พอเสร็จจากทำบุญครบหนึ่งเดือนที่คุณพ่อเจริญจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แต่ท่านยังอยู่ในความทรงจำของครอบครัวเสมอ ภรรยาของท่านยังคงระลึกถึงท่านที่จากไป ลูกชายและลูกสาวก็ระลึกถึงบุญคุณของท่านที่ให้ชีวิตพวกเขาได้เกิดมาดูโลกใบใหญ่ใบนี้
“แม่กับน้องจะไปอยู่บ้านที่เขาใหญ่นะพ่อต้อม” นางบอกลูกชายที่เพิ่งกลับมาจากบริษัท
“ไปอยู่ที่นั่นได้ยังไงครับ แล้วผมจะอยู่ที่บ้านนี่ยังไงครับ” เขาถามเมื่อท่านและน้องสาวที่พิการตั้งแต่เกิดจะหนีไปอยู่เขาใหญ่
“พ่อต้อมไม่ได้อยู่คนเดียวสักหน่อย หนูจุ๊บก็อยู่ด้วยที่บ้าน”
นางพูดถึงพเยีย แพงเจิด หรือจุ๊บ วัย 26 ปี ลูกสาวของเพื่อนรักที่มาทำงานเป็นผู้ช่วยให้สามีตัวเองตั้งแต่เรียนจบ ตอนนี้พเยียก็ได้มาเป็นผู้ช่วยของลูกชายนางแทนที่เพิ่งลาสิกขาออกมารับตำแหน่งประธานบริษัทไวน์ต่อบุญของครอบครัวที่ส่งต่อกันมาแต่รุ่นสู่รุ่น ที่บ้านของนางมีทั้งบริษัทส่งออก และไร่องุ่นที่เขาใหญ่พันกว่าไร่
“แม่จะให้ผมอยู่กับน้องจุ๊บสองคนเหรอครับ”
“ก็ใช่ไง น้องก็อยู่บ้านเราตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตั้งแต่เรียนมหา’ลัยแล้วที่น้องมาอยู่ที่นี่” โอบจันทร์เอ่ยต่อ
“แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันนี่ครับ จะให้ผมที่เป็นผู้ชายอยู่กับน้องจุ๊บได้ยังไงครับ เดี๋ยวชาวบ้านก็เล่าลือให้น้องเสียหายหรอกครับ”
เขาแย้งท่าน เพราะรู้สึกไม่ชอบพเยีย ไม่รู้ทำไมถึงขัดหูขัดตาทุกครั้งที่เห็นหน้าใสซื่อภายใต้กรอบแว่นหนาๆ และชุดป้าๆ ของเธอ แต่ยิ่งกว่านั้นคือหลังเลิกงาน เธอจะเปลี่ยนเป็นอีกคน จะว่าไปเธอมีสองบุคลิกก็ว่าได้ กลางวันจะเป็นสาวย้อนยุค พอตกกลางคืนหรือวันหยุดจะเป็นสาวทันสมัย แต่งตัวเปรี้ยว แถมชอบออกไปเที่ยวด้วยยามวันหยุด เขาไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ เขาได้แต่บอกตัวเองในใจ
“พ่อมหาอธินของแม่ ถ้ากลัวขนาดนั้นก็แต่งงานกับน้องสิลูก”
“แม่ก็รู้ผมถือพรหมจรรย์ ผมจะไม่แต่งงาน” เขารีบตอบท่าน
“แล้วใครจะมาเป็นทายาทสืบทอดธุรกิจของเราถ้าลูกไม่แต่งงาน น้องตาก็ไม่แข็งแรง มีแค่ลูกนะพ่อต้อม ที่จะสืบทอดวงศ์ตระกูลของเราในตอนนี้ ลูกก็สึกออกมาแล้ว ควรเรียนรู้เรื่องของชายหญิงได้แล้วนะลูก”
เฮ้อ!
อธินได้แต่ถอนหายใจเมื่อไม่รู้จะตอบท่านยังไงดี เขามองไปทางประตูห้องนั่งเล่นที่ตอนนี้พเยียกำลังเข็นรถเข็นของน้องสาวเข้ามา เขาจึงเอ่ยขึ้นทันที
“อาตมา...คะ...คือผมขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับคุณแม่” บ่อยครั้งที่นึกว่าตัวเองยังอยู่ในผ้าเหลือง และหลุดพูดแทนตัวเองว่า ‘อาตมา, โยม’ บ่อยครั้ง ก็เขายังไม่ชินกับการพูดจาแบบปกติ
“ไปเถอะพ่อต้อม อย่าลืมนะว่าลูกคือความหวังของแม่” นางอดยิ้มขำลูกชายไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตอนนี้ตัวเองเป็นฆราวาสแล้วไม่ใช่พระภิกษุสงฆ์เหมือนก่อน
อธินได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้คุณแม่ที่รักแล้วเดินออกไปจากห้องนั่งเล่น แต่ขณะเดินผ่านสองสาวต่างวัย เขาก็หยุดเดินแล้วยื่นมือไปลูบหัวน้องสาวที่น่ารักของเขาในวัย 18 ปี พร้อมพูดว่า...
