“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกเช่นไร” หญิงสาวถามพร้อมขยับไปใกล้ร่างใหญ่กำยำที่ทรุดตัวลงนอนแผ่หลาหมดสภาพ ชายหนุ่มลืมตาขึ้นหรี่มองมายังนางพลางรวบรวมกำลังตอบอย่างช้าๆ
“ข้าไม่มีแรงเลย ยาพิษของมันช่างร้ายกาจนัก ไม่มีแม้แต่แรงจะเดินกำลังภายในขับพิษออกจากร่างกายได้ เจ้ารีบหนีไปเถิด หากมันฟื้นขึ้นมา ข้าคงไม่สามารถช่วย…เจ้า..ได้“
เสียงอันแผ่วเบาที่เล็ดรอดออกจากริมฝีปากแห้งผาดของชายหนุ่ม ก่อนที่จะสิ้นสติไป และสิ่งที่เขาเห็นอันเลือนรางก่อนจะสิ้นสติก็คือสตรีแปลกหน้าได้วางมือลงบนแผลของเขาอย่างแผ่วเบา…
สายลมพัดเอื่อยๆจนกระทั่งเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อฟ้าเริ่มครึ้ม เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าฝนเริ่มตั้งเค้า ชายหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะมองเห็นเพียงหลังคามุงจากเก่าๆ แต่ยังไม่ทันได้สำรวจรอบกายมากไปกว่านั้น กลับต้องรีบหลับตาลงอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ เขาลองเกร็งลมปราณไปที่ฝ่ามือแต่ก็หาได้รู้สึกถึงพลังลมปราณในร่างกายไม่ ดังนั้นจึงตัดสินใจเค้นเรี่ยวแรงที่มีเพียงน้อยนิดยกมือสกัดจับเอาสิ่งที่กำลังผ่านบนหน้าของเขาเอาไว้
“โอ้ย”
ได้ยินเสียงร้องอุทานเบาๆตรงหน้า ชายหนุ่มจึงลืมตาขึ้นมองอย่างแปลกใจ ตาคมมองเห็นดวงหน้ากระจ่างใสที่กำลังแหยเกเพราะแรงบีบที่ข้อมือ ดวงตากลมโตเบิกกว้างสบเข้ากับตาคมดุอย่างตื่นตระหนก เห็นแล้วให้รู้สึกทั้งชวนขันทั้งน่าเอ็นดูยิ่งนัก
“ข้าเจ็บเจ้าค่ะ” เสียงอุทรจากสาวน้อย ส่งผลให้ชายหนุ่มรีบปล่อยมือจากข้อมือบางพร้อมกับยันตัวขึ้นนั่ง
”ข้าขออภัยแม่นาง แล้วเจ้าเป็นใครใยมาอยู่ที่นี่ ข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่ แปลกยิ่งนัก ข้าต้องพิษนี่ ทำไมข้าถึงไม่รู้สึกเจ็บแล้ว”
“…”
”อืม..ท่านจะให้ข้าตอบคำถามไหนก่อนดีเจ้าคะ ข้านึกคำตอบไม่ทันเจ้าค่ะ”ว่าพลางยกยิ้มเต็มใบหน้า
“ขออภัย..”
“เอาอย่างนี้ ข้าชื่อหนี่เหยาเอ๋อร์เจ้าค่ะ ข้ามาอยู่ที่นี่เพราะพี่เหลียนเฟยบอกให้ข้ามาคอยช่วยดูแลท่าน เพราะตอนนี้นางกำลังกลับบ้านไปต้มยามาแก้พิษให้ท่าน ส่วนเรื่องอื่นๆข้าว่าท่านรอถามกับพี่เหลียนเฟยเองดีกว่านะเจ้าคะ ข้าไม่รู้รายละเอียดมากนักหรอก”เด็กสาวกล่าวจบจึงลุกขึ้นยืน
“ในเมื่อท่านฟื้นแล้ว งั้นข้าจะออกไปรอพี่เหลียนเฟยที่นอกกระท่อมนะเจ้าคะ อ้อ แต่มีอยู่อย่างนึงที่ข้ารู้แน่ๆ คือท่านยังมีชีวิตอยู่เจ้าค่ะ“แม่นางน้อยยกยิ้มทะเล้นพร้อมหันหลังก้าวเดินออกจากกระท่อมไป ทิ้งให้ชายหนุ่มนั่งนิ่งงันอยู่อย่างนั้น หากแต่ผ่านไปเพียงเสี้ยวนาทีกลับผุดรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก
เด็กสาวออกไปสักพักชายหนุ่มจึงได้หลุดออกจากภวังค์ เขาถอนหายใจเบาๆก่อนจะเอนหลังพิงผนังพร้อมกับคิดทบทวนเรื่องราวก่อนที่เขาจะสลบไป
‘เกาฉางเย่’หรือองครักษ์เกา เขาประจำอยู่ที่จวนของอ๋องสามผู้ซึ่งเป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนสนิท ซึ่งทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งเเต่เยาว์วัย เนื่องจากมารดาของเขาเป็นแม่นมของอ๋องสาม เมื่อเติบใหญ่ก็พากันไปฝึกวิทยายุทธ์กับอาจารย์คนเดียวกัน จนเมื่ออ๋องสามต้องการย้ายมาที่หัวเมืองทางเหนือเขาจึงติดตามมาเป็นองครักษ์คอยอยู่ข้างกาย
