ฟากเสี่ยทัดเทพรออยู่ที่รถด้านหน้าคอนโดฯ เสี่ยใหญ่แห่งวงการบันเทิง ไม่ต้องเข้าไปตามด้วยตัวเอง เพราะรู้ว่าวาทินต้องเอาลูกสาวมาประเคนให้เขาเพื่อชดใช้หนี้พนันอย่างแน่นอน วาทินขี้ขลาดตาขาว ถูกขู่บ่อยๆ อย่างไรก็ต้องหวาดกลัว ทัดเทพมองดูรูปของสาวน้อยหน้าหวานรูปร่างกำลังดีในโทรศัพท์แล้วยิ้มพอใจ เขาบังเอิญเห็นลูกสาวของวาทินตอนที่มาทวงหนี้ครั้งก่อน พอเห็นแล้วจึงรู้สึกชอบ จึงให้วาทินใช้หนี้ด้วยวิธีนี้แทน พรุ่งนี้เขาจะไม่ต้องทนมองแค่รูปในโทรศัพท์อย่างเดียว แต่จะได้เชยชม ทั้งกอดทั้งหอมให้สมใจอยาก
ม่านพิรุณรู้ว่าวันนี้คือวันที่นัดหมายกับบิดาไว้ บิดาต้องมารับเธอไปกินข้าวกับเสี่ยทัดเทพตามที่บอกไว้เมื่อสามวันก่อนอย่างแน่นอน เพราะท่าทางมุ่งมั่นแถมย้ำบ่อยราวกับกลัวว่าเธอจะไม่ไปทำให้มั่นใจเกินล้านเปอร์เซ็นต์ว่าบิดาต้องมา และไม่ใช่นัดกินข้าวธรรมดา บิดาต้องพาเธอไปแลกกับผลประโยชน์อะไรสักอย่าง ซึ่งจะเป็นอะไรไปได้ถ้าไม่ใช่เงิน เธอเชื่อว่าบิดาต้องติดหนี้พนันบอล เพราะก่อนหน้านี้มารดาเคยบอกให้ฟังว่าบิดานั้นมาขอเงินไปใช้หนี้พนันบอล ขอแล้วขอเล่า เท่าไรก็ไม่เคยพอ เหมือนโยนเงินทิ้งลงหลุมลึกที่ไม่เห็นก้นบ่อ
ม่านพิรุณจึงต้องใช้วิธีสุดท้ายที่จะเอาตัวรอด คือเธอต้องหาใครมาปกป้อง ดังนั้นเธอจึงบอกยายว่าจะแต่งงานและคนๆ นั้นคือ หมอตฤณ เพื่อให้มีใครคอยปกป้องเธอและยาย เธอจึงต้องเลือกวิธีนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะใช้ได้ผลไหม แต่ก็คิดหาวิธีอื่นไม่ออก ร้ายที่สุดเธอก็อยากไปแจ้งความกับตำรวจ แต่ก็ติดตรงที่ถ้าสืบสาวราวเรื่องไป เธอกลัวว่าบิดาจะถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาอื่นๆ อีก เพราะบิดาของเธออยู่ในโลกสีเทามานาน เธอไม่อยากเป็นลูกอกตัญญูทำให้บิดาต้องติดคุกติดตะรางตอนแก่
เมื่อวานก่อนที่จะแยกกับตฤณ เธอจึงเล่าเรื่องของบิดาให้เขาฟัง แต่ไม่ได้เล่าทั้งหมดว่าบิดาติดหนี้พนันบอลมานานหลายปีแล้ว เธอเชื่อว่าไม่เล่าเขาก็รู้เอง เธอบอกตฤณว่าพรุ่งนี้บิดานัดให้ไปเจอที่ร้านกาแฟตรงหน้ามหาวิทยาลัย ตอนบ่ายสี่โมงเย็น เขาก็บอกว่าจะมาหาเธอตามเวลานัดหมายเพื่อบอกกับบิดาว่าเขาคือสามีของเธอ
คิดมาถึงตรงนี้ม่านพิรุณก็อดใจเต้นแรงขึ้นมาไม่ได้ เพราะคำว่าสามีไม่เคยอยู่ในห้วงคำนึงกระทั่งเมื่อวานที่ไปจดทะเบียนสมรส
“อิ๊งค์ อาทิตย์หน้าก็จะสอบแล้ว วันนี้ไปติวหนังสือบ้านภีมไหม” เสียงของเพื่อนสนิททำให้ม่านพิรุณหลุดจากภวังค์หันไปมอง
