“ก็บอกแล้วไงว่าเราเบื่อพวกผู้หญิงที่ปากบอกว่ารักเราหนักหนา แต่ในใจนั้นกลับค้านว่ารักเงินทองของเราเป็นที่สุด เวลาอยู่กับพวกเธอเรามีความสุขแค่ทางกาย เป็นความสุขแบบฉาบฉวย พอสายลมพัดผ่านก็จางหายไปแล้ว ไม่เคยมีใครทำให้เรามีความสุขอิ่มเอิบใจได้ และที่สำคัญไม่มีใครสามารถปลุกอารมณ์รักของเราให้ลุกพล่านทั่วกายได้ เรากำลังจะกลายเป็นคนกามตายด้าน หากได้อยู่กับพวกผู้หญิงเหล่านี้”
‘ท่าจะเป็นเอามากแฮะ’
อามิลแอบนินทาเจ้าเหนือหัวอยู่ในใจ ไม่นึกว่าเจ้าชายอีสดรีสส์จะทรงเบื่อผู้หญิงก็เป็น เขานึกถึงภาพก่อนหน้านี้ ตอนที่พระองค์ได้เปิดประตูออกกว้างทำให้เห็นลอร่านอนเปลือยกายอยู่บนเตียง ในขณะที่เจ้าชายกลับอยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มแบบเต็มยศ ก็เลยทำให้ต่อมอยากรู้อยากเห็นผุดขึ้นมาอีกหน จนต้องหลุดปากถามออกไป
“คุณลอร่าไม่ได้ทำให้ฝ่าบาทพอพระทัยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่สักนิดเลยอามิล เจ้าเชื่อไหมว่าลอร่าใช้ทั้งมือทั้งปาก แต่ก็ไม่สามรถทำให้ความต้องการของเราลุกฮือได้ ทุกอย่างมันจืดชืด ไร้ความตื่นเต้น ไร้ความเร้าใจ จนเราทนไม่ไหวต้องเผ่นออกมาจากห้องนอนอย่างที่เจ้าเห็น”
เจ้าชายอีสดรีสส์ถอนพระปัสสาสะยาว พระองค์ไม่เคยเอาเรื่องบนเตียง หรือเอาเรื่องความชำนาญในบทรักของคู่ควงแต่ละคนมาคุยกับผู้อื่น แต่เป็นเพราะอยากระบายให้อามิลได้รับรู้ จึงยอมทำตัวเป็นคนเสียมารยาทสักครั้ง
“เพราะเหตุนี้ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ ที่ทำให้ฝ่าบาทตีสีพระพักตร์บึ้งตึง บอกบุญไม่รับเช่นนี้”
เพราะรับใช้เจ้าชายอีสดรีสส์มาช้านาน องครักษ์อามิลจึงกล้าพอที่จะเปล่งวาจาถามเจ้าชายอีสดรีสส์อย่างตรงไปตรงมา เมื่อผู้ที่เป็นเจ้าเหนือหัวได้ตรัสออกมาราวกับต้องการปรับทุกข์
“ฮื้อ...เรารู้สึกว่าบทรักของพวกเธอเหล่านี้ช่างน่าเบื่อที่สุด พวกเธอกระโจนเข้าหาเราแทบทันทีที่เห็นหน้า ถอดเสื้อผ้าออกอย่างรวดเร็วจนเรามองแทบไม่ทัน ไม่เคยมีใครแสดงกิริยาเอียงอายขณะที่อยู่ต่อหน้าเรา ไม่มีใครรอให้เราสอนบทรักและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน เพราะทุกคนล้วนแต่เก่งกาจช่ำชองในบทรัก บางคนก็เก่งมากกว่าเราที่เป็นผู้ชายเสียอีก”
เจ้าชายอีสดรีสส์ทรงบ่นยืดยาวราวกับคนแก่ บทรักที่แต่ละนางมอบให้ไม่มีใครทำให้พระองค์ประทับใจสักคน แถมยังหน้าเบื่อที่สุด พลอยทำให้พระองค์หมดอารมณ์ไปด้วย จนนึกแปลกพระทัยว่าองค์เองกำลังจะกลายเป็นคนตายด้านไปแล้วหรืออย่างไร
