บทที่ 5
มีลูกกับข้าสองคนเถอะเจ้าค่ะ
คาดไม่ถึงเรื่องที่นางขอไว้จะเป็นความจริง.. ช่างน่ายินดีอย่างยิ่ง
“ยินดีกับผีหน่ะสิ!!” สวี่ลี่เซียนอยากจับทุ่มเอาความคิดน่ายินดีออกไป ขณะนำมือมาโอบกอดตัวเองเอาไว้ท่ามกลางหิมะขาวโพลน นางคิดทบทวนกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าแท้จริงเรื่องที่เกิดขึ้นผู้ใดเป็นคนผิด เหตุใดบทสรุปของนางถึงได้จบลงตรงที่ถูกสั่งกักขังกัน!
ย้อนกลับไปเมื่อสองวันก่อน
เมื่อถึงลานพิธี อวี้เหิงได้เคลื่อนกายเข้าประชิดตัวนาง มือใหญ่วางลงบนศีรษะเล็ก สวี่ลี่เซียนตัวแข็งทื่อ มองผ่านมือใหญ่ที่ขวางสายตาเห็นเพียงลำคอหนาและแผงอกล่ำภายใต้ชุดสีดำรัดรูป ถึงไม่เห็นว่าอีกคนทำสีหน้าเช่นไร แต่นางมั่นใจได้ว่าเขาต้องคิดทำสิ่งใดอยู่แน่
“ทะ..ท่นประมุข ท่านจะไม่บีบหัวข้าแตกกระจุยใช่หรือไม่” น้ำเสียงเบาโหวงจนน่าใจหาย หัวใจสวี่ลี่เซียนตกไปอยู่ตาตุ่ม หากเป็นดั่งที่ว่าจะรังแกกันเกินไปแล้ว!
“เหลวไหล แค่ทำพิธีให้จบ”
ดวงตาคมกล้าก้มมองคนตัวเตี้ยกว่ามากด้วยสายตายากจะคาดเดา ระหว่างนั้นได้สำรวจนางและเห็นว่าตัวนางช่างเล็กและบอบบางเกินกว่าจะทนอยู่ในสภาพโหดร้ายที่มีหิมะตกตลอดทั้งปีในดินแดนแห่งนี้ได้ ตอนนั้นเองที่แสงสีดำอ่อน ๆ กระจายโอบล้อมหุ้มตัวสวี่ลี่เซียนไว้คล้ายม่านกำบัง ฉับพลันความเหน็บหนาวที่เสียดแทงผิวหนังของนางมาตั้งแต่แรกเบาบางลงจนสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเล็กน้อย
“ท่านประมุข?”
ภายใต้น้ำเสียงหวานมีความแปลกใจ ชั่วขณะหนึ่งที่สวี่ลี่เซียนมองคนตรงหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ที่เขาเองก็ใส่ใจนางอยู่บ้าง.. แต่ความคิดในแง่ดีก็อยู่ได้แค่ชั่วขณะเท่านั้น เพราะวินาทีถัดมาหัวนางก็ถูกจับขึ้นจับเงยแทบชิดเข่ารวดเร็วอยู่ราวสามรอบติด
“หนึ่ง” คำนับครั้งที่หนึ่ง
“ดะ..เดี๋ยว!!!”
“สอง” คำนับครั้งที่สอง
“ท่านประมุข!”
อีกคนไม่สนใจคำค้านของนาง ไม่สนแม้กระทั่งว่าผมนางจะกระพรือสวบเข้าปากไปเป็นกระจุกแล้วก็ตาม ก่อนจะกดหัวนางลงคำนับครั้งที่สาม พร้อมกับคำพูดเบื่อหน่ายจากปากอวี้เหิงว่า
“สาม เท่านี้ก็เพียงพอแล้วใช่หรือไม่”
“!!”
...ขอพูดใหม่แล้วกันไอบ้านี่มันหล่อแต่มันบัดซบ!!!
ทันทีที่ปล่อยนางเป็นอิสระ อีกคนก็หันหลังเดินออกไปจากลานพิธีท่ามกลางอาการตกตะลึงจากหลายคู่สายตา ในขณะที่สวี่ลี่เซียนได้แต่แยกเขี้ยว ชูนิ้วกลางให้ตามหลังเพราะทำสิ่งใดไม่ได้ ตอนนั้นเองอยู่ ๆ คนที่คิดว่าเดินออกไปไกลแล้วก็ชะงักแล้วหันกลับมา สวี่ลี่เซียนที่อยู่ในท่าชูนิ้วกลางค้างไว้กลางอากาศเอานิ้วเก็บลงไม่ทัน เพราะอาการลนลาน นางจำต้องเปลี่ยนเป็นชูสองนิ้วขึ้นมาแทนได้อย่างหวุดหวิด
เวรล่ะ..
