“มีใครอยากได้นาฬิกาบ้างไหมครับ พอดีว่าคนรู้จักของผมต้องการขายต่อ ยังไม่ได้ใช้นะครับของใหม่แกะกล่อง ใครสนใจสอบถามได้นะครับ”
ตู้เปียวซวนเกิดความหมั่นไส้จึงตะโกนเรียกลูกค้าแทนที่จะเดินหาลูกค้า ทำให้มีใครหลายคนเกิดความสนใจที่จะเข้ามาดู ซึ่งมีหลายคนที่ต้องการและต่างแย่งเสนอราคาของตัวเอง จนตอนนี้ราคาซื้ออยู่ที่เรือนละห้าร้อยหยวน สองพี่น้องบ้านตู้เหงื่อชื้นเต็มหลัง ไม่คิดว่านาฬิกาสองเรือนนี้จะขายได้หนึ่งพันหยวน
ชายหนุ่มคนแรกที่สองพี่น้องเข้ามาทักเกิดการเสียหน้าจึงพูดเสียงดังว่านาฬิกาทั้งสองเรือนนี้ได้มาอย่างถูกต้องจริง ๆ หรือเปล่า ทำให้ลูกค้าที่ต่างพากันเสนอราคาเริ่มที่จะลังเล
“นาฬิกาทั้งสองเรือนนั้นเป็นของคนรู้จักฉันเอง เขาไหว้วานให้พี่น้องคู่นี้มาขายให้ และฉันก็รู้จักทั้งสองคนดี ไม่มีการขโมยมาแน่นอน”
กว้านซือถงเดินเข้ามาพร้อมกับตู้เซียงเหมยเห็นเหตุการณ์เข้าพอดีจึงตอบกลับ ให้มันรู้ไปว่าคุณหนูเช่นเธอจะการันตีให้ไม่ได้
“อาเหมยพี่ชายเธอชื่ออะไรบ้าง หากพี่ไม่รู้จักชื่อจะทำให้เกิด ความสงสัย” กว้านซือถงกระซิบถาม
“พี่ใหญ่ชื่อตู้เปียวซวน พี่รองชื่อตู้เหรินหนาน”
“ผู้ชายคนที่สูงใหญ่และหน้าตาหล่อเหลาคนนี้ชื่อเปียวซวน ส่วนคนที่หล่อรองลงมาชื่อเหรินหนาน ทั้งสองคนเป็นพี่ชายของสหายฉันคนนี้ ทีนี้ชัดเจนหรือยัง คุณคงจะรู้จักฉันใช่ไหม” กว้านซือถงจ้องตาชาย คนนั้นไม่หลบ หากเธอเส้นไม่ใหญ่พอ เธอไม่กล้าที่จะประกาศแบบนี้แน่
“คุณหนูกว้าน!” ชายคนเดิมเอ่ยเรียกน้ำเสียงตกใจ ไม่คิดว่าคุณหนูกว้านซือถงจะออกหน้าช่วยชายหนุ่มทั้งสองคนนี้
“ขอบคุณนะที่ยังจำชื่อฉันได้ การที่คุณดูถูกคนอื่นแบบนี้โดยยังไม่รู้ความเป็นมาของเขา ฉันคิดว่าหากคุณพ่อรู้ ท่านคงจะไม่เห็นด้วยนะ เอาเป็นว่าฉันกล้าการันตีต่อหน้าทุกคนว่านาฬิกาทั้งสองเรือนนี้ไม่ได้ขโมยมาแน่นอน และเป็นของดีอีกด้วย”
“ขอผมดูหน่อยได้ไหม”
ลูกค้าคนหนึ่งที่มองดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นเดินเข้ามาถาม ตู้เปียวซวนจึงยื่นให้ดู อยู่ ๆ ลูกค้าคนนั้นให้ราคาทั้งสองเรือนหนึ่งพันห้าร้อยหยวน ทำให้สองพี่น้องต้องหันมองหน้าน้องสาวอย่างตู้เซียงเหมย เพราะราคานี้เพิ่มจากครั้งแรกตั้งห้าร้อยหยวน
ตู้เซียงเหมยพยักหน้าให้พี่ชายทั้งสองด้วยรอยยิ้ม หากขายทั้งสองเรือนได้หนึ่งพันห้าร้อยหยวน เธอสามารถแบ่งเงินไปจ่ายให้กับร้านค้าได้อีกห้าร้อยหยวนและยังมีเงินเหลือเก็บอีกตั้งหนึ่งพันหยวน ยังไม่รวมกับเงินที่ขายผ้าปักและเงินที่จะได้รับหากเอาสบู่มาส่ง ความฝันจะซื้อบ้านในอำเภอคงไม่ไกลแล้ว
