ผ่านไปกว่าครึ่งค่อนวัน คนที่นิมมานรอคอยมาตลอดทั้งวันก็ยังไม่ยอมกลับเข้ามาในห้องสักทีเหมือนกับจงใจจะหนีหน้ากัน ถึงโซ่เส้นนี้จะยาวพอให้เดินไปเข้าห้องน้ำได้และเดินไปหยิบเสื้อที่ตู้มาใส่กันโป๊ได้ แต่มันก็น่ารำคาญอยู่ดี แถมยังบาดผิวขาว ๆ ของเขาจนเป็นรอยแดงอีก ช้ำไปหมดแล้วเนี่ย
“แย่จริง ๆ หายไปไหนของเขากันนะ” เสียงแหบหวานบ่นอุบ หลังจากชะเง้อคอยาววนเวียนอยู่ตรงประตูมานานนับชั่วโมงก็ยังไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะเข้ามา
โชคดีที่คุณป้าให้สาวใช้เอาอาหารขึ้นมาให้บนห้องแล้วเขาถึงไม่ต้องทนหิวจนแสบท้องเพราะรออัลฟ่าโหดนั่น
ร่างเพรียวบางนั่งฟุบหน้ากอดเข่าทั้งสองข้างไว้พลางถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อยหน่าย คิดไม่ตกว่าต่อจากนี้ไปจะทำยังไงดี เขาจะต้องอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้จริง ๆ เหรอ แล้วไหนจะต้องย้ายมาเรียนที่เดียวกับคนร้ายกาจอารมณ์ไม่แน่ไม่นอน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายคนนี้อีก แค่คิดว่า ต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดคงมีแต่เรื่องชวนให้ปวดหัว ไม่เว้นแต่ละวันแน่
แอ๊ดดด
ทันทีที่ประตูห้องเปิดเข้ามานิมมานก็หันไปมองด้วยความเร็ว ดวงตาดำขลับฉายแววตื่นเต้นดีใจเปล่งประกายระยิบระยับเหมือนแสงดาวบนท้องฟ้า ทำเอาคนที่เพิ่งเข้าก้าวเข้ามาถึงกับชะงัก ดวงตาคมกริบพร่ามัวไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติแล้วเดินเข้าไปหาด้วยฝีเท้าหนักแน่นมั่นคง ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มยังคงเรียบตึงดุดันเหมือนตอนที่ออกไปจากห้องแปรเปลี่ยน พอเดินมาถึงเตียงก็โอบอุ้มร่างน้อยขึ้นมาแล้วหย่อนสะโพกนั่งลงพร้อมกับว่างนิมมานไว้บนตักโดยที่อีกฝ่ายยังค้างอยู่ในท่านั่งกอดเข่า หน้าตาเหลอหลามองสบตาเขาอย่างมึนงง
“คิดได้หรือยังว่าจะอ้อนหรือไม่อ้อนกู” เสียงทุ้มเข้มจัดเจือกระแสขุ่นมัวเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลอมแดงหรี่มองใบหน้าสวยหวานที่ออกอาการลังเลใจเหมือนกับยังตัดสินใจไม่ได้ หรือไม่ก็ไม่อยากทำ ไม่อยากอ้อนเขา
“ตะ…ต้องอ้อนยังไง”
“จูบกูสิ มีตั้งหลายวิธีที่จะทำให้กูพอใจ มึงก็รู้ว่ากูต้องการอะไร มาถึงขั้นนี้แล้วมึงควรจะทำตัวให้ชินเข้าไว้ เพราะยังไงก็หนีกูไม่รอด”