“ทำท่าอะไรของเจ้า” อวี้เหิงขมวดคิ้วตึงเครียด มองสองนิ้วที่ชูเด่นหราอยู่เบื้องหน้า สลับมองใบหน้ายิ้มกว้างของสตรีด้วยสายตาจับผิด
“สอง สองคนเจ้าค่ะ” คนปากไวพูดไปก่อนคิดเช่นนาง ก็ต้องดันเผลอพูดอะไรไม่ทันคิด.. เห้อ
“...สองคน”
สวี่ลี่เซียนผู้มีดวงหน้างดงามกว่าใครกะพริบตาปริบ ๆ กรอกตาไปมาไม่กล้าสบตาอวี้เหิงโดยตรง ริมฝีปากเม้มเล็กน้อยใคร่ครวญอย่างหนักว่าควรพูดดีหรือไม่ แต่สุดท้ายนางก็เลือกจะพูดเพราะมันมีเหตุผลรองรับคำพูดของนางมากที่สุดแล้ว
เอ้อ เอาก็เอา เป็นไงเป็นกัน!
“มี..มีลูกสักคนสองคนข้าว่ากำลังดีเจ้าค่ะ”
พูดจบก็รีบเก็บนิ้วไปด้านหลัง เพราะกลัวว่าเขาอาจจะฟันนิ้วนางขาดได้.. แง ก็ตอนนี้คนตรงหน้ามีสีหน้าน่ากลัวเหมือนจะฆ่ากันเลยหน่ะสิ! และยิ่งน่ากลัวจนตัวนางหดเล็กลงไปอีกเมื่อคนในพิธีต่างป้องปากโฮ่ร้องให้ประโยคกล้าหาญของฮูหยิน
“ฮูหยินท่านช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ”
ด้วยไม่มีผู้ใดอาจหาญตีสนิทท่านประมุขด้วยการเข้าประชิดตัว อย่างการเกาะขาแบบที่ฮูหยินทำแล้วไม่ตายไปเสียก่อน ทั้งตอนนี้ยังกล่าววาจาทอดสะพานดั่งที่ท่านประมุขไม่ชื่นชอบออกมาอย่างไม่เกรงกลัว เป็นเช่นนี้หนทางมีทายาทสืบสกุลคงอีกไม่ไกล หลังจากท่านประมุขปล่อยให้พวกเขาเป็นกังวลมานับร้อยปี!
ตึง!
“เงียบ!!”
“!!”
อวี้เหิงแผ่จิตสังหารเข่นฆ่าก่อให้มวลอากาศถูกบีบอัดทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง ทั้งลานกว้างเงียบลงในทันทีที่สัมผัสได้ถึงความโกรธเกรี้ยวผ่านแรงสะเทือนของเท้าที่กระแทกลงพื้นอย่างรุนแรงจนพื้นบริเวณนั้นแตกละเอียด ไอพลังสีดำถูกซัดออกมาเป็นวงกว้างคล้ายมีดไร้รูปร่าง คนที่พลังวิญญาณไม่กล้าแกร่งมากพอทรุดลงไปกับพื้น บ้างถึงกับกระอักเลือดกองโตเมื่อถูกพลังสีดำซัดผ่าน
สวี่ลี่เซียนได้เห็นพลันตัวแข็งทื่อมือและเท้าเย็นเฉียบโชคยังดีที่นางไม่โดนร่างแหไปด้วย เมื่อได้เห็นกองทัพทั้งสองฝ่ายเกินกว่าครึ่งเข่าทรุดลงกับพื้น ดวงตากลมโตเหลือบมองอวี้เหิงข้างกายอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แล้วก็ต้องรีบหันขวับกลับมามองปลายเท้าตัวเองทันทีทันใดเมื่อเห็นว่านัยน์ตาสีอำพันถลึงตามองนางอยู่เช่นกัน
“!”
“ข้าไม่ใช่คนที่เจ้าจะล้อเล่นด้วยได้!”
งื้อ! ใช่ความผิดนางที่ไหน เขาทำนางตกใจเองก่อนไม่ใช่หรือ! สวี่ลี่เซียนร้องโอดครวญกลั้นน้ำตา ขอยกเรื่องความหัวร้อนให้พ่อตัวร้ายนี่เต็มสิบกะโหลกไม่หัก! นอกจากหล่อจนใจเจ็บกับเก่งวรยุทธ์ก็หาความใจดีมีเมตตาไม่พบ!
อวี้เหิงเลือดขึ้นหน้าก้มมองคนตัวเตี้ยกว่าตาแข็ง สายตาคาดโทษเปี่ยมไปด้วยความรำคาญเสียเต็มอก ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาสมควรในการเขี่ยสตรีผู้นี้ทิ้ง อย่างน้อยหากนางเป็นที่โปรดปรานของไห่หวงเทียนจวินจริง ก็พอมีประโยชน์อยู่บ้าง หากแต่สิ้นประโยชน์เมื่อใด ครานั้นจะเป็นเขาเองที่ลงมือสังหารนางเสีย จากนั้นจึงหันไปประกาศด้วยเสียงทรงอำนาจว่า
"ใครกล่าวว่างานมงคลนี้เป็นเรื่องน่ายินดี ข้าจะฆ่าสังหารพวกปากพล่อยเสียให้หมด!!" ทุกคนเลือกปิดปากเงียบไม่กล้าปริปากพูดอีกเลย
ซึ่งระหว่างที่อวี้เหิงพูดอยู่ก็เปรยหางตามามองสตรีที่ลอบเบ้ปากเล็กน้อย ซึ่งสวี่ลี่เซียนรีบปรับเปลี่ยนอารมณ์ส่งยิ้มแห้งคืนมาให้เมื่อเห็นว่าเขามองมา
หึ คิดว่าเขาโง่ ตามนางไม่ทันหรือไง?
มุมปากชายหนุ่มกระตุกยิ้มเย็นดูแล้วน่ากลัวสำหรับสวี่ลี่เซียนยิ่งนัก แล้วจึงพูดต่อทั้งที่ยังมองใบหน้าสะคราญโฉม
“ที่แห่งนี้ไม่แบ่งแยกหญิงชาย ผู้ที่แข็งแกร่งจะเป็นหญิงหรือชายก็สามารถมีอำนาจอยู่ในมือ เช่นเดียวกันหาผู้ใดทำผิดจะหญิงหรือชายต้องได้รับโทษอย่างเท่าเทียม ไม่มีละเว้น" ดวงตาสีอำพันนั้นทั้งเย็นชาและเด็ดขาด หญิงสาวภาวนาแต่ว่าเขาจะไม่พูดในสิ่งที่นางกำลังคิด "ไม่ละเว้นแม้กระทั่งฮูหยินข้า ส่งนางไปเขตแดนเซียนหยวน ให้นางได้สำนึกสักหน่อยว่าตัวเองทำสิ่งใดผิด หากสำนึกได้แล้วยังไม่ตาย ก็ถือว่าสวรรค์ยังเมตตา”
เขตแดนเซียนหยวน? หญิงสาวชะงักก่อนใคร่ครวญสักครู่ รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินมาจากที่ใด สักครู่หนึ่งปากที่ยิ้มอยู่ค่อย ๆ หุบยิ้มลง ดวงตาเบิกกว้างอ้าปากหวอ ใบหน้าเหลอหลาหันขวับไปทางอวี้เหิงที่ยิ้มมุมปากชั่วร้าย
“ทะ..ท่านประมุข! ข้าแค่อยากมีลูกกับท่าน ท่านถึงกับส่งข้าไปตายเลยหรือเจ้าคะ!!”
สาเหตุที่เผ่ามารสามารถเทียบเคียงเผ่าสวรรค์ได้ในทุกวันนี้ เป็นเพราะพลังเจ้าเขตแดนของอวี้เหิงนั้นยากจะต่อกรด้วย พลังที่สามารถสร้างเขตแดนได้ดั่งใจเพื่อสังหารศัตรู เขตแดนเซียนหยวนเป็นหนึ่งเขตแดนที่อวี้เหิงสร้างขึ้นเพื่อกำราบศัตรูที่มีพลังวิญญาณมาก ใครก็ตามที่เข้าไปในนั้นจะถูกลดถอนพลังไปถึงสามในสี่ส่วน
สถานที่คือหุบเหวที่อยู่ลึกลงไปเบื้องล่างของหุบเขา อุณภูมิเยือกเย็นจนถึงจุดเยือกแข็ง ผู้ถูกส่งเข้าไปล้วนเป็นนักโทษทำผิดร้ายแรงและรอประหาร บ้างก็ทนต่อสภาพอากาศเลวร้ายไม่ไหวสิ้นใจภายในนั้น... และตามบทแล้วผู้ที่จะถูกส่งเข้าไปในนั้นคือพระรองต่างหากไม่ใช่นางร้ายเช่นนาง กรีดร้อง!
อวี้เหิงเมินเฉยไม่สนใจจะฟังคำขัดค้านของนาง กล่าวถ้วยคำเยือกเย็นโหดร้ายหน้าตาเฉย “ไม่ตาย หากตายเดี๋ยวฝังศพให้แล้วกัน”
พรึบ
“อ้ะ!”
ทันทีที่พูดจบ อวี้เหิงก็รวบเอวคอดขึ้นพาดบนไหล่กว้างรวดเร็ว คำสั่งท่านประมุขนั้นเด็ดขาด หากผู้ใดไม่ทำตามอย่างเคร่งครัดคงไม่รักชีวิตแล้ว ตอนนี้จึงมีคนจำนวนหนึ่งคาดว่าเป็นผู้คุมฝีมือดีเตรียมพร้อมด้วยโซ่และตรวนรออยู่เบื้องหลังตรงจุดที่เกี้ยวม้าเทียบจอด ส่วนเว่ยอู่ฉางตั้งใจเข้ามาช่วยเหลือ ทว่าถูกผู้อวุโสแห่งเผ่ามารทั้งสามสกัดกั้นไว้ทำให้มาช่วยนางไม่ได้
ด้านสวี่ลี่เซียนสู้แรงอวี้เหิงไม่ไหวอยู่ในอาการตกใจได้แต่อ้ำอึ้ง กว่าจะคลำหาเสียงตัวเองเจอ ตัวนางที่อยู่บนไหล่ก็ถูกเขาโยนจากลานพิธีไปยังผู้คุมที่มายืนประจำตามคำสั่งด้านหลังนอกระยะสามจั้ง (ราวสิบเมตร)
“กรี๊ดดด ไอ้!!”
คนตัวเล็กกรีดร้องเสียงหลง ขอบตาร้อนผ่าวขณะร่างถูกปล่อยลอยลิ่วลงกลางอากาศ ด้วยความเร็วเท่านี้ ไม่แขนก็ขาต้องหักสักส่วน ระหว่างความเป็นความตายมาเยือนตรงหน้า สายพลังหนึ่งตรงเข้าห่อหุ้มตัวนางทำให้ชะงักลงก่อนตกถึงพื้นเพียงเล็กน้อย และตามด้วยเสียงหึดัง ๆ ในลำคอของใครอีกคนที่อยู่ไกล แต่ไม่รู้ทำไมถึงจงใจหัวเราะใส่ให้ได้ยิน
“หึ”
“!!”
ใบหน้าเล็กฉายชัดว่าอดกลั้นด้วยความโกรธจวนจะร้องไห้ ยิ่งอีกคนดูสะใจไม่น้อย จึงพยายามฮึบไว้ไม่ร้องให้ต่อหน้าเขาอีก สวี่ลี่เซียนเม้มปากสูดหายใจลึก ๆ กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา
ไม่รู้ทำไมพอเห็นคนตัวเล็กเป็นเช่นนี้ อวี้เหิงก็กระตุกยิ้มขึ้นมา ทำเอาสวี่ลี่เซียนที่ยืนอยู่ไกลกว่าเม้มปากแน่นขึ้นจะร้องไห้ออกมาอีกรอบจริง ๆ อวี้เหิงผู้นี้ร้ายกาจเหลือทน จงใจกลั่นแกล้งนางให้ขวัญเสียและดูเหมือนสะใจมากเสียด้วย แต่จะด่าก็ด่าไม่ได้ เป็นเช่นนี้นางทำได้เพียงสาปแช่งไอ้ตัวร้ายบุรุษชั่วช้าไม่ออกเสียง!
บิดามันเถอะ! แล้วนางจะเอาชีวิตรอดอย่างไรต่อดีล่ะเนี่ย แง!