“กระหม่อมว่าที่ฝ่าบาทเกิดอาการเบื่อสาวๆ เป็นเพราะฝ่าบาทไม่มีความรักให้กับพวกเธอเหล่านั้นยังไงล่ะพ่ะย่ะค่ะ หากพบอิสตรีที่ฝ่าบาทรัก กระหม่อมเชื่อว่าฝ่าบาทต้องตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้กอด ได้จุมพิต สัมผัสแตะต้องตัวเธอ”
อามิลวิเคราะห์ราวกับเป็นกูรูผู้ช่ำชองในเรื่องความรัก ทั้งๆ ที่ในชีวิตจริงอายุอานามล่วงเข้าสามสิบปีต้นๆ แล้ว แต่เขาก็ยังไม่นึกรักผู้หญิงคนไหนสักคน
“แล้วเจ้าเคยตื่นเต้นเวลาได้กอดได้จูบหญิงสาวที่เจ้ารักหรือเปล่า”
เจ้าชายอีสดรีสส์ทรงปรึกษากับองครักษ์เอก ราวกับหนุ่มน้อยที่เพิ่งริรัก หัดลองเพลิงสวาทครั้งแรก
อามิลหัวเราะเบาๆ ส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะเอ่ยตอบให้เจ้าเหนือหัวหนุ่มได้ตีพระพักตร์บึ้งอีกครั้ง
“กระหม่อมก็ยังไม่เคยมีความรักแบบนี้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมคิดว่าหากพบหญิงสาวที่ใช่ ที่รอคอย กระหม่อมจะต้องมีความรู้สึกเช่นนั้นกับเธออย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นน่ะสิอามิล หากเจอคนที่ใช่และรอคอยมาทั้งชีวิต เราคงตื่นเต้นไม่หยอก ถ้าได้บรรเลงเพลงรักอันแสนเร่าร้อนกับเธอ แต่ไม่รู้ว่าชาตินี้เราจะเจอหญิงสาวที่รักเราอย่างแท้จริง โดยไม่หวังเงินทองทรัพย์สมบัติของเราหรือเปล่า”
ขณะตรัสกับองครักษ์ เจ้าชายผู้หล่อเหลาจากดินแดนทะเลทรายก็พยายามขบคิดนึกถึงใบหน้าของอิสตรี ผู้ที่จะมาพิชิตพระทัยของพระองค์ ซึ่งนึกเท่าไรพระองค์ก็นึกไม่ออกว่าหญิงสาวคนไหนที่จะสามารถทำให้พระองค์หลงรักได้
องครักษ์อามิลเห็นเจ้าชายหนุ่มขมวดพระขนงเข้าหากันยุ่ง ราวกับกำลังนึกถึงหญิงสาวผู้โชคดีแค่เพียงหนึ่งเดียวที่สามารถครอบครองพระหฤทัยของบุรุษชาติอาหรับได้ ก็เลยเอ่ยออกมาเบาๆ เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นย้ำเตือนให้เจ้าชายอีสดรีสส์ได้นึกถึงอิสตรีที่เป็นเนื้อคู่ตุนาหงันของพระองค์
“ฝ่าบาทลืมคุณอัลรีน่า ฟาติยาซ์ ไปแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ คุณอัลรีน่าเป็นหญิงสาวที่เหมาะสมกับฝ่าบาทมาก พวกเราชาวดาลิยาเชื่อว่าคุณอัลรีน่าจะเป็นพระชายาที่งดงาม ทำให้ฝ่าบาทมีความสุขมากที่สุด”
“อัลรีน่า ฟาติยาซ์ งั้นหรอกหรือ”
เจ้าชายอีสดรีสส์ร้องเสียงสูง พยายามนึกถึงใบหน้าของอัลรีน่า ฟาติยาซ์ บุตรสาวของพลเอกรอซี ซึ่งเป็นองครักษ์ชั้นผู้ใหญ่ของพระบิดา หญิงสาวเป็นสาวเลือดผสมอาหรับ-ไทย มีมารดาเป็นคนไทยแท้
