เลี้ยงแบบไหนก็คือเลี้ยง

1326 คำ
“ก็ใส่ไซส์นี้มาตลอด ครั้งนี้มันก็ต้องใส่ได้สิ” พูดไปก็เท้าเอวมองใบหน้าตี๋ๆ ของอีกฝ่ายกลบเกลื่อนความรู้สึกที่ชักจะเต็มล้นขึ้นทุกที ในใจได้แต่คิดว่าหมิงมันจะมารู้ดีกว่าคนใส่อย่างเธอได้ยังไง จับก็ยังไม่เคยจับสักทีแต่รู้ดีนักนะ ถ้าเคยวัดขนาดแล้วมาพูดเธอจะไม่ว่าอะไรเลยสักคำ ไอ้บ้านี่!! “แล้วแต่ แล้วนี่มึงพอใจแล้วหรือยังหรืออยากได้เพิ่มอีก” และเป็นเหมือนเดิมเช่นทุกครั้งที่ชายหนุ่มไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเธอต่อ มือใหญ่ที่กำลังถือเสื้อผ้าให้ยกขึ้นทั้งสองข้างอย่างยอมแพ้เมื่อเห็นว่าเธอเริ่มเลิกคิ้วถลึงตาใส่ ทว่าเมื่อได้ยินคำถามนั้นปาลินกลับส่ายหน้าว่าไม่เอาแล้ว เพราะของเดิมที่มีอยู่ที่ห้องก็ยังใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องซื้อไปมากมายหลายตัวขนาดนั้น สาวทรงใหญ่อย่างเธอน่ะ ของพวกนี้ถ้าจะซื้อให้ได้คุณภาพมันก็แพงจะตายไป ลำพังแค่ห้าตัวนี่ก็ปาไปเป็นพันเกือบสองพันแล้ว “ไม่อ่ะ พอแล้ว” “งั้นไปจ่ายเงิน พวกนั้นมันรอกันอยู่ที่ห้องไอ้ปราบแล้ว” “เออๆ เร่งจริง” คนตัวขาวจั๊วะถอนหายใจพรืดก่อนจะรับปากส่งๆเดินสะบัดผมนำไปเบื้องหน้า ใบหน้าสลักเสลาราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบมุ่ยลง กระนั้นก็ยังไม่กล้าพยศมากกว่านี้เท่าไหร่นัก หมิงเป็นคนหนึ่งที่ดูแลเธอดีมากก็จริง แต่เห็นหน้าตี๋ๆ เหมือนโอปป้าในซีรีย์จีนแบบนั้น ที่จริงแล้วอีกฝ่ายเป็นคนดุและเรียกได้ว่าดุมากอย่างกับพวกมาเฟียในหนัง กระทั่งเพื่อนในกลุ่มก็ยังให้ความเกรงใจกันทุกคน ขอแค่หมิงหันมองก็พร้อมจะหยุดทำเรื่องแผลงๆ ได้โดยไม่ต้องพูดออกมาด้วยซ้ำ เธอรู้จากเพื่อนคนอื่นว่าอีกฝ่ายเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยประถมแล้ว กระนั้นการโดนอีกฝ่ายเอาใจก็ยังทำให้ปาลินกล้าที่จะดื้อและกวนกลับไปบางครั้ง “เดี๋ยวเถอะ” ดังเช่นตอนนี้ที่เธอจัดการหันกลับไปเหลือบตามองบนเสียจนแทบกลับไปอยู่หลังหัวคนใส่ข้างหลัง ก่อนจะวิ่งฉิวไปยืนทำหน้าเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ที่หน้าเค้าน์เตอร์จ่ายเงิน รอจนหมิงเดินมายืนด้านหลัง ถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หยิบกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋าถือ โดยที่ลืมไปว่าคนแบบไอ้ตี๋นี่มันอายใครเป็นที่ไหน นึกอยากเขกหัวมันก็เขกโป๊กเลยแบบไม่แคร์อะไรหรือใครทั้งนั้น “โอ้ย ไอ้หมิง!” ปาลินได้แต่ขมวดคิ้วมุ่ยหน้ามองรอยยิ้มที่หาได้ยากของอีกฝ่าย ขณะที่ลูบศีรษะของตัวเองที่ถูกเขกจนกบาลแทบแยกป้อยๆ แต่ครั้นจะหันไปด่ามันก็ไม่กล้าเพราะมีคนเดินเดินมาและรอต่อแถวจ่ายเงินกันอยู่อีกหลายคน สุดท้ายจึงได้แต่คาโทษในใจไปอย่างนั้น จนกระทั่งถึงคิวของตัวเองที่จะต้องชำระเงิน ทว่ายามที่กำลังจะหยิบเงินสดออกมาจากกระเป๋าสตางค์ จู่ๆหมิงก็ยื่นบัตรของตัวเองให้แคชเชียร์ พนักงานคนนั้นก็เหมือนรู้งานรีบรูดการ์ดอย่างรวดเร็วจนเธอไม่มีโอกาสค้านเลยแม้แต่คำเดียว ได้แต่ยืนมองเจ้าหล่อนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หยิบเสื้อผ้าของเธอใส่ถุงตาปริบๆ ทั้งที่มือยังดึงธนบัตรในกระเป๋าออกมาไม่เสร็จเสียด้วยซ้ำ พอเสร็จสิ้นกระบวนการทุกอย่างหมิงก็ยังแย่งรับถุงจากพนักงานไปถือเอาไว้เอง แล้วลากเธอถูลู่ถูกังให้ตามออกมาข้างนอกอีก เรียกได้ว่าทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียจนปาลินพูดอะไรไม่ออก รู้ตัวอีกทีก็เดินออกจากร้านมาไกลเสียแล้ว “หมิงมึงจะจ่ายให้กูทำไมเนี่ย นั่นมันเสื้อในนะเว้ยไม่ใช่ขนม ชาเขียวหรืออะไรที่มึงเคยเลี้ยงกู” หญิงสาวเอ่ยประท้วงด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ กระนั้นก็ยังปล่อยให้มือใหญ่จับมือของตัวเองเอาไว้ และเมื่อได้ยินอย่างนั้นคนตัวสูงที่เดินจ้ำอยู่ข้างหน้าก็ชะลอฝีเท้า ถอยกลับมาเดินข้างกันเหมือนอย่างทุกที แขนแกร่งข้างที่ไม่ได้ถือถุงยกขึ้นวางบนไหล่เล็กอย่างเคยชิน ขณะที่ใบหน้าหล่อที่เอนมาอิงกับศีรษะทุยจนหญิงสาวเกิดใจสั่นขึ้นมา “เลี้ยงแบบไหนก็คือเลี้ยงไหมวะ กูคิดแค่ว่ากูจ่ายเงินไม่ได้คิดว่าจ่ายค่าอะไร” หมิงว่าเสียงเรียบคล้ายไม่ทุกข์ร้อน มือข้างที่ใช้แขนโอบไหล่เขาเอาไว้ตบลงบนเรือนผมสีน้ำตาลนุ่มมือเบาๆ การกระทำอ่อนโยนขัดกับใบหน้าเสียจนพาให้หัวใจของคนคิดไกลที่สั่นไหวอยู่แล้วยิ่งสั่นมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมมากนัก ถึงอย่างนั้นปาลินก็ยังเก็บอาการของตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ พยายามสุดชีวิตที่จะไม่แสดงท่าทีผิดปกติออกไป ก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจะเหลือบมองคนสูงกว่า แล้วประนมมือกราบแนบอกแกร่ง กลบเกลื่อนความรู้สึกที่เริ่มล้นปรี่ขึ้นมาอีกรอบ “ขอบคุณนะคะเสี่ยที่ซื้อเสื้อในให้หนู หนูสัญญาจะเป็นเด็กดีค่ะ” ก่อนจะแอคติ้งพูดจาประชดประชัน เพื่อไม่ให้คนที่ยังโอบไหล่อยู่จับสังเกตได้ว่าเธอเขินจนมือสั่นไปหมดแล้ว และมันก็ได้ผลมากอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ หลังจากที่โดนกราบอกอย่างอ่อนช้อยประหนึ่งเสี่ยเลี้ยงอีหนูไป ชายหนุ่มก็ถอนหายใจเสียงดังและมองเธอด้วยหางตา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ผละกายออกไปแต่อย่างใด “มึงเริ่มไม่ใช่เด็กดีตั้งแต่เรียกกูว่าเสี่ยแล้วอิแหม่ม” “เลี้ยงดูดีประหนึ่งเมียขนาดนี้ ไม่ให้กูเรียกเสี่ยแล้วจะให้เรียกอะไร” “...” “พวกมึงนี่ก็นะตามใจจนกูนิสัยเสียละ ถ้าพวกมึงเลิกคบกูจะไปคบกับใครเขาได้ล่ะเนี่ย หรือจะให้เกาะพวกมึงกินไปจนตาย” เธอบ่นเสียยืดยาวเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไร “ก็ไม่ได้ว่านี่ กูรวย” และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอหมั่นไส้ความทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนของมันมาก เพราะอย่างนั้นมือเล็กจึงยกขึ้นตีลงบนแผ่นอกหนาแรงๆ ให้สมกับความมั่น “นี่กูจริงจังนะหมิง” “กูก็จริงจังลิน กูจ่ายแล้วมึงก็เอาไปเหอะ หรือถ้ามึงเกรงใจมากก็ใส่มาให้กูดูให้มันจบๆ” และยิ่งอึ้งจนเกือบอ้าปากค้างเมื่ออีกฝ่ายพูดอกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อนแบบนั้น ก่อนจะดึงมือของตัวเองกลับไป แล้วออกเดินนำคล้ายกับตัดบทสนทนาของเราอยู่ในที “ไอ้บ้านี่” ได้แต่หงุดหงิดจนใบหน้าสวยๆ บูดบึ้งอยู่คนเดียวที่ถูกเดินหนีทั้งที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง เห็นเธอชอบโดนพวกมันทรีตแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วคนอย่างเธอก็เกรงใจเป็นนะ จะเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมน่ะไม่ว่าหรอกเพราะชินแล้ว แต่มาซื้อของส่วนตัวแบบนี้นี่มันจะเกินไปไหม ผัวก็ไม่ใช่ พูดแล้วยังมากวนกลับอีก “เดี๋ยวก็ใส่ให้ดูจริงเสียเลยนี่ไอ้ตี๋” “บ่นอะไร รีบเดิน” “เออ รู้แล้ว!!”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม