พอเดินเข้ามาภายในห้องรับประทานอาหาร ดวงตาของนิมมานก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง ข้างนอกว่าตกแต่งสวยงามแล้ว ข้างในกลับประณีตพิถีพิถันยิ่งกว่า โต๊ะกระจกยาวไปไกลเกือบสองเมตร เก้าอี้สีขาวลวดลายสีทองวางเรียงต่อ ๆ กันประมาณสิบแปดตัวได้ ส่วนบนโต๊ะก็มีอาหารหลากหลายอย่างหน้าตาน่ากินทั้งนั้น เรียกน้ำกรดเขาให้ย่อยท้องร้องดังโครกครากอย่างน่าอาย
เด็กหนุ่มหน้าใสรีบปล่อยมือออกจากชายเสื้อคนร่างสูงแล้วสาวเท้าไปนั่งที่เก้าอี้ด้วยความเร็ว ก่อนจะจับช้อนส้อมขึ้นมาเตรียมลงมือฟาดอาหารหน้าตาน่ากินตรงหน้า แต่กลับถูกใครอีกคนคว้าข้อมือไว้กระชากอย่างแรงจนช้อนในมือเขาร่วงตกกระแทกพื้น
เคร้ง!
“ทำอะไรของคุณ ผมหิวจะตายอยู่แล้วนะ!” นิมมานแผดเสียงถามด้วยสายตาเคืองขุ่น
ตอนไม่เห็นของกินก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่พอเห็นและได้กลิ่นก็รู้สึกหิวจนแทบทนไม่ไหว น้ำลายสอหมดแล้วเนี่ย จะมาห้ามทำไมอีก
“กูบอกมึงไปแล้วใช่ไหมว่าจะไม่ปล่อยมึงไป มึงเลิกคิดเรื่องที่อีกสามวันจะได้ก้าวออกจากบ้านหลังนี้ไปได้เลย ไม่มีทางที่กูจะยอม!”
“แต่คุณป้าบอกแล้วว่าอีกสามวันจะพาผมไปส่ง คุณกล้าขัดคำสั่งของท่านเหรอ!”
“เออ กูจะขัด กูไม่ให้มึงกลับ จำใส่หัวไว้ด้วย”
“คนไร้เหตุผล นิสัยแย่ที่สุด!” นิมมานหลับหูหลับตาว่าด้วยความโกรธจัด
ปกติเขาไม่อารมณ์ขึ้นง่ายขนาดนี้นะ แต่กับคนพูดจาไม่รู้เรื่องมันน่าโมโหมาก แถมยังมาชวนทะเลาะตอนคนกำลังจะกินข้าวก็ยิ่งโมโหหิวเข้าไปใหญ่ เขาสะบัดข้อมือออกแรง ๆ แต่อีกฝ่ายจะจับไว้แน่นหนาจนกระดูกแทบหักคามือ
คนคนนี้เป็นพวกชอบใช้กำลังนักหรือไง วันนี้เขาเจ็บตัวเป็นรอบที่สองแล้วนะ!
“เจ็บนะ ปล่อยสิ”
ไตรวิชญ์สูดลมหายใจเข้าลึกพยายามระงับอารมณ์โกรธกริ้วไว้ โดยที่มือขวายังกำข้อมือไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ใบหน้าเรียวเล็กย่นยู่ด้วยความเจ็บ ดวงตาดำขลับวาวใสด้วยหยาดน้ำตาที่ปริ่มล้นขอบตา ขณะที่เขากำลังชั่งใจว่าจะเอายังไงกับไอ้เด็กมะลิดีก็ถูกเล็บคม ๆ ข่วนเข้าที่หลังมือเต็มแรงจนเลือดซิบ เผลอสะบัดมือออกจากข้อมืออีกฝ่ายพร้อมสบถลั่น
“สมน้ำหน้า!”
“จะไปไหน!”