“ยังไม่ได้คิดหนีจริงจังต่างหาก” นิมมานเถียงเสียงเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน เว้นเสียแต่ว่าไตรวิชญ์ที่เป็นพวกหูดีมากกว่าคนทั่วไปถึงได้ยินเข้าเต็มสองรูหู
“มึงยังคิดจะหนีกูอยู่อีกเหรอ อยากลองดีก็หนีไป กูจับตัวได้เมื่อไหร่โดนฟาดไม่ยับแน่ เป็นเมียต้องหัดเชื่อฟังผัว ห้ามดื้อ ห้ามเถียง ห้ามขัดใจกู”
“เฮียเป็นผัวนิมตั้งแต่เมื่อไหร่” นิมมานเงยหน้าขึ้นมองพลางทำแก้มป่องตาโต
แม้สรรพนามจะเปลี่ยนไปใช้ตามที่ไตรวิชญ์สั่งไว้ แต่คนฟังกลับคิ้วกระตุก มุมปากแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม เมื่อได้ยินคำถามยั่วโทสะหลุดมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้มน่าจูบ
“มึงถามตัวเองก่อนเถอะว่ามีวันไหนบ้างที่กูไม่เอามึง”
คราวนี้เป็นนิมมานบ้างแล้วที่อ้าปากพะงาบ ๆ เถียงกลับไม่ออก ก็จริงที่เขาโดนจัดหนักอยู่ทุกคืน แต่ช่วงก่อนหน้านั้นเขาจำไม่ได้ไง ทุกอย่างเป็นไปตามสัญชาตญาณ ก็เลยแกล้งทำเป็นลืมเหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น กะจะโมเมสักหน่อยอีกฝ่ายก็ดันหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดซะได้
“กูรู้ว่ามึงคิดอะไรอยู่ ตอนฮีทมึงอาจไม่ค่อยมีสติรับรู้อะไร แต่เมื่อวานกูก็ตอกย้ำทุกสัมผัสลงไปบนร่างกายมึง มึงจะทำเป็นไม่รู้ไม่ได้ หรือต้องให้กูย้ำซ้ำ ๆ อีกครั้งตอนนี้เลยเป็นไง มึงจะได้เลิกบ่ายเบี่ยงทำเหมือนตัวเองยังซิงอยู่”
“มะ...ไม่ต้อง! ไม่ต้องย้ำแล้ว” สองมือรีบยกขึ้นดังแผงอกแกร่งไว้เต็มกำลังเมื่อคนตัวใหญ่กว่าทำท่าจะลงมือปฏิบัติจริงกับตัวเอง
เพี๊ยะ!
“โอ๊ย! เจ็บนะ!”
“เจ็บสิดี จะได้จำใส่หัวไว้ว่ากูเป็นใคร ตกลงว่ามึงไม่อยากเอาโซ่ออกใช่ไหม?”
“อยาก เอาโซ่ออกเถอะนะ เห็นไหมว่าข้อเท้าแดงหมดแล้ว เลือดออกซิบ ๆ เลยเนี่ย” นิมมานพูดพลางก้มลงมองรอยแดงรอบข้อเท้าบอบบาง โดยไม่รู้ว่าท่าก้มนั้นช่างยั่วยวนใจให้คนพี่หลุบตามองหลังคอ
ขาว ๆ ที่มีรอยกัดของตัวเองเด่นชัดอยู่
“กูก็บอกไปแล้วว่าให้มึงทำอะไร ถ้ามึงไม่ทำก็อย่าหวังว่ากูจะเอาโซ่ออก”
“แล้วทำไมต้องล่ามโซ่กันด้วย”
“เพราะมึงคิดหนีไง กูถึงต้องล่าม จะคนหรือสัตว์ถ้ามันเลี้ยงไม่เชื่องก็ต้องสั่งสอนมัน ถ้ามึงอยากให้กูทำดีด้วยมึงก็ต้องรู้ว่ากูเป็นคนยังไง ถ้ากูเป็นพวกใจอ่อนไม่เด็ดขาด ป่านนี้กูคงตายไปนานแล้ว”
“ร้ายแรงขนาดนั้นเชียว?”