ภีมนั่นเองที่ชวนแต่ม่านพิรุณนั้นรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“ขอบใจนะ แต่ว่าวันนี้อิ๊งค์มีนัดแล้ว ไปก่อนนะ” ม่านพิรุณเก็บหนังสือการบัญชีลงกระเป๋าผ้าแล้วเดินออกมาจากห้องเรียน ตรงไปยังสถานที่นัดหมายไว้ทันทีเพราะตอนนี้ก็ใกล้สี่โมงแล้ว
แม้หวาดหวั่นว่าตฤณจะช่วยเหลือไม่ได้ แต่อย่างไรเธอก็จะไปตามนัด แต่จะไม่ทำตามที่บิดาขอร้องเด็ดขาด ม่านพิรุณคิดระหว่างที่เดินข้ามถนนไปยังร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม ในเวลาสี่โมงเย็นเช่นนี้ ลูกค้าในร้านบางตาเพราะไม่ใช่เวลาไพรม์ไทม์ของการเข้าคาเฟ่ดื่มกาแฟ ม่านพิรุณเปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าบิดานั่งรออยู่แล้ว ข้างๆ กันมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย เธอจำได้ว่าเป็นเมียใหม่ของพ่อ เธอเกลียดที่พ่อทำร้ายแม่ อยากจะให้กฎหมายลงโทษให้สาสม แต่เธอก็ทำไม่ลง ได้แต่ชิงชังไม่อยากมีสายเลือดใจดำนั้นในร่างกาย ทว่าเมื่อนึกย้อนกลับ ร่างกายนี้ก็มีบุญคุณของพ่อที่ทำให้เกิดมา เวลาเจอหน้าพ่อจึงรู้สึกพะอืดพะอมบอกไม่ถูก
“สวัสดีค่ะพ่อ” ม่านพิรุณยกมือไหว้
“อิ๊งค์ยอมมาตามที่พ่อขอร้องจริงๆ ด้วย นั่งลงก่อนสิ” วาทินพูดดวงตาวาววับ เขาจะรอดตายแล้ว
ม่านพิรุณนั่งลง พลางมองไปที่หญิงสาวข้างกายบิดาด้วยสายตารังเกียจ เธอทำเป็นไม่เห็นอีกฝ่ายแล้วคุยกับบิดาต่อทันที “พ่อคะ อิ๊งค์ถามอะไรพ่อหน่อยได้ไหม”
“ได้สิ จะถามอะไรถามมาเลย”
ม่านพิรุณสบตาบิดา ข่มกลั้นความโกรธเกลียดที่มีเอาไว้ แม้ว่าท่านจะไม่เคยเลี้ยงดูแต่ความเป็นพ่อก็ยังมีสายใยบางๆ ที่ผูกพันกัน นี่คือความคิดของเธอ แต่บิดาจะคิดแบบเดียวกันไหม นี่คือสิ่งที่เธออยากรู้
“พ่อรักอิ๊งค์ไหม”
คนฟังคำถามดวงตาสั่นไหวแกมนิ่งงันไปครู่ก่อนรีบตอบ “รักสิ ทำไมถามพ่อแบบนี้”
“ถ้าพ่อรักอิ๊งค์ ถ้าอย่างนั้นเรื่องไปกินข้าวกับเสี่ยทัดเทพ อิ๊งค์ไม่ไปได้ไหม อิ๊งค์ไม่อยากเข้าวงการบันเทิง อิ๊งค์ อยากทำงานตามที่เรียนจบมา เพราะฉะนั้นไม่มีความจำเป็นที่อิ๊งค์ต้องไปกินข้าวกับเสี่ยทัดเทพ”
“อิ๊งค์ พ่อคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วเสียอีก อิ๊งค์อย่าทำให้พ่อเสียเวลา พ่อนัดเสี่ยเทพเขาไว้แล้ว แค่ไปกินข้าวเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย”
“พ่อแน่ใจหรือคะ พ่อยืนยันกับอิ๊งค์ได้ไหมว่าแค่กินข้าวเท่านั้น”
“เอ่อ”
“อิ๊งค์” กนกพรเรียกเสียงรำคาญหลังจากฟังสองพ่อลูกคุยกัน “พ่อเขารักอิ๊งค์มาก อยากให้ได้งานดีๆ ทำ แค่ไปกินข้าวเป็นเพื่อนเสี่ยเทพ ไม่ได้ทำให้อิ๊งค์ตายหรอกน่า”
“ฉันไม่ได้คุยกับคุณ อีกอย่างถ้าคุณอยากได้งานดีๆ คุณก็ไปเองสิคะ”