เมื่อตัดสินใจขายนาฬิกาให้กับลูกค้ารายล่าสุด ทุกคนจึงเดินออกมาจากตลาดมืดทันที สามคนพี่น้องเดินกลับไปส่งกว้านซือถงที่ร้าน
“อีกสามวันเจอกันนะอาเหมย”
“ค่ะพี่ซือถง ขอบคุณสำหรับวันนี้ และสำหรับทุกอย่างที่ช่วยเหลือ” ตู้เซียงเหมยเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะขอตัวกลับพร้อมพี่ชายทั้งสองคน
ขณะที่ยืนรอเกวียนเพื่อจะกลับเข้าหมู่บ้านตามเวลา ตู้เหรินหนานเอ่ยถามน้องสาวว่าอีกสามวันจะเข้าอำเภออีกครั้งหรือ
“ใช่แล้วพี่รอง อีกสามวันเราจะเข้าอำเภออีกครั้ง เพราะพี่ซือถงแนะนำร้านค้าให้ ค่าเช่าห้าหยวนต่อเดือน และเขาจะขายให้ในราคาห้าร้อยหยวนถ้าเราพร้อม ตอนแรกที่ฉันขอเช่าก่อนเพราะกลัวเงินจะไม่พอแต่ไม่คิดว่าจะขายนาฬิกาได้มากขนาดนั้น ถ้าเกิดเราแบ่งเงินไปซื้อร้านค้าเล็ก ๆ สักร้านมันคงจะดีกว่าที่เราต้องเข็นของไปกลับทุกวันและรู้ค้าจะได้รู้ด้วยว่าเราขายประจำอยู่ตรงนี้ ฉันว่ามันน่าจะดีกว่านะ”
จากนั้นเธอจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พี่ชายทั้งสองฟัง รวมถึงการสั่งสบู่ของพี่ซือถงด้วย ทำให้พี่ใหญ่และพี่รองของเธอตกใจอีกครั้งกับจำนวนที่สั่ง
“อะไรนะ สองร้อยก้อน แล้วเราจะทำกันทันเหรอ อีกทั้งอุปกรณ์เราก็ไม่มีสักอย่าง พี่เองก็ไม่รู้ว่าสบู่นั้นทำยังไง” ตู้เปียวซวนคิดหนัก ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจที่มีรายรับเข้ามา แต่ปัญหาคือพวกเขาทำไม่เป็น
“พี่ใหญ่ พี่รอง นี่ใคร” ตู้เซียงเหมยเรียกสติพี่ชายทั้งสองคนกลับมาก่อนจะถามและชี้มาที่ตัวเอง
“ก็อาเหมยไง ทำไมถามแบบนี้ล่ะ” ตู้เหรินหนานตอบและไม่เข้าใจว่าน้องสาวถามแบบนี้ทำไม
“โอ๊ย! พี่รองฉันไม่ได้บ้าถึงขนาดจำตัวเองไม่ได้ แต่ฉันกำลังจะบอกว่าฉันทำเป็น และไม่ต้องถามว่าทำเป็นได้ยังไงเรื่องรักสวยรักงามไม่ต้องบอก ฉันสามารถไขว่คว้าหาความรู้ได้ด้วยตัวเอง เอารับตะกร้านี่ไปด้วย แบกจนเจ็บหลังหมดแล้ว ในนี้มีทุกอย่าง แต่ค่อยไปดูที่บ้าน มีเนื้อหมูและอาหารอีกเล็กน้อยด้วย” ตู้เซียงเหมยอยากจะเอาหัวโขกดินกับคำตอบของพี่ชายรองของเธอ คนอะไรซื่อไม่มีที่ติจริง ๆ
“เอามานี่เลย แล้วจะแบกเองทำไมตั้งนาน อาเหมยตัวเล็กนิดเดียว ส่งมาให้พี่” ตู้เปียวซวนเอ็ดน้องสาว แทนที่จะส่งมาให้พวกเขาตั้งนานแล้วจะแบกเองอยู่ทำไม
