“ท่านแม่ทัพ” เต้าเฟยเห็นลู่เคอตัวนำทวนไปถือไว้
ลู่เคอตัวก้มมองทวนในมือแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเช็ดถูมันได้ดี ข้าขอบใจเจ้ามาก ไว้ต่อไปข้าจะให้เจ้าเป็นคนดูแลห้องนี้ดีหรือไม่” ลู่เคอตัวถามแล้วนำทวนไปเก็บไว้ที่เดิม แต่ด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ของเขาทำให้เต้าเฟยไม่กล้าผลีผลามรับปาก
“ท่านจะมาไม้ไหนกันแน่ จู่ๆจะให้ข้าดูแลของสำคัญเช่นนี้”
ลู่เคอตัวชูของในมือขึ้นมาตรงหน้า “ข้าจะให้เจ้าดูแลห้องเก็บศาสตราวุธต่อเมื่อเจ้าทำหน้าที่ฮูหยินให้ดีเสียก่อน”
“หน้าที่ฮูหยิน”
“ใช่ นี่คือสมุดบัญชีของจวนที่มีทั้งรายรับ รายจ่าย บัญชีของมีค่าทั้งหมดในคลังเหล่านี้ล้วนเป็นของสำคัญเช่นกัน ทำไมเจ้าถึงไม่ใส่ใจดูแล”
“ข้ากำลังศึกษาอยู่”
“เรื่องอาหารล่ะ ข้าเพิ่งกลับจากประชุมขุนนาง จะกลับมากินข้าวกลางวันแต่ยังไม่มีอาหารอะไรให้ข้ากินเลย ข้าอยากให้เจ้าทำอาหารให้กิน ข้าอยากลองกินอาหารฝีมือเจ้า”
เพราะเขาไม่เชื่อว่าผู้หญิงอย่างนางจะทำอาหารเป็นซึ่งคงเป็นจุดอ่อนของนางให้เขาหาช่องทางส่งนางกลับเผ่าได้แม้จะเป็นฮูหยินพระราชทานแต่ถ้าบกพร่องต่อหน้าที่จนสามีไม่สามารถอยู่อย่างเป็นสุขได้เขาก็จะกราบทูลข้อบกพร่องของนางให้ฮ่องเต้ได้ทรงทราบ
“ข้าทำอาหารไม่เป็น รวมไปถึงปรนนิบัติพัดวีใครไม่เป็นด้วย”
ลู่เคอตัวยิ้มมุมปาก “เมื่อออกเรือนแล้วไม่มีสตรีนางใดละเว้นหน้าที่ปรนนิบัติสามี”
“ข้านี่ไง”
“แต่ข้าอยากให้เจ้าหัดทำอาหารให้เป็น อย่างน้อยทำให้ข้ากินก็ยังดี ไม่เช่นนั้นบ่าวในจวนจะเก็บไปนินทาแค่ไหนที่นายหญิงทำอะไรไม่เป็น วันๆเอาแต่นั่งขัดถูอาวุธ ข้าอยากให้เจ้าช่วยรักษาหน้าของข้าด้วย มิเช่นนั้นเจ้าก็คงจะอยู่ในตำแหน่งฮูหยินของข้าไม่ได้นาน เจ้าเข้าใจไหม”
เต้าเฟยกัดริมฝีปากแน่น งานของสาวใช้แบบนั้นนางจะเคยทำได้อย่างไร อย่างดีนางก็เขียนตัวอักษร ดีดพิณได้บ้าง แต่ก็ไม่ถนัดอยู่ดี ตกลงนี่เขากำลังแกล้งนางอยู่ใช่ไหม
“ก็งานขัดถูอาวุธข้าทำได้ดีกว่าทำอาหาร ไม่เชื่อท่านเอาอาวุธของท่านมาให้ข้าขัดถูดูสิ รับรองว่าสะอาดแวววาวราวกับได้อาวุธใหม่”
เต้าเฟยจะคว้าดาบโค้งคู่ใจของท่านแม่ทัพแต่เพราะลู่เคอตัวตกใจในการจู่โจมของนางสัญชาติญาณของขุนทหารทำให้เขาเบี่ยงกายหลบจนมือของนางพลาดเป้าจาด้ามดาบโค้ง
เต้าเฟยหน้าร้อนผ่าวแล้วรีบชักมือกลับ “ข้า...เอ่อ ข้าขอ...”
“มีลูกไม่อบรม ถือว่าเป็นความผิดของพ่อแม่ เจ้า...เจ้ามัน ไปทำกับข้าว ไปให้พ้นหน้าข้า”
“ข้าทำให้ท่านต้องอายถึงขนาดนั้นเชียวหรือ” เต้าเฟยถาม แต่ลู่เคอตัวใช้การเบือนหน้าหนีแทนคำตอบ ธิดาของหัวหน้าเผ่าที่มีเกียรติอย่างเต้าเฟยจึงกำมือแน่น “ตกลงข้าจะลองทำอาหารให้ท่านกิน แต่ข้าไม่มั่นใจว่าท่านจะกินมันได้ เชิญท่านรอสักหน่อยเพราะข้าต้องใช้เวลาทำ”
“ข้ารอได้” ลู่เคอตัวตอบแล้วหันกายเดินออกไป
เต้าเฟยมองแผ่นหลังเหยียดตรงนั้นด้วยความหนักใจ ถึงอย่างไรก็หนีเขาไม่พ้น ต้องอยู่เป็นฮูหยินของเขาไปจนกว่าจะมีลูกชาย ถ้าอย่างนั้นการที่นางจะวางศักดิ์ศรีลงแล้วทำตัวไหวลู่ไปตามแรงลมบ้างก็คงจะดีกว่าทัดทานแรงลมจนหักโค่นไป ซึ่งมันไม่เกิดผลดีอะไรเลย
เต้าเฟยวัดตวงตาชั่งในใจแล้วมุ่งหน้าไปที่โรงครัว บ่าวในครัวพอเห็นนายหญิงของจวนย่างเท้าเข้าไปก็รีบก้มหัวคำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน
“คารวะฮูหยินเจ้าค่ะ ท่านต้องการอะไรหรือเจ้าคะ”
“ใครเป็นหัวหน้าห้องครัวที่นี่”
หญิงร่างท้วมอายุราวสี่สิบห้าปีก้าวเท้าออกมา “บ่าวเองเจ้าค่ะฮูหยิน”
“อาหารกลางวันพวกเจ้าทำกันเสร็จหรือยัง”
“พวกบ่าวทำเสร็จนานแล้วเจ้าค่ะ กำลังนำไปจัดเตรียม”
เต้าเฟยกำมือแน่น ที่แท้นางถูกเขาหาเรื่องนี่เอง “ไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่ต้องเตรียมออกไปวาง แต่ข้าขอถามอะไรหน่อย เมื่อวานตอนงานแต่งของข้ากับท่านแม่ทัพ ที่บ้านข้าส่งสินเจ้าสาวมา ในขบวนนั้นมีเนื้อแพะรวมอยู่ด้วยใช่ไหม”
“มีเจ้าค่ะ” หัวหน้าห้องครัวตอบไปทั้งที่ยังงุนงง
“งั้นดีแล้ว เจ้าจงไปนำเนื้อแพะมาให้ข้า ข้าจะปรุงอาหารให้ท่านแม่ทัพกินมื้อเที่ยงนี้”
แม่ครัวใหญ่ค้อมตัวรับคำสั่ง แล้วรีบหันไปสั่งสาวใช้ที่ยืนก้มหน้างุดให้ตามนางไปแบกเนื้อแพะมาให้นายหญิงของบ้านทำอาหาร เต้าเฟยรอไม่นานหัวหน้าห้องครัวก็กลับมาพร้อมกับเนื้อแพะชิ้นใหญ่ ดวงตากลมโตของเต้าเฟยมองอย่างวาดหวัง
“อยากกินอาหารนักใช่ไหม ถือเป็นโชคดีของท่านแล้วแล้วที่จะได้ลิ้มรสอาหารฝีมือข้าเป็นคนแรกแต่คงต้องรอนานหน่อย” เต้าเฟยยิ้มเอื่อยๆแล้วเดินไปหาเนื้อแพะชิ้นนั้น บรรจงจัดการแล่เนื้อแพะออกมาอย่างเชื่องช้าไม่เร่งรีบเพราะนางมีแผนให้เขารอจนไส้กิ่ว
ลู่เคอตัวไปรอที่ห้องทำงาน เขาหยิบคัมภีร์เพลงดาบขึ้นมาเล่มหนึ่งเพื่อศึกษา ก็พอดีกับพ่อบ้านหวังเดินเข้ามารายงาน
“ท่านแม่ทัพขอรับ รองแม่ทัพซู่จือมาขอพบขอรับ”
“รีบไปเชิญเข้ามา เดี๋ยวก่อนไปนำขวดบรรจุซายิ้งมาให้ข้าด้วย”
“ท่านแม่ทัพจะให้บ่าวนำซายิ้งมาให้ใครขอรับ ใครปวดท้อง หรือว่าฮูหยิน”