ใบหน้าสวยหวานเอี้ยวกลับมามองคนด้านหลังโดยที่มือยังกุมข้อเท้าไว้ ดวงตาดำขลับกระจ่างใจดุจน้ำค้างบริสุทธิ์ ยามสงสารกลับดูไร้เดียงสาเหมือนเด็กน้อย แต่พออยู่ในห้วงอารมณ์รักกลับเย้ายวนเกินห้ามใจ ทั้งเชิญชวน ทั้งดึงดูดให้เข้าหาราวกับต้องมนต์เสน่หาที่อีกฝ่ายร่ายไว้โดยไม่รู้ตัว
“อืม ร้ายแรงมาก...ถึงตาย”
นัยน์ตาสีน้ำตาลอมแดงเผยแววจริงจังยืนยันในคำพูดที่ได้บอกไป ใบหน้าคมสันดูเหี้ยมเกรียมดุดัน เมื่อต้องการแสดงให้โอเมก้าน้อยเห็นว่าเขาพูดจริงทำจริงและไม่เคยล้อเล่นกับใคร ทำเอานิมมานกัดเม้มริมฝีปากแน่นพลางหลบสายตาเฉียบคมเหมือนนักล่า แค่ถูกจ้องมองนิ่งก็เย็นวาบไปทั้งหลัง
“นิม…จะถูกเฮียฆ่ารึเปล่า”
“กูฆ่าแน่ถ้ามึงดื้อ”
“ฮะ”
“มึงก็อย่าดื้อสิวะ นั่งดี ๆ หน่อย จะยุกยิกไปมาทำเพื่อ? อยากโดนจัดสักรอบเหรอ” ไตรวิชญ์พ่นลมหายใจออกแรง ๆ พร้อมกับจับร่างคนตัวเล็กกว่าให้อยู่นิ่งๆ หลังจากเจ้าตัวขยับก้นไปมาปัดเฉียดลูกชายเขาไปหลายรอบจนมันแทบตื่นออกมาดิ้นข้างนอก
นิมมานหัวเราะเสียงต่ำพลางแย้มยิ้มกว้าง ก่อนยื่นหน้าเข้าไปใกล้คล้ายกับอยากจะท้าทาย มิหนำซ้ำยังกะพริบตาปริบ ๆ แลดูน่ารักน่าหมั่นไส้ นิ้วชี้จิ้มลงบนอกซ้ายเขี่ยเบา ๆ อย่างจงใจยั่วโทสะ แต่หารู้ไม่ว่าการกระทำทั้งหมดนั่นคือการยั่วอารมณ์ให้กระทิงหนุ่มเลือดร้อนยิ่งกลัดมัน กล้ามเนื้อทุกส่วนเครียดตึงกระตุกแรง ท่อนแขนล่ำสันตวัดรัดพันรอบเอวบาง ดึงรั้งให้ลูกแกะเนื้อหวานบดเบียดเข้ามาแนบสนิทไม่เหลือช่องว่างอีก
“จูบกู”
“ทำไม่เป็น” นิมมานส่ายหน้าพรืดไม่ยอมทำตามง่าย ๆ
“มึงอย่าดื้อ เดี๋ยวกูฟาด”
“จะตีนิมเรอะ เดี๋ยวจะสู้กลับ!”
“ไอ้ลูกหมาตัวกะเปี๊ยกอย่างมันเนี่ยนะจะสู้กู โดนกูจับกดแค่รอบเดียวก็สลบไม่ฟื้นยันเช้าอย่างมึง คิดจะเอาอะไรมาสู้กูวะ ไหนว่ามาซิ กูรอฟังอยู่”
“มีแล้วกัน แต่ตอนนี้ยังสู้ไม่ได้…” เสียงหวานบ่นอุบอิบเหมือนไม่อยากยอมแพ้ ก่อนจะถูกฝ่ามือใหญ่กุมปลายคางดันให้ใบหน้าเรียวสวยเงยขึ้น ดวงตาคู่หนึ่งหยาดเยิ้มชวนมอง ส่วนดวงตาอีกคู่วาวโรจน์เรืองรองด้วยเปลวไฟแห่งความปรารถนา
“จูบ”
“...”
“นี่เป็นคำสั่ง” เสียงเข้มจัดของไตรวิชญ์ทำให้นิมมานยิ่งเม้มปากแน่นขึ้นอีกจนคนพี่หรี่ตาเหี้ยมเกรียมมองอย่างดุดัน ปลายนิ้วโป้งลูบบนกลีบปากบางกดน้ำหนักลงไปแรงๆ คล้ายกับจะขยี้ให้ยอมเปิดปาก
ทีแรกนิมมานก็ว่าจะสู้กลับให้ถึงที่สุด แต่โดนขยี้คลึงแรงขนาดนี้ก็ต้องยอมเปิดปาก ก่อนที่นิ้วชี้จะสอดเข้าไปในช่องปากชอนไชไปทั่ว เขาสะดุ้งตกใจตัวชาไปแวบหนึ่งก็เริ่มเข้าใจว่าอัลฟ่าหน้าโหดต้องการอะไร เขาตวัดลิ้นเลียก้านนิ้วแข็ง ๆ ของอีกฝ่าย แล้วดูดเลียเหมือนตอนกินไอติม
เสียงครางฮึ่มในลำคอของไตรวิชญ์บ่งบอกถึงความพอใจ แต่เท่านั้นยังไม่ทำให้ชายหนุ่มหายกระสันในรสตัณหาได้ จึงคว้าใบหน้าเรียวเล็กทั้งน่ารักน่าแกล้งมาไว้ในอุ้งมือพลางกดริมฝีปากประกบปิดลงไปแนบแน่น
“...!”
ท่ามกลางสีหน้าตื่นตกใจกับดวงตากลมโตที่เบิกกว้างแทบถลน ปลายลิ้นของอัลฟ่าหนุ่มก็จ้วงลึกเข้าไปในโพรงปากนุ่ม กระหวัดเกี่ยวพันดูดดุนเรียวลิ้นหวานซ่านของโอเมก้าน้อยอย่างดิบเถื่อนเอาแต่ใจ ขณะที่ฝ่ามือสอดเข้าใต้ท้ายทอยขยุ้มเส้นผมดำเงาของนิมมานกระตุกให้แหงนหน้าขึ้นรับจุมพิตหนักหน่วงร้อนแรงที่ขยี้ลงมาแบบไม่หยุดพักหายใจ
ตุบ ๆ ๆ
ร่างเพรียวบางดีดดิ้นในอ้อมแขนแกร่งพลางใช้สองมือทุบตีหน้าอกคนร้ายกาจที่ฉวยโอกาสตอนทีเผลอจับจูบแบบจาบจ้วงกักขฬะ ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิด จนเขารู้สึกเจ็บไปทั้งกลีบปากบาง
เป็นเวลาเกือบสามนาทีอีกฝ่ายถึงยอมปล่อยให้เขาได้กอบโกยอากาศเข้าปอดหอบหายใจแฮ่ก ๆ ด้วยใบหน้าแดงก่ำพร้อมกับทิ้งตัวซบแผงอกกำยำหมดเรี่ยวแรงจะต่อว่า แค่จะอ้าปากด่ายังทำไม่ได้เลย
“รสชาติไม่เลว” ไตรวิชญ์เลียริมฝีปากตัวเองโดยที่สายตาร้อนแรงไม่ละไปจากใบหน้าอ่อนเยาว์แดงจัดของนิมมาน
“พะ…พอใจแล้วก็ปล่อย แฮ่ก”
“ใครบอกมึงว่าแค่จูบจะจบ ถ้ากูไม่ได้เสียบก็ไม่จบหรอกว่ะ”
“อะไรนะ?! ไม่ๆ ดะ เดี๋ยว…!”
ตุ้บ!
ร้องห้ามได้ไม่ทันขาดคำทั้งร่างก็ถูกเหวี่ยงลงบนเตียงในสภาพคว่ำหน้า ขณะที่มือหนาหยาบกระด้างกระชากเอากางเกงขาออกไปจากสะโพกกลมแน่นเผยบั้นท้ายอวบขาวจั๊วะ รูดทีเดียวก็ไปกองอยู่ที่ข้อเท้า นัยน์ตาสีน้ำตาลอมแดงทอแสงวูบไหวดั่งเปลวไฟที่โหมกระพือ มือหนึ่งกดแผ่นหลังบางไม่ให้พลิกตัวกลับมา ส่วนอีกมือบีบก้นนิ่มแหกออกมองรูน้อย ๆ ที่หลั่งน้ำหล่อลื่นออกมาคอยท่า
“พร้อมจะถูกกูยัดลูกชายเข้าไปแล้วนี่ ไหนว่าไม่อยาก ที่แท้ก็ร่านอยากได้กูจนตัวสั่น”
“ไม่ใช่ ไม่ได้ร่าน พูดจาอะไรเนี่ย! “
“เรอะ ไม่ร่านแล้วหลักฐานที่เห็นคาตาอยู่นี่เรียกว่าอะไร แค่ถูกกูจูบก็เป็นซะขนาดนี้ ยังต้องฝึกฝนกันอีกเยอะ ไอ้มะลิขี้ดื้อ”
เพี๊ยะ
“อ๊ะ! เจ็บ!” นิมมานสะดุ้งหวีดร้องเสียงหลงเพราะแรงที่ฟาดลงมาไม่เบาเลย น้ำตาใสเอ่อคลอเบ้าด้วยความคับแค้นใจ ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นเมื่อมีบางอย่างสอดเข้ามาภายในตัวเขา นิ้วเรียวยาวกดลึกรุกล้ำจนสุดปลายนิ้ว เท่านั้นยังไม่พอ อีกฝ่ายยังควานหาจุดเสียวของเขาจนแทบร้องลั่น!