เมื่อเห็นร่างเล็กบางหมุนเดินเตรียมเดินออกจากไปห้อง ไตรวิชญ์ก็ตะโกนถามเสียงดังด้วยใบหน้าถมึงทึงดุดันราวกับปีศาจร้ายจากขุมนรก แวบหนึ่งที่นิมมานเกิดความกลัวเกรงต่อท่าทีอันตรายของอีกฝ่าย แต่เพราะกำลังโกรธอยู่ถึงเลือกจะปัดความกลัวนั้นทิ้งแล้วท้าทายอัลฟ่าเถื่อนตรงหน้า
ไอ้ตาดุ ๆ โหด ๆ นั่นช่างขัดใจเขานัก ตื่นมาก็ต้องปะทะคารมกับคนคนนี้จนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ไม่อยากอยู่ใกล้คนอารมณ์แปรปรวนเหมือนผู้หญิงมีประจำเดือน ต้องรีบหนีออกจากห้องนี้!
นอกจากนิมมานจะไม่ตอบยังสาวเท้าเดินหนีไปอย่างเร่งรีบ หากแต่คนขายาวกว่าก็ตามมากระชากตัวปลิวไปปะทะอกแกร่ง ทั้งร่างถูกท่อนแขนล่ำสันรัดแน่นเหมือนถูกงูยักษ์รัด ทั้งถีบทั้งเตะสุดแรงก็ไม่ขยับ เขาหอบแฮ่ก ๆ ยอมยืนอยู่นิ่ง ๆ แล้วเงยหน้ามองสบดวงตาสีน้ำตาลแดงแข็งกร้าวน่ากลัว
“ชวนทะเลาะ ไม่อยากกินข้าวแล้ว”
“มึงอย่างอแง ไปกินซะ”
“จะให้กินก็ปล่อยสิ ห้ามพูดอะไรตอนกำลังกินด้วย เดี๋ยวกินไม่ลง”
นิมมานพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจังมากจนคิ้วเข้มกระตุกต้องกดข่มอารมณ์เดือดดาลไว้สุดฤทธิ์
“กินเสร็จแล้วค่อยคุยกัน” ไตรวิชญ์ยอมถอยให้เพราะท่าทางของเด็กนี่ท่าจะหิวมากจริง ๆ อ้อมกอดจึงคลายออกเล็กน้อยแต่ยังไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยสิ”
“กินเข้าไปเยอะๆ จะได้ตัวโต ๆ กูจับนิดจับหน่อยก็เหมือนกระดูกจะแหลกคามือ อย่าให้มันบอบบางมากนัก เวลาโดนกูกระแทกจะได้ไม่เอวหักหลังเดาะ”
ท่อนหลังเสียงแหบห้าวกระซิบบอกเจ้าลูกแกะตัวหอมที่อ้าปากพะงาบ ๆ มองมาด้วยใบหน้าเขินจัด ก่อนจะพาตัวนิมมานกลับไปส่งที่เก้าอี้ตัวเดิม ดวงตาเรียวรีวาววับตวัดมองคนโหดด้วยสายตาประณามราวกับ
อีกฝ่ายเป็นฆาตกรโรคจิต ไตรวิชญ์ไม่ได้ตอบโต้เรียกให้เมดเอาช้อนคันใหม่มาให้
“จะกินหรือจะมองหน้ากู”
“จะกิน” แก้มขาวนิ่มป่องขึ้นเพราะอมลมไว้จึงตกเป็นเป้าหมายของการถูกรังแก โดนอัลฟ่าหน้าเถื่อนเอานิ้วจิ้มเล่นไม่พอ ยังดึงจนยืดย้วยเจ็บแปลบ ๆ อีก “พอแล้ว”
นิมมานปัดมือหนาออกจากแก้มตัวเอง ก่อนจะตักข้าวสวยเข้าปากเคี้ยว ๆ ๆ ด้วยความเร็ว รีบกิน ๆ ให้เสร็จจะได้หนีไปจากคนขี้แกล้ง
สักที ซึ่งไม่รู้ว่าแกล้งเพราะเอ็นดูหรือหมั่นไส้กันแน่ บีบแก้มเขาซะเต็มแรง เจ็บจนน้ำตาซึม
ไตรวิชญ์มองดูคนตัวเล็กกว่าเลือกกินแต่อาหารไทย ส่วนอาหารฝรั่งที่เชฟดังทำให้กลับเมินเฉย อัตราการกินก็เร็วไวกว่าคนปกติถึงสองเท่าจนเขากลัวว่าเด็กนี่จะข้าวติดคอตาย วงคิ้วเข้มมุ่นเข้าหากัน ท่าทางเอร็ดอร่อยมีความสุขของเด็กนี่ทำให้คนที่เพิ่งกินข้าวไปอย่างเขาเกิดอาการหิวขึ้นมาอีกรอบ
“เอาจานมาให้ฉันอีกชุด”
ชายหนุ่มหันไปสั่งสาวใช้ในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนพลางอ้อมมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับนิมมาน เห็นอีกฝ่ายเคี้ยวข้าวแก้มป่องเหมือนหนู
แฮมเตอร์ ยังไม่ทันได้กินหมดปากก็ยัดเข้าไปใหม่จนสุดท้ายก็สำลักรีบคว้าแก้วน้ำมาดื่ม พอหายดีก็กินต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูท่าว่าหิวจัดอย่างที่แสดงออก
หลังจากสาวใช้คนเดิมนำจานช้อนส้อมหนึ่งชุดมาวางไว้ตรงหน้าพร้อมตักข้าวสวยให้ ไตรวิชญ์ก็เริ่มลงมือกินข้าวบ้าง เมนูที่ไอ้เด็กมะลิชอบเขาก็ลองกินตาม ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกอร่อยอะไรมากมาย แต่กลับกินได้เรื่อย ๆ คล้ายกับในกระเพาะมีหลุมดำขนาดใหญ่ เติมเต็มเข้าไปเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม
เสียงช้อนส้อมดังกระทบกันต่อเนื่องของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเรียกดวงตาเรียวสวยให้จับจ้องมองราวกับเห็นตัวประหลาด นิมมานรู้สึกไม่เข้าใจคนคนนี้สักเท่าไหร่ ตอนแรกก็ไม่เห็นจะหิวข้าวเลยนี่ ถึงมาหาเรื่องทะเลาะกับเขาตอนกำลังจะกิน มาตอนนี้กลับกินได้ไม่หยุดปาก กินคำใหญ่กว่าเขาด้วย จะมาแข่งกินข้าวกับเขาเรอะ?!
น่าโมโห…น่าโมโหเกินไปแล้ว!
นิมมานย่นจมูกรีบจ้วงข้าวคำโตเข้าปากแข่งกับอีกฝ่ายบ้าง แต่ถึงจะรีบยังไงก็ปากเล็กกว่า ยัดได้ไม่เท่าคนปากกว้างคมกริบเหมือนกรรไกรอย่างไตรวิชญ์หรอก แถมพอกินไปกินมาก็ชักจะจุกจนต้องหยุดมือลงรวบช้อนส้อมไว้กลางจาน ดื่มน้ำต่ออีกครึ่งแก้วแล้วค่อยลุกขึ้นยืน
ครืด
เสียงลากเก้าอี้ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ นิมมานที่ตั้งใจจะเดินออกจากห้องไปก่อนกลับต้องหยุดชะงักสองเท้าเพราะแรงกดดันที่พุ่งตรงมาจากข้างหลัง พอหันหน้ากลับไปมองก็ถูกสะกดไว้ด้วยดวงตาสีน้ำตาลแดงดุดันแข็งกร้าว ฝ่ายนั้นจ้องเขาเขม็งด้วยแววตาตำหนิอย่างเปิดเผย และเป็นอีกครั้งที่เขาอึดอัดแทบหายใจไม่ออกถึงกับเซไปพิงโต๊ะหน้าซีดปากสั่น
“กูยังกินไม่เสร็จ นั่งลงซะ” เสียงทุ้มต่ำออกคำสั่ง ใบหน้าคมคร้ามดูถมึงทึงโหดร้ายเหมือนกระทิงคลั่งเตรียมไล่ขวิดคนอื่น