“เราจำหน้าอัลรีน่าไม่ได้แล้วอามิล จำได้คร่าวๆ ว่าพบกันครั้งสุดท้ายก็ตอนที่อัลรีน่ากำลังเรียนมัธยมต้น ไม่รู้โตขึ้นหน้าตาจะเป็นยังไงบ้าง”
“กระหม่อมพูดได้ประโยคเดียวว่าคุณอัลรีน่าสวยที่สุด ดวงตาของเธอก็สวยแปลกกว่าใคร อีกทั้งกิริยามารยาทก็งดงามสมกับเป็นกุลสตรี”
อามิลยิ้มกริ่มขณะนึกถึงอิสตรีที่กำลังตกเป็นหัวข้อการสนทนา ซึ่งเขาคอยติดตามข่าวคราวของหญิงสาวเสมอ อัลรีน่าเป็นหญิงสาวที่สวยสง่าอยู่ในสังคมชั้นสูง อีกทั้งยังเป็นถึงพระคู่หมั้นของเจ้าชายอีสดรีสส์ จึงเป็นที่จับตามองของสื่อทุกแขนงในประเทศดาลิยา
“อืม...เห็นจะจริง อัลรีน่ามีดวงตาที่สวยแปลกกว่าสาวๆ ในดาลิยา”
เจ้าชายอีสดรีสส์รับคำอย่างเห็นด้วย เพราะสิ่งเดียวที่ทำให้พระองค์จำอัลรีน่าได้ก็คือดวงตา หญิงสาวมีดวงตาที่สวยและแปลกเรียกว่าสี ไอ เอควา เป็นสีอ่อนใสราวกับพื้นน้ำ ซึ่งน้อยคนนักที่จะมีดวงตาสีนี้
“นี่เจ้ากับคนทั้งประเทศกำลังคิดจะจับคู่ให้อัลรีน่าเป็นชายาของเรางั้นหรือ”
เจ้าชายอีสดรีสส์หรี่ดวงเนตรคมกริบจ้องมององครักษ์เขม็ง ไม่พอพระทัยที่อีกฝ่ายริอาจทำตัวเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้กับพระองค์
“กระหม่อมไม่บังอาจทำตัวเป็นพ่อสื่อหรอกพ่ะย่ะค่ะ และคิดว่าไม่จำเป็นด้วย เพราะคุณอัลรีน่าเป็นคู่หมั้นของฝ่าบาทอยู่แล้ว ฝ่าบาทลืมแล้วหรืออย่างไร ว่าพระบิดาได้หมั้นหมายคุณอัลรีน่าไว้ตั้งแต่เด็ก หากเธอมีอายุครบยี่สิบสี่ปีเมื่อไร คุณอัลรีน่าก็ต้องเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับฝ่าบาท”
อามิลทบทวนความจำให้กับเจ้าเหนือหัว ที่ดูท่าว่าลืมไปเสียสนิทแล้วว่ามีคู่หมั้นสาวรอคอยอยู่ที่ประเทศดาลิยา
“บอกตามตรงนะอามิล เราไม่ชอบใจเลยที่ท่านพ่อจับเราคลุมถุงชนเช่นนี้ ยุคโลกโลกาภิวัตน์ไม่ควรมีประเพณีเช่นนี้หลงเหลืออยู่ เราไม่อยากแต่งงานเพราะคำสั่งของท่านพ่อ เราอยากแต่งงานกับหญิงสาวที่เราเลือกด้วยหัวใจ อยากให้เธอเป็นแม่ของลูกๆ เป็นคู่ชีวิตที่ทำให้เรายิ้ม หัวเราะ ได้อย่างมีความสุขไปทั้งชีวิต”
เจ้าชายอีสดรีสส์มีสีพระพักตร์เคร่งเครียดระคนไม่พอพระทัยอย่างเห็นได้ชัด เมื่อถูกสะกิดให้นึกถึงเรื่องที่พระองค์พยายามทำเป็นลืมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ถึงแม้จะเป็นนักรัก มีหญิงสาวผลัดเปลี่ยนมาให้สำราญมากเพียงใด แต่พระองค์ก็ยังอยากเลือกผู้ที่มาจะมาร่วมหอด้วยหัวใจและด้วยความรัก