“หืม หึ! ตรงนี้สินะ”
“อย่านะ!”
ใบหน้าเนียนใสแดงก่ำยิ่งกว่าลูกตำลึงสุกทั้งโมโหทั้งอับอายที่ถูกคนพี่กลั่นแกล้งไม่มีปรานี นิมมานรีบคว้าผ้าห่มมากัดทึ้งในปากคิดซะว่านี่เป็นหัวอีกฝ่าย จะกัดกระชากให้หัวขาดเลย!
ยิ่งไตรวิชญ์รัวนิ้วเร็วเท่าไหร่ ภายในกายของเด็กหนุ่มก็ยิ่งตอดรัดแน่นและถี่ขึ้น ดวงตาดำขลับพริ้มลงด้วยความเสียวซ่าน ปลายเท้าจิกเกร็งเมื่อใกล้จะทะยานถึงจุดสูงสุด ถ้าไม่เพียงเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอย่างเช่นอีกฝ่ายดันหยุดมือกะทันหัน เขาก็คงจะแตะขอบวิมานไปแล้ว
“มีความสุขอยู่ฝ่ายเดียว คิดเหรอว่ากูจะยอมให้มึงถึงง่าย ๆ” เสียงเหี้ยมขู่เข็ญอยู่ข้างหลัง
นิมมานยังคงรับรู้ได้ถึงความต้องการภายในที่พยายามจะเก็บเกี่ยวความสุขยามที่นิ้วมือเรียวยาวสอดเข้ามาลึก ๆ จนสั่นสะท้านไปหมดทั้งร่าง หยาดเหงื่อเม็ดโตผุดซึมตรงขมับ ความตื่นเต้นเร้าใจมันเกิดขึ้นนับตั้งแต่วินาทีที่อัลฟ่าเถื่อนเหวี่ยงตัวเขานอนคว่ำกับเตียงแล้ว ยิ่งมองไม่เห็นสีหน้าแววตาของอีกฝ่ายก็ยิ่งคิดฟุ้งซ่านไปไกลระคนหวาดกลัวว่าจะโดนทำอะไร
ไตรวิชญ์โน้มตัวลงไปขบเม้มใบหูขาวสะอาดพลางพ่นลมร้อนจนนิมมานตัวสั่นน้อย ๆ เหมือนลูกนกเพิ่งเกิด เสียงหัวเราะต่ำ ๆ ลอยมาอย่างพึงพอใจ ก่อนจะลงมือจัดการกับกางเกงที่ตัวเองใส่อยู่ ขณะเดียวกันก็ปลุกเร้าอารมณ์คนร่างบางให้เคลิบเคลิ้มตามการชักนำของเขา กลิ่นหอมดอกมะลิอบอวลวนเวียนอยู่รอบตัวพวกเขา เชื้อชวนให้สูดดมด้วยความหลงใหลคลั่งไคล้ หัวใจเต้นกระหน่ำรัวเร็วแทบกระเด้งกระดอนออกมาเต้นแร็ปข้างนอก
“ต่อให้กูเอาโซ่เส้นนี้ออก แต่โซ่ตรวนที่กูได้พันธนาการมึงไว้จะยังคงอยู่ ตราบเท่าที่กูต้องการ...”
สองวันต่อมา…
นิมมานถูกพากลับมายังห้องเช่าที่เคยอาศัยอยู่เพียงระยะสั้น ๆ พร้อมกับไตรวิชญ์ที่อยากมาสำรวจดูความเป็นอยู่ของโอเมก้าของตัวเอง แต่พอเห็นสภาพเก่าแก่ทรุดโทรมจะพังมิพังแหล่ก็ถึงกับย่นคิ้วเข้าหากัน ใบหน้าหล่อเหลาติดดิบเถื่อนถมึงทึงทันตา บรรยากาศรอบตัวเลยเปลี่ยนไปแบบฉับพลัน ทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งรีบถอยห่าง
ทว่า…หนีไปได้ไม่ถึงสามก้าวก็ถูกกระชากตัวกลับมาใหม่ เอวบางถูกรัดด้วยท่อนแขนแกร่ง ก่อนจะโดนบังคับให้ก้าวเข้าไปในตัวตึกด้วยกัน
ร่างเพรียวบางใส่เสื้อยืดคอกลมสีฟ้าอ่อนทับด้วยกางเกงสีขาวขายาว เส้นผมสีดำถูกซอยสั้น ผมด้านหน้ายาวคลอเคลียวงคิ้วเรียวสวยเหนือดวงตาดำขลับแวววาวเปล่งประกายสดใส ริมฝีปากบางอมชมพูรับกับใบหน้าขาวเนียนไม่ต่างจากผิวเด็ก ตีคู่มากับร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อยืดคอวีสีน้ำตาลแดงสีเดียวกับผมและดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวของเจ้าตัว กางเกงยีนขายาวขาดตรงหัวเข่าสีเทาทำให้ลุคดูเซอร์ ๆ แต่ยังคงความร้ายกาจแฝงด้วยความอันตรายเต็มเปี่ยม
ไตรวิชญ์เดินไปหยุดยืนตรงหน้าห้องที่นิมมานบอก โอเมก้าตัว
เล็ก ๆ ไม่ควรมาอาศัยอยู่แถวนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ด้วยสภาพแวดล้อมที่แออัดและเปลี่ยวในตอนกลางคืน ทำให้มีพวกสวะมาซ่องสุมกันเยอะ รอดมาจนถึงมือเขาได้ก็นับว่าดวงดีมากแล้ว เพราะถ้าถูกพวกมันเจอตัวคงโดนจับไปรุมโทรม
อึก!
ด้วยความลืมตัวคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย พอสมองจินตนาการไปถึงภาพที่ร่างบอบบางขาวจั๊วะในวงแขนถูกพวกเลวทรามต่ำช้าย่ำยี โทสะก็พุ่งขึ้นมาจนเผลอปล่อยแรงกดดันออกไป นิมมานที่อยู่ใกล้สุดจึงรับผลกระทบไปเต็ม ๆ โดนกลิ่นอายคุกคามเข้มข้นปะทะจมูกจนฉุนกึกหายใจแทบไม่ออก น้ำตาคลอเบ้า ท่าทางดูทรมานมาก เพราะสองมือเอื้อมไปเขย่าแขนเสื้อเรียกสติคนหน้าดุให้รู้สึกตัว
“หะ…หายใจ...ไม่ออก”
“หายใจออกรึยัง” ไตรวิชญ์รีบกลืนก้อนโทสะลงท้องสลัดภาพชวนหงุดหงิดใจพวกนั้นทิ้งไป แล้วหันมาลูบหลังให้โอเมก้าน้อยที่ขอบตาแดง
ระเรื่อ สีหน้าย่ำแย่ซีดขาวเหมือนไก่ต้ม
นิมมานพยักหน้าแทนคำตอบ สองมือยอมคลายแรงกำแขนเสื้อคนพี่ออกเล็กน้อยแต่ไม่ยอมปล่อยมือ ไตรวิชญ์ก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากพาเข้าไปในห้องด้วยกัน แต่เพราะไม่มีกุญแจจึงยกเท้าขึ้นถีบทีเดียวประตูพังล้มลงดังโครมสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งตึก ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในพลางกวาดตามองสภาพห้องที่เด็กนี่อยู่ให้เต็มตา
นี่มันเล็กยิ่งกว่ารังหนู ห้องคนรับใช้บ้านเขายังใหญ่กว่าถึงสามเท่าเลย ทนอยู่เข้าไปได้ยังไง
คิ้วเข้มขมวดแน่นไม่พอใจกับสภาพความเป็นอยู่ที่ได้มาเห็นเองกับตา ถึงห้องจะปัดกวาดทำความสะอาดเรียบร้อย แต่ก็ค่อนข้างโทรม มีเตียงเดี่ยวเก่า ๆ ตู้เสื้อผ้า โต๊ะ เก้าอี้อย่างละตัวและมีกระทะไฟฟ้ากับมาม่านับสิบห่อกองอยู่ข้างห้อง
“มึงนี่แดกแต่ของไร้ประโยชน์ทั้งนั้น”
“ใครบอกว่ากินอยู่แค่นี้ วันนั้นก็ซื้อของสดกลับห้องตั้งเยอะ ถ้าไม่เจอเฮียเข้าซะก่อน นิมก็คง…”
“เจอกูก็ดีแล้ว ถ้ามึงยังอยู่ห้องนี้ต่อไปสักวันหนึ่งก็คงไม่แคล้วถูกพวกข้างล่างบุกเข้ามาปลุกปล้ำขืนใจอยู่ดี ยิ่งตอนมึงฮีทไม่ได้สติเผลอปล่อยกลิ่นฟีโรโมนเรียกหาตัวผู้ พวกมันคงได้หน้ามืดทนไม่ไหวต้องไล่ตามกลิ่นมาเจอมึงเข้าจนได้ อันตรายเกินไป รีบไปเอาพวกเอกสารสำคัญมา ที่เหลือก็ทิ้งไว้ไม่ต้องขนกลับ เดี๋ยวกูพาไปซื้อของใหม่วันหลัง”
“เสียดายออก ถ้าต้องทิ้งของพวกนี้ไปทั้งหมด”
“กูบอกแล้วไงว่าจะซื้อให้ใหม่ รีบไปเก็บของได้แล้ว กูจะรออยู่ตรงนี้”
“อะไรกัน ไม่กล้าเดินเข้ามาในนี้เหรอ อ๋อ! พวกคนรวยก็อย่างนี้แหละ ถือตัว ห้องเล็ก ๆ แคบ ๆ เก่า ๆ คงดูสกปรกมากในสายตาเฮียสินะ”
นิมมานแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ รีบเดินเข้าไปในห้องเช่าที่ตัวเองเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ได้ไม่นาน ยังไม่ทันได้ผูกพันก็ต้องย้ายออกไปซะแล้ว
ในระหว่างที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ เก็บของใช้เข้าที่ เงาตะคุ่มด้านหลังกับกลิ่นอายคุกคามด้านหลังก็ทำให้ร่างกายนิมมานแข็งทื่อ กลิ่นแดดจัดที่ทั้งอบอุ่นและร้อนแรงลอยอวลอยู่ใกล้ ๆ เพียงแค่หันกลับไปมองก็ปะทะกันแล้ว แต่ก่อนที่จะได้ทำอย่างนั้นทั้งร่างก็ถูกหิ้วด้วยท่อนแขนกำยำ ขาลอยอยู่เหนือพื้น ดวงตาเรียวสวยเบิกโพลงตื่นตกใจจนลืมดิ้นหนี
กระทั่งถูกปล่อยตัวลงให้ยืนด้วยสองขาของตัวเอง นิมมานถึงได้เงยหน้าขึ้นเตรียมจะว่าแรง ๆ สักหน่อยกลับต้องชะงัก ดวงตาคมกริบจับจ้องมองเขาไม่วางตา ประกายไฟลุกโชนที่ฉายชัดบ่งบอกให้รู้ถึงความรู้สึกที่คนร่างสูงกำลังเผชิญหน้าอยู่ ยังไม่ทันได้ร้องห้ามหลังคอก็ถูกฝ่ามือใหญ่
ล็อกไว้บังคับให้แหงนหน้ารับริมฝีปากหยักร้อนผะผ่าวซึ่งประกบปิดลงมากลืนเสียงเขาไว้จนหมดไม่มีหลุดรอดออกมาสักคำ
หลังจากจูบแลกลิ้นกันดูดดื่มแทบลืมทุกสิ่งที่อยู่รอบกาย เสียงฝีเท้าคนกลุ่มใหญ่ที่วิ่งมาตามระเบียงทางเดินก็ดึงสติไตรวิชญ์ให้เลิกมัวเมากับรสจูบแสนหวานแล้วหันไปมองทางประตู ในใจพลันเกิดลางสังหรณ์บางอย่างจึงรีบหันกลับมาหยิบเอกสารสำคัญยัดใส่กระเป๋าเป้ แล้วคว้าตัวนิมมานวิ่งออกจากห้องไปยังหลบตรงบันไดหนีไฟ
“เกิดอะไร...อุบ!”
“ดูไปเงียบ ๆ เถอะน่ะ” ไตรวิชญ์ใช้มือปิดปากโอเมก้าน้อยพร้อมเอ็ดเสียงเบา ดวงตาคมปลาบสาดประกายอำมหิตเลือดเย็นมองขึ้นไปยังห้องที่พวกเขาเพิ่งหลบออกมา
ไม่นานคนกลุ่มนั้นก็ไปยืนอออยู่หน้าห้องพักของนิมมาน ก่อนจะเข้าไปรื้อค้นของในห้องเสียงดังโครมครามเหมือนกับหาอะไรบางอย่าง มองภายนอกอาจดูเหมือนโจรที่มาขโมยของ แต่กลิ่นอายเยือกเย็นที่แฝงอยู่กลับให้บรรยากาศคล้ายพวกมือปืนรับจ้าง พวกมันคงไม่ได้มาตามหาตัวเด็กนี่ แต่มาตามหาเอกสารที่สามารถระบุตัวตนว่านิมมานเป็นใคร เคยอาศัยอยู่ที่ไหนมาก่อน และมีสมาชิกในครอบครัวกี่คน
พวกมันเริ่มลงมือแล้ว เร็วกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้นิดหน่อย แต่ก็ไม่เกินจากที่คำนวณเวลาไว้ คิดถูกแล้วที่รีบพาตัวให้มาเก็บของ กว่าพวกมันจะรู้ว่านิมมานเป็นใครก็ตอนที่เขาพาไปเปิดตัวที่มหาวิทยาลัย ช่วงนี้ก็ปล่อยให้พวกมันโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปก่อนแล้วกัน
“ไปเถอะ ที่นี่ไม่มีอะไรให้น่าสนใจแล้ว”
ไตรวิชญ์ปล่อยมือออกจากปากจิ้มลิ้ม ก่อนตวัดวงแขนโอบเอวบางของเด็กหนุ่มไว้เดินลงบันไดไปด้วยกัน นิมมานหันกลับไปมองด้านหลังก็รู้สึกว่าทุกอย่างถูกตระเตรียมไว้หมดแล้ว ราวกับล่วงรู้อนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่สถานะของเขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
ที่ต้องให้เขาย้ายออกไปอยู่ด้วยกันก็คงเพราะเหตุผลนี้เองสินะ กับผู้ชายที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและอันตรายไม่มีที่สิ้นสุด เขาจะทนอยู่ด้วยไปได้อีกนานแค่ไหนกัน สักวันหนึ่งเขาอาจจะกลายเป็นศพนอนจมกองเลือด เพราะถูกศัตรูของไตรวิชญ์ฆ่าตายด้วยความโกรธแค้นเอาก็ได้
นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้เตรียมใจรับมือกับมัน ความกลัวยิ่งทำให้จิตใจสั่นไหว หน้าตาย่ำแย่แทบดูไม่ได้จนคนข้างกายสังเกตได้ ฝ่ามือใหญ่กระชับเอวบางแน่นขึ้นเรียกให้เจ้าของร่างสูงเพรียวเงยหน้าขึ้นมอง
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แค่ได้เห็นสีหน้าหนักแน่นเฉยชาราวกับไม่เกรงกลัวสิ่งใดทั้งนั้นของอีกฝ่าย ความกลัวก็ลดน้อยลงมากจนแทบจะสัมผัสไม่ได้
“มีกูอยู่ตรงนี้ ใครหน้าไหนจะกล้าทำอะไรมึง ขอเพียงมึงไม่หนีหายไม่อยู่ห่างจากกู กูก็จะไม่ปล่อยให้ใครมาทำอันตรายมึงได้เหมือนกัน”
แค่ได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาของอัลฟ่าเถื่อน รอยยิ้มของโอเมก้า
หน้าเด็กก็ผุดขึ้นตรงมุมปากอย่างกลั้นไม่อยู่
ฟังดูเหมือนกับจะขู่ให้กลัว แต่เขารู้ว่ามันคือคำสัญญาที่อีกฝ่ายให้ไว้กับเขา ขอให้เขาเชื่อใจและวางใจว่าตราบใดที่ยังอยู่ด้วยกัน เขาจะปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง เพราะอัลฟ่าเถื่อนคนนี้จะคอยปกป้องคุ้มครองเขาเอง