เด็กหนุ่มเจ้าของใบหน้าน่ารักออกอาการลังเลใจครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมมองคนที่พยักหน้าพอใจแล้วลงมือกินข้าวต่อ ระหว่างรอก็กวาดตามองสำรวจใบหน้าของอีกคน เขาก็เคยเจอคนหล่อมาเยอะ แต่พวกที่หล่อทุกอิริยาบถและคงความโหดเถื่อนได้ทุกกระเบียดนิ้วนี่เพิ่งเคยเจอเป็นคนแรก
หญิงคงจะติดตรึมกว่านี้ถ้าเลิกทำหน้าน่ากลัวเหมือนกับพร้อมจะชกต่อยกับคนอื่นตลอดเวลา
“กินเสร็จแล้วผมไปนะ”
ร่างเพรียวบางในชุดสีพาสเทลสดใสรีบบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เด็กหนุ่มไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต ก็รีบเดินลิ่วเผ่นหนีออกจากห้อง แต่ยังไม่ทันได้ไปไหนไกลข้อมือก็ถูกคว้าไว้ คราวนี้อีกฝ่ายไม่ได้กระชากให้เขาหันกลับ เพียงแค่รั้งให้หยุดฝีเท้าแล้วเป็นฝ่ายเดินนำหน้าเขา
“กูจะพาไปเดินย่อยอาหาร ตามมาดี ๆ แล้วอย่าทำอะไรส่อพิรุธให้กูไม่ไว้ใจ”
“ถึงไม่ทำก็ไม่คิดจะไว้ใจกันอยู่แล้วนี่” น้ำเสียงหวานใสพูดขึ้น
ลอย ๆ พลางกลอกตามองบน นิมมานแกล้งเสหน้าไปมองทางอื่น แม้จะถูกดวงตาวาวโรจน์จ้องเขม็งไม่ลดละเหมือนกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ไตรวิชญ์พ่นลมหายใจแรง ๆ ลากตัวเด็กอวดดีออกไปเดินเล่นข้างนอก เนื่องจากพื้นที่ภายในบริเวณรั้วบ้านกว้างขวางมากจนสุดลูกหูลูกตา นิมมานที่เห็นเข้าเลยทำหน้ายุ่งเคร่งเครียดในทันใด พอชายหนุ่มสังเกตเห็นปฏิกิริยานั้นเข้าจึงส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยัน หลุบตาลงต่ำมองเหยียดเยาะด้วยความสะใจ
“คิดจะหาลู่ทางหนีออกไปจากที่นี่รึไง ถ้าทำได้ก็ลองดู เพราะส่วนใหญ่คนที่หลงเข้ามาแล้วไม่ได้กลับออกไปแบบเป็น ๆ”
“ไม่ได้คิดจะหนีสักหน่อย อย่ามาใส่ร้ายกัน”
ดวงตาดำขลับใสแจ๋วแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้คิดเรื่องพวกนั้น แต่พอคนหน้าโหดหันกลับไปก็รีบสอดส่ายสายตามองหาทางหนีทีไล่ ถึงแม้ว่ายืนอยู่ตรงนี้จะมองไม่เห็นกำแพงรั้วบ้านเลยก็เถอะ ไม่รู้ต้องเดินไปไกลแค่ไหนถึงจะพบทางออก
นิมมานกัดปากพลางครุ่นคิดไปตลอดทางที่เดินผ่าน สวนหย่อมมีอยู่ทั่วบริเวณบ้าน ดอกไม้เบ่งบานสวยสะพรั่งสร้างความสวยงามเพลิดเพลินตา ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ตลบฟุ้งกระจายในอากาศ ไม่ต้องแหงนหน้าขึ้นสูดดมก็ลอยมาปะทะจมูกเป็นระยะ ดีที่กลิ่นไม่ฉุนแรงเกินไปเลยไม่ค่อยแสบจมูก