“ไม่ใช่นาง ข้าต่างหาก ข้าจะเตรียมเอาไว้ วันนี้ข้าอาจโชคไม่ดีท้องไส้ปั่นป่วน เกิดปวดท้อง ท้องเสียจะเสียงานเสียาการช่วงนี้ข้าจะต้องไปตรวจดูการซ้อมกำลังพล”
“ขอรับนายท่านบ่าวจะไปนำซายิ้งมาให้แล้วไปเชิญท่านรองแม่ทัพซู่จือเข้ามาพบ”
ไม่ถึงครึ่งเค่อร่างองอาจ ห้าวหาญในชุดขุนนางฝ่ายบู๊ของซู่จือก็เดินเข้ามา เขาเพิ่งเดินทางมาถึงปักกิ่งก็ตรงไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิและตรงมายังจวนของลู่เคอตัวผู้เป็นสหายสนิท
“ข้านำของขวัญวันแต่งงานมามอบให้ เมื่อวานข้าเดินทางกลับมาไม่ทันจริงๆต้องขอโทษด้วย” เพราะซู่จือไปตรวจตรากองทหารที่ชายแดนแต่ระหว่างทางเกิดพายุหิมะจึงทำให้กลับมาปักกิ่งไม่ทัน
“ท่านไปราชการ ระหว่างทางกลับยังติดพายุหิมะ ข้าเข้าใจดี เชิญนั่งก่อน” ลู่เคอตัวเชื้อเชิญด้วยความยินดี
ซู่จือนั่งลงแล้วก็ยกชาที่พ่อบ้านนำมาวางขึ้นจิบ พลางมองซ้ายมองขวาอยู่หลายหนจนลู่เคอตัวต้องถาม
“ท่านมองหาใครกันหรือซู่จือ”
“ข้าไม่เห็นฮูหยินของท่านเลย นางไปอยู่ที่ใดกัน”
ลู่เคอตัวพลันชะงักไปครู่ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นางเข้าครัวทำอาหารอยู่”
“ท่านพูดจริงเหรอ” ซู่จือออกประหลาดใจอยู่บ้าง “ที่แท้แล้วนางก็เป็นสตรีอยู่บ้างนี่เอง เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ท่านจะได้ไม่ต้องทุกข์ใจกับการได้รับสมรสพระราชทาน”
ลู่เคอตัวปวดใจจนสีหน้าที่แสดงออกยิ่งเรียบเฉยมากขึ้น “ในเมื่อขัดพระประสงค์ไม่ได้ ข้าก็ต้องทำใจยอมรับ คิดเสียว่ามีสตรีเพิ่มในจวนมาอีกหนึ่งคนจะเป็นไรไป จวนข้าก็จะออกใหญ่โตเลี้ยงนางไว้อีกคนก็ไม่เป็นไร ถ้านางไม่ก่อเรื่องให้ข้าปวดหัวมากเกินไป เว้นแต่ถ้านางก่อเรื่องมากๆ ข้าคงต้องส่งตัวนางกลับ” ลู่เคอตัวบอกเสียงราบเรียบ ใบหน้าไม่ได้แสดงออกว่าลำบากใจหรือยินดี
“ท่านจะทำอะไรก็ต้องนึกถึงความสัมพันธ์ทางการทูตด้วย”
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าไม่อยากพูดถึงอีก ว่าแต่ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินของท่านตั้งครรภ์แล้วไม่ใช่หรือ”
ซู่จือพลันมีสีหน้าเบิกบานยินดี ร้องออกมาเสียงดัง “ใช่แล้วฮูหยินของข้านางเพิ่งตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือน ที่จริงเป็นเพราะยาพระราชทานจากฝ่าบาทที่ทรงมอบให้กับข้ามากินบำรุง ไม่คิดว่าจะใช้ได้ผลดีถึงเพียงนี้ ข้าไม่ได้นำติดตัวมาด้วย ไม่เช่นนั้นจะมอบให้ท่านไว้สักห่อหนึ่ง”
“ข้ายังไม่จำเป็นต้องใช้ในยามนี้หรอก เจ้าเก็บไว้เถอะ” ลู่เคอตัวรีบปฏิเสธทันที
ซู่จือเลยได้แต่เก็บความหวังดีไว้กับตัว ไม่พูดมากอีก ก็พอดีกับพ่อบ้านหวังเดินเข้ามาทางที่ลู่เคอตัวนั่งอยู่แล้วพูดเสียงไม่เบาไม่ดังนัก