“วันนี้น้องตาของพี่ต้อมสวยจังเลยค่ะ” เขาเอ่ยชมจากใจ เพราะอารยาสวยจริงๆ หากว่าไม่ผิดปกติแต่เด็ก ตอนนี้คงเป็นสาวที่มีหนุ่มๆ มาตามจีบหัวบันไดบ้านไม่แห้งแน่นอน
“ขอบคุณค่ะพี่ต้อม” อารยายิ้มเขินให้พี่ชาย
“แล้วเจอกันนะคะ พี่ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อน”
“ค่ะพี่ต้อม”
แล้วอธินก็เดินจากไปโดยไม่เอ่ยพูดคุยกับคนที่ยืนอยู่หลังรถเข็นของน้องสาว ไม่แม้แต่จะชายตามองอีกฝ่าย ส่วยคนที่ถูกเมินก็ได้แต่เม้มปากบ่นขมุบขมิบให้เขาพร้อมเข็นรถเข็นพาอารยาเข้าไปในห้องนั่งเล่นหาคุณป้าต่อ
“อย่าไปถือสาพ่อต้อมเลยนะหนูจุ๊บ พี่เขายังไม่ชินน่ะ อยู่วัดนานเกินไป” โอบจันทร์เอ่ยกับคนที่เดินมานั่งข้างตัวเอง
“หนูไม่สนใจหรอกค่ะป้าโอบ”
“พี่จุ๊บอย่าโกรธพี่ต้อมของน้องตาเลยนะคะ พี่ต้อมคงจะไม่ชินค่ะ” อารยาเอ่ยบ้างพร้อมกับรับขนมจากมือแม่ที่หยิบยื่นส่งมาให้ตัวเองทาน
“พี่ไม่สนใจหรอกค่ะน้องตา เพราะพี่ต้องทำงานกับพี่ต้อมอีกนาน”
“แล้วเป็นยังไงบ้าง หุ้นส่วนของเราให้การยอมรับพ่อต้อมไหม และพ่อต้อมทำงานเป็นยังไงบ้างหนูจุ๊บ” นางถามถึงลูกชาย เพราะคนที่ไม่เคยรู้เรื่องบริหารต้องมาทำงานนั่งตำแหน่งประธานคงจะยากที่หุ้นส่วนจะให้การยอมรับในตัวลูกชายตน
“ป้าโอบไม่ต้องห่วงนะคะ จุ๊บเองยังไม่อยากเชื่อว่าพี่ต้อมจะเข้าใจงาน เรียนรู้งานได้เร็วมากค่ะ แถมเก่งมากเลยค่ะ ตอนแรกผู้ถือหุ้นของเรารายอื่นก็ไม่ค่อยพอใจที่คนที่ไม่เคยเข้าบริษัทมานั่งตำแหน่งประธาน แต่พี่ต้อมทำให้ทุกคนยอมรับได้เพียงแค่เวลาหนึ่งอาทิตย์เท่านั้นค่ะ ทุกคนเคารพนับถือและเชื่อในตัวพี่ต้อมเหมือนเชื่อในตัวคุณลุงเลยค่ะ”
เธอพูดพร้อมกับยิ้มเมื่อนึกถึงบรรยากาศในห้องประชุม ใครจะคิดว่าคนที่อยู่ในผ้าเหลืองมาตลอดครึ่งชีวิตแบบอธินจะเด็ดเดี่ยวมากในยามบริหารงานและไม่ต้องพูดถึงเลย เขาเรียนรู้งานเร็วมาก เขาเข้าใจทุกอย่างเพียงแค่เธออธิบายครั้งเดียว แถมรู้จุดผิดพลาดแก้ไขได้ด้วย เธอนับถือความเก่งของแกนสมองชายหนุ่มเลย เชื่อแล้วทำไมถึงได้เป็นถึงพระมหา และเป็นพระนักเทศน์อันดับต้นๆ ของประเทศไทย แถมยังเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยสงฆ์อีก ผู้ชายคนนี้ทำให้เธอประหลาดใจหลายอย่างมาก และยิ่งทำให้เธอใจเต้นแรง ยามนี้ศีรษะที่โล้นก็เริ่มมีผมงอกยาวขึ้นมาให้เห็นแล้ว ยิ่งดูเท่ยามใส่ชุดสูทสีดำ อยากรู้จังว่าภายในเสื้อผ้าเนื้อกายแท้ๆ ของผู้ชายที่ปฏิบัติตัวในศีลในธรรมตลอดจะเพอร์เฟคแค่ไหน แค่คิดก็ยิ้มละลายแล้ว
“หนูจุ๊บยิ้มเคลิ้มคิดอะไรอยู่ลูก” เมื่อเห็นว่าพเยียเงียบไปและยิ้มเคลิ้มแปลกๆ นางเลยถาม
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะป้าโอบ”
“งั้นสองสาวคุยเล่นกันไปนะลูก เดี๋ยวแม่จะไปดูในครัวว่าตอนนี้แม่อุ่นกับเด็กๆ เตรียมมื้อเย็นถึงไหนแล้ว” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินจากไปทันที
“พี่จุ๊บไม่คิดชอบพี่ต้อมบ้างเหรอคะ น้องตาอยากได้พี่จุ๊บเป็นพี่สะใภ้จังเลยค่ะ” สาวน้อยเอ่ยขึ้นเมื่อเหลือกันสองคน
“หืม! น้องตาพูดอะไรคะเนี่ย พี่มหาไม่ชายตามองพี่เลยจะให้พี่ชอบได้ยังไง...จริงๆ ก็แอบหวังเหมือนกัน” ท้ายประโยคเธอพูดกับตัวเองในใจ
“พี่จุ๊บสวยขนาดนี้พี่ต้อมของน้องตาต้องมองบ้างแหละค่ะ วันนี้ยังไม่มอง วันข้างหน้าอาจมองก็ได้นะคะ”
“ให้มันเป็นเรื่องอนาคตดีกว่าค่ะ ว่าแต่น้องตากับป้าโอบจะไปพักผ่อนที่บ้านที่เขาใหญ่วันไหนคะ”
“คุณแม่บอกน้องตาว่าพรุ่งนี้เช้าค่ะ”
“พี่อยากกลับด้วยเลย คิดถึงคุณแม่กับคุณพ่อ ไม่ได้เจอท่านจะเดือนแล้ว เพราะงานที่บริษัทยุ่งมากเลยช่วงนี้” เธอพูดเสียงอ่อน
“งั้นก็รีบเคลียร์งานแล้วตามน้องตาและคุณแม่ไปนะคะ พวกเราสองครอบครัวยังไงก็เหมือนครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว” บ้านพักของทั้งสองตั้งอยู่ในที่ดินผืนเดียวกัน เพราะทั้งสองเป็นหุ้นส่วนกันทั้งบริษัทส่งออกไวน์และไร่องุ่นพันกว่าไร่ก็มีครอบครัวของพเยียเป็นเจ้าของร่วมกัน ที่ไร่ก็มีโรงบ่มไวน์ด้วย ส่วนที่กรุงเทพฯ เป็นเพียงบริษัทใหญ่ที่มีไว้ติดต่อประสานงานกับลูกค้าเท่านั้น
“คงต้องรอให้พี่มหาทำงานทางนี้คล่อง พี่ถึงจะขอลากลับบ้านค่ะน้องตา”
“งั้นน้องตากับทุกคนจะรอที่เขาใหญ่นะคะ”
“ได้ค่ะ ว่าแต่น้องตาจะเรียนวาดรูปใช่ไหมคะ ป้าโอบให้พี่หาคุณครูให้ไปสอนที่บ้านให้”
“ใช่ค่ะ น้องตาเรียนจบมัธยมปลายแล้ว อยากไปเรียนมหา’ลัยกับเพื่อนๆ แต่...” เธอเงียบไปเมื่อมองขาที่เล็กลีบไร้เรี่ยวแรงจะลุกเดินของตัวเอง
“ไม่เอาไม่พูดแบบนั้นสิคะ เรียนอยู่บ้านได้อยู่กับคุณแม่และทุกคนดีออกค่ะ เดี๋ยวพี่จุ๊บจะหาคุณครูให้นะคะ”
“ขอบคุณนะคะพี่จุ๊บ” ทั้งสองสาวสนิทกันเพราะพเยียย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ตั้งแต่เธอมาเรียนปีหนึ่ง จึงทำให้ทั้งสองสนิทกัน และจะว่าไปเหมือนเป็นลูกสาวของบ้านนี้อีกคนก็ว่าได้