“ถ้าเขาเอาฉัน ฉันไปแล้ว” กนกพรพูดอย่างโมโห แต่ว่าสะดุ้งไปทันทีเพราะวาทินขึงตาดุใส่ กนกพรหันหน้าหนีด้วยความรำคาญ
“พ่อคะ อิ๊งค์มาวันนี้เพื่อจะบอกพ่อว่าอิ๊งค์คงไปกินข้าวกับเสี่ยทัดเทพตามที่พ่อต้องการไม่ได้ อิ๊งค์ไม่ได้สนิทกับเขาจะไปกินข้าวกับเขาได้ยังไง”
วาทินกดข่มความโมโหลูกสาวเอาไว้ เขาไม่มีเวลาเกลี้ยกล่อมนานนัก เพราะเสี่ยทัดเทพให้เวลาเขาถึงแค่หกโมงเย็นต้องพาลูกสาวไปส่งที่โรงแรมหรูที่เสี่ยเปิดห้องไว้ให้ทัน แล้วเขาก็ไม่อยากเสียเวลาอีก
“อิ๊งค์ เสี่ยเขาชอบอิ๊งค์ เห็นแววแล้วอยากผลักดัน อิ๊งค์ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น มีพ่ออยู่ทั้งคน”
“อิ๊งค์มีเรื่องสำคัญจะบอกพ่อค่ะ แต่ว่าขออิ๊งค์คุยกับพ่อตามลำพังได้ไหมคะ” ม่านพิรุณบอกแล้วหันไปทางกนกพรที่ทำหน้ายักษ์ใส่ทันที เพราะความหมายเมื่อครู่คือต้องการไล่เธอออกไปจากการสนทนา
วาทินเองก็เข้าใจความหมายที่ลูกสาวเอ่ย จึงหันไปขยิบตาไล่กนกพร “พรไปสั่งกาแฟมาให้ฉันหน่อย อิ๊งค์ดื่มอะไรดีลูก เอาลาเต้ไหม พ่อจำได้ว่าอิ๊งค์ชอบดื่มลาเต้” วาทินมั่วไปอย่างนั้น ขณะที่ม่านพิรุณได้แต่ถอนใจ เธอไม่ชอบดื่มลาเต้ แต่ชอบดื่มชาเขียวต่างหาก
“พรไปสั่งลาเต้มาสองแก้ว”
กนกพรเบ้ปากเดินไปทำตามอย่างไม่สบอารมณ์ วาทินเห็นว่ากนกพรเดินไปแล้วจึงหันมาหาลูกสาว
“อิ๊งค์จะคุยอะไรกับพ่อ”
“อิ๊งค์จะบอกว่าอิ๊งค์แต่งงานแล้ว ตอนนี้อิ๊งค์มีสามี อิ๊งค์จะไปกินข้าวกับเสี่ยทัดเทพตามที่พ่อสั่งไม่ได้แล้ว มันคงไม่เหมาะสม และนี่คือจุดประสงค์ที่อิ๊งค์มาหาพ่อวันนี้”
วาทินเบิกตากว้าง ตบโต๊ะดังปัง “อิ๊งค์ แกทำอะไรลงไป จะแต่งงานทำไมไม่บอกพ่อ”
ม่านพิรุณมองหน้าบิดา ขณะที่วาทินกัดฟันกรอด เพราะเขาอ้างสรรพคุณลูกสาวเอาไว้ว่ายังบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่เคยผ่านมือชายใดมาก่อน เสี่ยทัดเทพจึงยอมแลกกับหนี้ล้านห้า แต่ถ้าม่านพิรุณมีสามีแล้วราคาก็ตกกันพอดี
เขาถามออกไปอย่างเดือดดาล “อิ๊งค์แต่งงานเมื่อไรทำไมพ่อไม่รู้” วาทินหรี่ตามอง “หรืออิ๊งค์กำลังหลอกพ่อ”
“อิ๊งค์ไม่ได้หลอก อิ๊งค์จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง พ่อจะดูก็ได้ ตอนนี้รอแต่ฤกษ์ดีจัดงานเลี้ยงอีกทีเท่านั้น พี่หมอตฤณเขาก็บอกว่าให้รอฤกษ์ดีก่อนไม่ต้องรีบ เพราะยังไงก็จดทะเบียนแล้ว”
“อิ๊งค์เมื่อกี้พูดว่าแต่งกับใครนะ”
“พี่หมอตฤณค่ะ”
วาทินรู้จักหมอตฤณเพราะในอดีตเขาเคยเข้าใจผิดว่าสายพิรุณชอบพอกันมาก่อน ในที่สุดเขาจึงรู้ว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกันเท่านั้น
“แล้วสินสอดทองหมั้นล่ะ ทำไมพ่อไม่ได้อะไรเลย”