“เห็นไหมพี่รอง พี่ใหญ่น่ารักที่สุด ไม่ยอมให้น้องสาวแสนสวยแบบฉันต้องแบกของหนัก ไม่เหมือนพี่หรอกเชอะ” ตู้เซียงเหมยแกล้งงอน แต่พอเห็นพี่ชายหน้าเสียจึงได้หัวเราะจนตัวงอ ตู้เหรินหนานเห็นว่าที่น้องสาวพูดนั้นแค่เป็นการกลั่นแกล้งเขา ชายหนุ่มจึงเดินเข้าหาน้องกะจะจี้เอวเหมือนสมัยก่อนที่สามพี่น้องหยอกล้อกัน
“มานี่เลยตัวแสบ แกล้งพี่ใช่ไหม ใจพี่นี่ตกไปอยู่ตาตุ่มนึกว่าเรางอนพี่จริง ๆ”
“พี่ใหญ่ช่วยฉันด้วย พี่รองจะแกล้งฉันอีกแล้ว” ตู้เซียงเหมยรู้ชะตากรรมว่าจะต้องโดนพี่ชายรองเอาคืนจึงวิ่งมาหลบอยู่หลังพี่ชายใหญ่แต่ไม่วายโผล่หน้ามาแลบลิ้นยั่วโมโหพี่ชายรองอีกครั้งอย่างสนุกสนาน
ตู้เปียวซวนมองภาพทั้งสองคนแกล้งกันไปมาด้วยความจนใจ แต่ใบหน้านั้นกลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่น้อยครั้งนักคนนอกจะได้เห็น
“เลิกเล่นกันได้แล้ว เกวียนมาแล้ว จะได้รีบกลับบ้านปรึกษาพ่อกับแม่เรื่องนี้” เมื่อพี่ใหญ่ห้ามทัพ ทั้งสองคนจึงหยุดเล่นกัน แต่ตู้เหรินหนานไม่วายส่งสายตาคาดโทษให้น้องสาวประมาณว่าฝากไว้ก่อนอย่าเผลอก็แล้วกัน
ระหว่างทางนั่งเกวียนกลับเข้าหมู่บ้านตู้เซียงเหมยยังมองสองข้างทางด้วยความสนใจ ทำให้ตู้เปียวซวนและตู้เหรินหนานพี่ชายทั้งสองคนมองเธอด้วยความเอ็นดู เพียงแค่เห็นน้องสาวเพียงคนเดียวมีความสุข พี่ชายเช่นพวกเขาก็มีความสุขตาม ในเกวียนที่นั่งมาทั้งสามคนไม่รู้เลยว่ามีสายตาสองคู่ที่คอยจับจ้องมองดูอยู่ หนึ่งในนั้นคือกุ้ยฮวาหลานสาวของแม่เฒ่าเหวินคนที่เธอหมายมั่นให้แต่งงานกับเหวินหยวนต้าลูกชายคนรองของเธอหลังจากหย่าขาดจากตู้เซียงเหมยแล้ว
“นี่ใช่เมียที่ไม่ต้องการของพี่รองหยวนต้าหรือเปล่า” กุ้ยฮวาอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น เธอแอบมองใบหน้าที่สวยและใสสะอาดขนาดไม่มีเครื่องสำอางใด ๆ ปิดทับยังชวนให้มองขนาดนี้ เธอเป็นผู้หญิงด้วยกันยังอดที่จะเหลือบมองหลายครั้งไม่ได้
พอได้ยินคำถามสามพี่น้องจึงเลิกสนใจสองข้างทางและหันมามองหญิงสาวที่ถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ใช่หรือไม่ใช่คิดว่าคุณน่าจะรู้แล้วไม่ใช่เหรอ แล้วจะถามเพื่อ” ตู้เซียงเหมยย้อนถาม แม้ว่าจะไม่ได้รักได้ชอบสามีเจ้าของร่างนี้ แต่อย่างน้อยทั้งสองคนยังไม่ได้หย่าขาดกัน จะให้คนที่กำลังจะมาแย่งสามีของร่างนี้ถามแบบนี้ได้อย่างไร
“ฉันถามเธอดี ๆ นะ มิน่าล่ะนิสัยอย่างนี้นี่เองป้ากุ้ยจึงอยากให้เธอหย่ากับพี่รองหยวนต้า” กุ้ยฮวาเบะปากจีบปากจีบคอพูด
“นี่ถ้าเธอไม่พูด ฉันไม่รู้นะเนี่ยว่าคนที่จะมาเป็นเมียน้อยสามีฉันคือเธอ” เอาสิคิดว่าด่าเป็นคนเดียวหรืออย่างไร ขอโทษนางร้ายระดับอนุบาลอย่ามาแหยมกับเธอ