อ๋องสาม’ซื่อหมิงชุน’เป็นอนุชาองค์เดียวที่เหลืออยู่ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน พระองค์ทรงรักและเป็นห่วงพระอนุชาองค์นี้มาก เพราะกว่าจะได้ขึ้นครองราชย์ทั้งสองพระองค์ก็ต้องผ่านเรื่องราวอันเลวร้ายมาไม่น้อย สงครามแย่งชิงราชบัลลังก์ที่คร่าชีวิตของเหล่าองค์ชายทั้งหลายไปมากมาย แม้ตอนนี้ทุกอย่างจะคลี่คลาย และบัลลังก์มังกรก็ได้ตกสู่มือของผู้ที่เหมาะสมแล้ว แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสียสละของอ๋องสามผู้เป็นน้องชาย
ปีนั้นทางวังหลวงมีการจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นอย่างยิ่งใหญ่แม้จะทรงขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน เหตุเนื่องจากฮองเฮาคู่บัลลังก์ทรงพระครรภ์ เหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างพากันมาถวายความจงรักภักดีกันพร้อมหน้า แม้การดูแลความปลอดภัยจะเข้มงวดนัก ทหารเดินขวักไขว่กันทั่วทั้งวังคอยตรวจตราสอดส่อง ทั้งคนเข้าและคนออกจะต้องมีป้ายคำสั่ง
แต่คนป้องกันหรือจะต้านทานคนคอยจ้อง มีการนำเหล่านางรำมีชื่อจากคณะต่างๆในแคว้นขึ้นแสดงอวยพร จึงกลายเป็นช่องโหว่ที่ป้องกันได้ยากนักแม้จะตรวจตราอย่างรอบคอบแค่ไหน เพราะครึ่งนึงในนั้นได้กลายเป็นนักฆ่าต่างแคว้นที่แฝงตัวเข้ามา อาศัยช่วงที่ทุกคนกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศสร้างความชุลมุน เมื่อมีโอกาศจึงซัดเข็มพิษใส่ฮ่องเต้ แม้จะสามารถสกัดได้ในบางส่วนแต่ก็ยังมีเล็ดรอดไปถึงองค์ราชันย์ เวลานั้นอ๋องสามผู้นั่งอยู่ใกล้กับพระอนุชามากที่สุดจึงได้สละร่างกายรับพิษแทน
แม้จะใช้การทรมานสารพัดวิธีเพื่อเค้นเอาความจริงจากเหล่านักฆ่าเพื่อหายาถอนพิษ แต่กลับไร้ซึ่งเบาะแส จนกระทั่งวันหนึ่งมีผู้รู้ที่เป็นหมอแก้พิษเดาถึงความเป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นพิษ’ตะขาบเริงแสงจันทร์’ที่มาจากทางฝั่งทะเลทรายดินแดนแห้งแล้งแสนลึกลับ ซึ่งเป็นพิษต้องห้ามที่หายาแก้ได้ยากนักและมีราคาสูงกว่าพิษชนิดอื่นหลายร้อยเท่า เพราะสูตรทำยาและสูตรแก้พิษนั้นมักจะได้รับการถ่ายทอดจากผู้นำเผ่าสู่รุ่นต่อรุ่นเท่านั้น และคนจากเผ่านี้ก็มักจะย้ายถิ่นฐานหลบซ่อนหรือไม่ก็แฝงตัวอยู่รวมกับชาวบ้านอยู่เสมอๆทำให้สืบหาตัวได้ยากยิ่ง
และตั้งแต่ต้องพิษคราวนั้น ในทุกๆวันพระจัทร์เต็มดวงอ๋องสามจะต้องเจ็บปวดทรมานจากพิษร้าย ที่นานวันก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งหน้าตาผิวหนังทั้งรูปโฉมที่เคยเกลี้ยงเกลาหล่อเหลากลับเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของพิษร้าย ราวกับว่าได้มีสัตว์ร้ายที่มีชีวิตเคลื่อนไหวอยู่ใต้ผิวหนังของมนุษย์
องครักษ์หนุ่มยิ่งคิดก็ให้ยิ่งแค้นใจ เป็นเขาไร้สามารถจนป่านฉะนี้ก็ยังสืบหาเบาะแสของคนจากเผ่าทะเลทรายไม่ได้เลย และก่อนที่จะต้องพิษเขาได้ไล่ตามคนร้าย ที่คิดว่าน่าจะรู้เเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับพิษตะขาบเริงแสงจันทร์ที่แฝงตัวเข้ามาทำงานอยู่ในจวน คนผู้นี้ฝีมือไม่ได้ร้ายกาจเท่าไหร่เขาจึงไล่ตามมาเพียงผู้เดียว แต่ดันมาพลาดท่าโดนพิษที่หายาแก้ได้ยากยิ่ง
แต่สิ่งที่ยังข้องใจ ก็คือทำไมเขาถึงไม่ตายด้วย’พิษแมงป่องหลับ’ซึ่งเหล่านักฆ่านิยมใช้กันยิ่งนัก พิษชนิดที่คนเล่าลือกันว่าสามารถล้มสัตว์ใหญ่ได้ในชั่วพริบตาเดียว และหากผู้เยี่ยมยุทธ์เกิดต้องพิษชนิดนี้เข้าไป หากไม่ได้ยาถอนภายในครึ่งเสี้ยวชั่วยามก็จะค่อยๆหมดเรี่ยวแรง จนกระทั่งไร้ซึ่งแรงสูดลมหายใจจนขาดใจตายอย่างช้าๆ แต่ก่อนที่จะสลบไปเขาจำได้ถึงไออุ่นจากมือเล็กที่ทาบลงบนแผล หรือนางผู้นั้นจะรู้วิธีแก้พิษชนิดนี้กัน
หากเป็นเช่นนั้น ย่อมหมายความว่าท่านอ๋องของเขาจะต้องมีทางรอดอย่างแน่นอน อย่างไรเสียเขาก็จะต้องขอร้องให้แม่นางผู้นี้ช่วยรักษาผู้เป็นนายให้จงได้ ชายหนุ่มครุ่นคิดอย่างหมายมั่น