เขาชอบกลิ่นหอมอ่อนจางนุ่มนวลของดอกไม้พวกนี้นะ พอสูดดมเข้าไปแล้วช่วยให้สมองผ่อนคลายความตึงเครียด ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเลย
เฮ้อ เกิดเป็นคนรวยนี่ดีจังนะ ได้กินแต่ของดี ๆ อร่อย ๆ เสื้อผ้าก็มีหลายหลากแบบให้เลือกใส่ไม่ซ้ำกัน ห้องนอนก็กว้าง เตียงก็นุ่ม แถมมีแอร์เย็น ๆ ไม่ต้องทนร้อนเพราะอากาศเมืองไทยอีก น่าอิจฉา
ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักบูดบึ้งไม่สบอารมณ์นัก ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ดีกินดีเพียบพร้อมไปหมดซะทุกอย่างแตกต่างจากเขา ก็ยิ่งรู้สึกไม่ยุติธรรมราวกับถูกฟ้ากลั่นแกล้ง ทำไมเขาถึงขาดแคลนทุกอย่าง แต่ไตรวิชญ์กลับได้ทุกสิ่งโดยไม่ต้องขวนขวายทำอะไร
ตอนนี้พวกเขาสองคนมาโผล่ตรงโซนฝั่งซ้ายมือเยื้องไปด้านหลังของคฤหาสน์หลังเล็ก นอกจากด้านนอกจะมีสวนดอกไม้ก็ยังมีสนามหญ้าให้วิ่งเล่น มีคอร์ดเทนนิสกลางแจ้งด้วย เลยไปอีกหน่อยก็มีโรงยิมขนาดใหญ่ คิดว่าข้างในคงมีพื้นที่สำหรับเล่นกีฬาหลากหลายประเภท โดยเฉพาะสนามบาสเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย
“โอ้โห! มีสระว่ายน้ำด้วย นั่นก็สนามกอล์ฟ ตกลงพื้นที่ของที่นี่มีทั้งหมดกี่ไร่กันแน่ ทำไมถึงกว้างใหญ่ขนาดนี้”
ไอ้ตื่นเต้นก็ตื่นเต้นอยู่หรอก แต่แบบนี้จะให้หนีกลับบ้านไปได้ยังไง?
มันต้องมีสิ เส้นทางที่ใกล้ที่สุดและสั้นที่สุดในการหลบหนี ส่วนใหญ่แต่ละบ้านจะมีประตูหลังให้ออกไปยังเส้นทางลัดที่เชื่อมต่อกับถนนข้างนอก บ้านนี้ก็ต้องมีเหมือนกัน เผลอ ๆ อาจจะมีประตูด้านข้างด้วย
ก่อนจะครบกำหนดสามวันเขาต้องหาประตูนั้นให้เจอ
ความจริงเขาก็ไม่อยากแอบหนีออกไปก่อนหรอก ถ้าคนคนนี้ไม่บอกเจตจำนงของตัวเองให้เขาฟังชัดเจนว่าจะไม่ยอมปล่อยตัวเขาไป เขาคงทนอยู่ให้ครบสามวันแล้วรอให้คุณป้าพาส่งตัวกลับบ้าน
ไตรวิชญ์มองสีหน้าที่สลับสับเปลี่ยนไปมาไม่หยุดของโอเมก้า
หน้าใส มองปราดเดียวก็รู้ว่าไอ้เด็กนี่กำลังคิดอะไรอยู่ในใจ เขาจะแกล้งโง่ทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าอยากหนีออกไปจากที่นี่ใจแทบขาดของมันให้ก็แล้วกัน
อย่าลืมว่านี่คืออาณาเขตของอัลฟ่าที่อยู่รวมกันฝูงใหญ่ โอเมก้าตัวเล็ก ๆ อย่างมันจะทานทนต่อความกลัวโดยสัญชาตญาณได้เหรอ
ต่างฝ่ายต่างมั่นใจในความคิดของตัวเองและเลือกที่จะเก็บงำไว้ แกล้งทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับพิรุธได้