อรุณจันทร์ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก เธอมักจะทำทุกอย่างโดยไม่คิดถึงจิตใจใครและไม่เคยเห็นความผิดของตัวเองเลย แตกต่างจากรัตนปาตี ที่ถูกกดหัวอยู่ตลอด แต่เธอกลับมีมุมมองความคิดที่แตกต่างกันออกไป เธอรู้ดีว่าควรทำตัวอย่างไรให้อยู่รอด นั่นคือความคิดของเธอ
ไม่จำเป็นต้องต่อต้านหรือทำตามไปเสียทุกอย่าง แต่คนเรามีวิธีการที่จะทำให้ตัวเองไม่เดือดร้อนและไม่ทุกข์ ใช่ว่าสองแม่ลูกจะร้ายกาจจนเธอทนไม่ได้ แต่เธอเลือกที่จะใช้ความฉลาดในการใช้ชีวิต เธอรู้จุดอ่อนและจุดแข็งของคนที่อยู่ด้วย อรุณจันทร์แม้จะเอาแต่ใจและเห็นแก่ตัว แต่ถ้าพูดจาถูกหูถูกใจ เธอก็ชอบอกชอบใจ ส่วนคุณนพมาศ ถึงแม้จะจู้จี้ขี้บ่นไม่แตกต่างจากลูกสาว แต่ถ้าทำทุกอย่างเสร็จอย่างที่ต้องการ ก็จะลดอารมณ์
เกรี้ยวกราดลงไปได้เยอะ เธอพยายามคิดว่าทุกอย่างที่ทำลงไป ก็เป็นความรู้ติดตัว ไม่ว่าจะเป็นการจัดบ้าน ทำอาหาร เย็บปักถักร้อย งานบีบนวดหรือเสริมสวย ซึ่งล้วนแล้วนำไปประกอบอาชีพได้ทั้งสิ้น
คนส่วนใหญ่ไม่ชอบเรียนสายอาชีพ ซึ่งจริงๆ แล้วสายอาชีพนั้นขาดแคลน และตลาดแรงงานก็ต้องการ ประกอบอาชีพได้ตลอดชีวิต ไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร และเป็นงานที่มีลูกค้าอยู่ตลอด งานบริการถือว่าเป็นงานที่ดีไม่แพ้งานอื่นๆ เลยสักนิด
เธอเคยเห็นเพื่อนบ่นให้ฟังว่า ในหมู่บ้านมีช่างเหล็กอยู่คนเดียว เวลาจะทำประตู หน้าต่างบ้านทีก็ต้องไปหาคนนั้นคนเดียว คนนั้นก็รับทรัพย์เสียอื้อ บางทีก็คิวเต็ม กว่าจะได้ทำก็นาน ช่างไฟฟ้าก็เหมือนกัน จะเดินสายต่อไฟฟ้าทีหนึ่ง ก็ต้องจองคิวกันยาวๆ การเรียนสายอาชีพจึงเป็นทางเลือกที่สำคัญสำหรับเยาวชน เด็กที่จบปริญญาตรีสายสามัญเยอะแยะ ทำงานพวกนี้ไม่เป็น ภาษาอังกฤษประเทศไทยก็ย่ำแย่ ตกงานกันเป็นทิวแถว บางคนเรียนจบมาไม่มีอะไรทำก็เรียนต่อปริญญาโท บางคนก็แบมือขอเงินพ่อแม่อยู่เหมือนเดิม เรียกว่าจบอะไรไม่สำคัญเท่ากับมีงานทำเลี้ยงชีพได้หรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะมีแค่ใบปริญญาใบเดียว แต่ทำงานอะไรไม่ได้เลย ก็เหมือนกระดาษที่ไร้ค่าแผ่นเดียว
มันก็ไม่ได้ไร้ค่าไปเสียทุกอย่าง หากกระดาษแผ่นนั้นจะเป็นใบเบิกทางไปสอบเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของเขา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า จะการันตีว่าคุณจะไม่ตกงาน หากทำอะไรไม่ได้เลย จ้างแล้วไม่คุ้มกับเงินเดือนที่เสียไป ก็ออกมาเตะฝุ่นตามเดิม
“หน้าตามันบ้านนอกชัดๆ” นั่นปะไร ห้ามไม่ให้คนอื่นพูด แต่ตัวเองก็พูดถึงไม่ยอมหยุด ซึ่งรัตนปาตีก็ฟังเฉยๆ ไม่ขัดอะไรเลย
“คุณจันทร์เจ้าปวดเมื่อยตรงไหนอีกไหมคะ ข้าวหอมจะได้นวดถูกจุด”
“ตรงนั้นแหละถูกแล้ว ข้าวหอมนี่นวดได้ถูกใจจริงๆ เลย นี่ถ้ามีสามี สามีรักตายเลย”
“อย่างข้าวหอมไม่มีใครเอาหรอกค่ะ”
“แต่ก็จริงนะ ใครจะเอาคนใช้อย่างเธอ” อรุณจันทร์พูดอย่างไม่รักษาน้ำใจ ดีใจที่ได้กดอีกฝ่ายให้จมดิน
“คนรวยเขาก็อยากแต่งงานกับคนรวย ไม่อยากแต่งงานกับคนจนๆ หรอกค่ะ” รัตนปาตีพูดตามที่คิด มันหมดยุค
ซินเดอเรลล่าแล้วล่ะ ใครจะมาอยากแต่งงานกับคนจน กัดก้อนเกลือกิน ลำบากยากเข็ญ หรือมาให้รับภาระเพิ่มขึ้น
“นี่นังข้าวหอม แกว่าฉันเหรอ” อรุณจันทร์ผุดลุกขึ้น ก่อนจะผลักรัตนปาตีเสียหลักเพราะไม่ทันตั้งตัว
“คุณจันทร์เจ้าเป็นอะไรคะ”
“ก็แกแดกดันฉัน แกบอกว่าคนรวยต้องแต่งงานกับคนรวย ตอนนี้ฉันมีแต่เปลือก เรียกง่ายๆ ว่าจน แกก็เลยจะว่าฉันใช่ไหม ว่าฉันว่าไม่มีผู้ชายรวยๆ ที่ไหนมาเอา มีแต่ไอ้คู่หมั้นบ้านนอกนั่น” อรุณจันทร์ระเบิดอารมณ์ใส่อีกฝ่าย
“ข้าวหอมเปล่านะคะ ข้าวหอมหมายถึงตัวเองว่าจน ไม่มีผู้ชายรวยๆ ที่ไหนมาเอาหรอกค่ะ ผู้ชายผู้หญิงเดี๋ยวนี้เค้าก็อยากให้มีเงินกันทั้งสองฝ่าย จะได้รวมทรัพย์สินกัน”
รัตนปาตีพูดตามจริง ดูอย่างเพื่อนเธอสิ แต่งงานเพื่อธุรกิจทั้งนั้น เรียกว่าเรือล่มในหนองทองจะไปไหนเสีย บางคนพ่อแม่เป็นเพื่อนกันทำธุรกิจด้วยกัน ก็อยากให้ลูกหลานช่วยกันบริหารก็จับแต่งงานกัน หลายคนคบหาสมาคมกันเฉพาะในสังคมคนมีอันจะกิน อย่างที่เขาบอกว่าคนรวยก็อยากคุยแต่กับคนรวยๆ เพราะคุยกับคนจนๆ ก็มีแต่จะขอเงินขอทอง หรือไม่ก็พูดแต่เรื่องลำบากยากจนของตัวเอง คนรวยเขาไม่อยากมานั่งฟังความทุกข์ของใคร แต่อยากแลกเปลี่ยนความคิดดีๆ พูดเรื่องการลงทุนหรือขยายธุรกิจ
“แกไม่ได้ว่าฉันแน่นะ” อรุณจันทร์ลดเสียงลง เธอคับแค้นใจนัก เพราะพอบิดาเสีย ครอบครัวก็เริ่มย่ำแย่ ที่อยู่รอดมาถึงทุกวันนี้เพราะทรัพย์สมบัติเก่าและที่ดินที่มารดาตัดขายเอาเงินมาหมุนในครอบครัว
“จริงสิคะ ข้าวหอมหมายถึงตัวเองค่ะ”
“แล้วไป มานวดฉันต่อเลยนะ” อรุณจันทร์นอนคว่ำเหมือนเดิม ก่อนจะเรียกให้รัตนปาตีมานวดให้ ในสมองก็ครุ่นคิดหนทางเอาตัวรอดจากการแต่งงานในครั้งนี้
อรุณจันทร์ไม่ได้ทำให้ใครระแคะระคายเลยถึงการที่เธอคิดจะหนีไป ไม่อยากเป็นเจ้าสาวของนำทัพ จนถึงวันรุ่งขึ้นที่ไม่มีใครเห็นแม้แต่ร่องรอย
