขยับตัวของสัตว์พิษที่สร้างความทรมานอย่างสุดแสนให้แก่ชายหนุ่ม
รถม้าแล่นมาด้วยความเร็วเพียงไม่นานก็หยุดนิ่งที่หน้าจวนหลังใหญ่ที่มีเหล่าทหารยามถือทวนขวางทางเข้าออกอยู่ แต่เมื่อเห็นเกาฉางเย่เหล่าทหารก็รีบเปิดทางให้ผ่านเข้าไปอย่างรวดเร็ว รถม้าวิ่งต่อไปไม่กี่ลมหายใจเข้าออกก็จอดสนิท องค์รักษ์หนุ่มลงจากรถม้าพร้อมทั้งคอยช่วยรับหญิงสาวทั้งสอง เสร็จแล้วจึงเดินนำเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว หม่าเหลียนเฟยกระชับย่ามที่บ่าก่อนเงยหน้าขึ้นกวาดสองตามองรอบจวนใหญ่ที่ตกแต่งอย่างสวยงามสมฐานะอ๋อง จากนั้นจึงเดินเข้าไปข้างในโดยมีหนี่เหยาเอ๋อร์เกาะแขนเดินตามนางทั้งเหลียวซ้ายแลขวาอย่างตื่นๆ
ก้าวเท้าเร็วๆเดินตามเส้นทางคดเคี้ยวแต่เงียบสงบ พบเจอบ่าวชายหญิงที่หลีกทางให้พร้อมยืนก้มหน้าอย่างสำรวมเมื่อทั้งสามเดินผ่าน จนมาถึงหน้าจวนหลังเล็กที่มีทหารเดินตรวจตราอย่างเข้มงวด สังเกตุเห็นว่าจวนหลังนี้ได้แยกตัวออกมาจากจวนใหญ่ ชายหนุ่มผู้นำทางหยุดเดินพร้อมหันมากล่าวกับนางและเด็กสาว
"แม่นางรอตรงนี้ซักครู่ ข้าจะเข้าไปกราบทูลท่านอ๋อง"ว่าแล้วก็หมุนตัวเข้าไปด้านใน
ผ่านไปเพียงครู่เดียวก็มีชายวัยกลางคนเดินตรงเข้ามาที่ทั้งสองยืนอยู่
"เชิญแม่นางทั้งสองตามข้ามาขอรับ"
นางรับคำพร้อมทั้งเดินตามเขาเข้าไปด้านใน เพียงผ่านพ้นประตูจมูกพลันได้รับกลิ่นคาวเลือดที่รุนแรงปนกลิ่นไซซา(ใบเตย)อ่อนๆที่มีสรรพคุณช่วยดับกลิ่นคาว หากแต่คาดว่าผู้ที่อยู่ด้านในคงจะอาการสาหัสยิ่ง เพราะกลิ่นคาวของเลือดที่แห้งกรังนั้นรุนแรงเสียจนแทบจะกลบกลิ่นอ่อนของไซซาจนหมดสิ้น เห็นทีว่านางคงต้องบอกให้เปลี่ยนมาใช้สมุนไพรชนิดอื่นที่มีกลิ่นรุนแรงกว่าไซซาอย่างเช่นใบป้อหนี(ใบกระวาน)จึงจะกลบกลิ่นเลือดได้ดีกว่านี้เสียแล้ว
มองเข้าไปด้านในเห็นเตียงหลังใหญ่ตกแต่งด้วยม่านโปร่งสีเข้มทั่วทั้งหลัง ให้ความรู้สึกชวนหดหู่ยิ่งนัก ภายในห้องมีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย มองทะลุม่านไปเห็นเพียงเงาของคนที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่หลังม่าน ใจของหญิงสาวเต้นรัวด้วยความประหม่า เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางได้เข้าเฝ้าเชื้อพระวงศ์แม้ตอนนี้จะได้เห็นแค่เงาก็เถอะ นางยืนนิ่งงันจนได้ยินเสียงขององค์รักษ์เกาเอ่ยขึ้น จึงค่อยๆคุกเข่าก้มหน้าแนบพื้น
”หม่อมฉัน หม่าเหลียนเฟยขอถวายพระพรเพคะ” ค้อมตัวรอคำอนุญาตให้ลุกขึ้น หูแว่วเสียงทุ้มอันอ่อนแรงเอ่ยออกมาแผ่วเบา
“ลุกขึ้นเถิด ท่านคือหมอที่รักษาพิษให้องครักษ์เกาใช่หรือไม่”
“เป็นหม่อมฉันเพคะ แต่กับอาการของพระองค์หม่อมฉันไม่ค่อยมั่นใจเพคะ แต่จะพยายามสุดความสามารถ ขอทรงวางพระทัย”
ได้ยินเสียงที่อ่อนแรงจนพาลให้รู้สึกสงสาร อ๋องผู้นี้อายุกำลังอยู่ในวัยหนุ่ม หากแต่ต้องมาทนหมกมุ่นอยู่แต่ในห้องมืดอับแสงไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเช่นนี้ ช่างน่าเวทนายิ่งนัก หญิงสาวนึกไปถึงตอนที่รับปากกับองครักษ์เกาว่าจะมาช่วยดูอาการให้แก่อ๋องสาม นางยังจำได้ดีว่าองครักษ์หนุ่มผู้นั้นถึงกับทิ้งตัวลงคุกเข่าขอร้อง จนนางต้องจำใจรับปากว่าจะหาทางรักษาชายผู้นี้อย่างสุดความสามารถ
แต่ยามนี้เมื่อได้มาเห็นได้มารับรู้ถึงความเจ็บปวดและทรมานจากคนตรงหน้าด้วยตนเอง ทำให้นางเกิดความรู้สึกทั้งเวทนาทั้งสงสาร ต้องเป็นคนโหดร้ายแบบใดกันถึงได้ทำกับมนุษย์ด้วยกันถึงขนาดนี้ได้
‘!ไม่ต้องห่วง ข้าจะต้องรักษาท่านให้จงได้!’
นางตั้งปณิธานในใจพลางลุกขึ้นยืนพร้อมเพ่งสายตาอันแรงกล้ามองทะลุม่าน