คุณนพมาศแทบลมจับเมื่อพบว่าบุตรสาวหนีไปแล้ว เธอนั่งเครียดแทบอยากจะกรีดร้อง เพราะไปรับเงินนำทัพมาแล้ว จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่เงินไถ่บ้าน แต่ยังมีเงินสดอีก แต่เธอไม่ได้บอกอรุณจันทร์ให้รู้ก็เท่านั้นเอง เพราะอยากจะเก็บเงินนั้นเอาไว้คนเดียว
“จะทำยังไงดีล่ะ เดี๋ยวเขาจะมารับยัยจันทร์เจ้าไปภูเก็ตแล้ว” นำทัพบอกว่าจะมารับบุตรสาววันนี้ ซึ่งตอนนี้คนที่ต้องไปก็หายไปเสียแล้ว
“ติดต่อคุณจันทร์เจ้าไม่ได้เลยเหรอคะ” “ถ้าติดต่อได้แล้วฉันจะมานั่งเป็นทุกข์แบบนี้หรือไง โง่จริงเชียว เอ๊ะ! นั่นเสียงกริ่งหน้าบ้านนี่นา หรือว่านำทัพจะมาแล้ว” คุณนพมาศแทบนั่งไม่ติด
“จะทำยังไงดีคะ” คุณนพมาศมองประตูบ้านพร้อมๆ กับมองหน้ารัตนปาตีสลับกันไปมา ก่อนจะตัดสินใจบางอย่าง บางทีนี่อาจเป็นทางออกสุดท้ายก็ได้!!!
รัตนปาตีนั่งมองวิวทิวทัศน์ข้างทางไปอย่างจิตใจเลื่อนลอย
คุณนพมาศถึงขนาดว่าลงทุนคุกเข่าอ้อนวอนเธอ และพูดถึงบุญคุณแต่หนหลัง เพราะหากไม่ได้อรุณนำมาชุบเลี้ยงป่านนี้ก็คงนอนตายอยู่ข้างถนนหรือมีสภาพไม่ต่างจากโสเภณี ถึงแม้นพมาศจะโขกสับสารพัด แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ทารุณกรรมทำร้ายทุบตีให้บาดเจ็บสาหัสเหมือนข่าวที่เคยถูกสื่อนำมา ตีแผ่ในสังคมไทย เธอสงสารท่านเพราะเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ จึงตัดสินใจตกปากรับคำมาแทนอรุณจันทร์ ถือว่าเป็นการ ตอบแทนบุญคุณครั้งสุดท้ายที่เธอได้ทำให้ครอบครัวนี้มาตลอด
นำทัพไม่ได้มาเองเพราะเขาติดงานยุ่งเหยิงต้องไปจัดการปัญหา แต่ส่งลูกน้องมารับ ลูกน้องของเขามีสีหน้าชอบกลตอนเจอหน้าเธอ แต่ไม่ได้ถามอะไร คุณนพมาศบอกว่ารัตนปาตีจะไปช่วยดูแลมารดาของนำทัพเป็นอย่างดี และไปเป็นเจ้าสาวแทนอรุณจันทร์ เพราะรัตนปาตีคือหลานสาวของท่าน
คนขับรถก็ไม่ได้พูดอะไร แต่รับเธอขึ้นรถมาเลย การเดินทางนั้นช่างยาวนาน แต่หัวใจของเธอก็ฮึดสู้ อย่างน้อยก็ได้ตอบแทนบุญคุณที่ค้ำคออยู่ เธอจำได้ว่าสมัยก่อนคุณอรุณรักเธอมาก มีอะไรให้ทุกอย่าง ไม่ให้น้อยหน้าอรุณจันทร์ นั่นทำให้เธอไปจากครอบครัวนี้ไม่ได้ นี่คงเป็นการช่วยคุณนพมาศเพื่อตอบแทนบุญคุณของคุณอรุณ เพราะบ้านหลังนั้นก็ไม่มีหนี้สินอีกต่อไป ถ้าคุณนพมาศรู้จักใช้เงินก็คงจะอยู่ได้ไปอีกนาน
ก่อนมาเธอบอกคุณอรุณในใจว่าได้ช่วยเหลือลูกเมียของท่านแล้ว ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณ อย่างน้อยก็เป็นการช่วยชีวิตคนที่ให้ข้าวให้น้ำเธอมาจนอายุป่านนี้